23 ม.ค. 2023 เวลา 04:12 • ไลฟ์สไตล์

๏ ปริเฉทที่ ๒๖ (ตอน ๒)

มหาปรินิพพานปริวรรต
พระผู้มีพระภาคทรงปลงอายุสังขาร
**********
~ มารทูลอาราธนาให้ปรินิพพาน ~
เมื่อท่านพระอานนท์หลีกไปแล้วไม่นาน
ครั้งนั้น มารผู้มีบาป
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
มารผู้มีบาปยืนเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระผู้มีพระภาคจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด
ขอพระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด
บัดนี้ เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาค
ก็พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระวาจานี้ไว้ว่า :-
"ดูกรมารผู้มีบาป ภิกษุผู้เป็นสาวกของเรา
จักยังไม่เฉียบแหลมไม่ได้รับแนะนำ
ไม่แกล้วกล้า ไม่เป็นพหูสูต
ไม่ทรงธรรม ไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
ไม่ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติตามธรรม
เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ว ยังบอก
แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย
จำแนก กระทำให้ง่ายไม่ได้
ยังแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์
ข่มขี่ปรับปวาทที่บังเกิดขึ้น
ให้เรียบร้อยโดยสหธรรมไม่ได้ เพียงใด
เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น..."
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญก็บัดนี้
ภิกษุผู้เป็นสาวก ของพระผู้มีพระภาค
เป็นผู้เฉียบแหลมแล้ว ได้รับแนะนำแล้ว
แกล้วกล้า เป็นพหูสูต ทรงธรรม
ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
ปฏิบัติชอบ ประพฤติตามธรรม"
ฯลฯ
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระผู้มีพระภาคจงปรินิพพาน ในบัดนี้เถิด
ขอพระสุคตจงปรินิพพาน ในบัดนี้เถิด
บัดนี้ เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาค"
ฯลฯ
"ก็พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระวาจานี้ไว้ว่า
ดูกรมารผู้มีบาป พรหมจรรย์ของเรานี้
จักยังไม่สมบูรณ์ กว้างขวาง
แพร่หลายรู้กันโดยมาก เป็นปึกแผ่น
จนกระทั่ง พวกเทวดา
และมนุษย์ประกาศได้ดีแล้ว เพียงใด
เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น..."
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ก็บัดนี้ พรหมจรรย์ของ
พระผู้มีพระภาคนี้สมบูรณ์แล้ว
กว้างขวาง แพร่หลาย รู้กันโดยมาก
เป็นปึกแผ่น จนกระทั่งพวกเทวดา
และมนุษย์ประกาศได้ดีแล้ว
ขอพระผู้มีพระภาคจงปรินิพพาน ในบัดนี้เถิด
ขอพระสุคตจงปรินิพพาน ในบัดนี้เถิด
บัดนี้ เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคฯ"
**********
~ พระผู้มีพระภาคทรงปลงอายุสังขาร ~
เมื่อมารกราบทูลอย่างนี้แล้ว
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสตอบว่า
"ดูกรมารผู้ มีบาป ท่านจงมีความขวนขวายน้อยเถิด
ความปรินิพพานแห่งตถาคตจักมีไม่ช้า
โดยล่วงไปอีกสามเดือนแต่นี้
ตถาคตก็จักปรินิพพาน..."
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค
ทรงมีพระสติสัมปชัญญะ
ทรงปลงอายุสังขาร ณ ปาวาลเจดีย์
และเมื่อพระผู้มีพระภาค
ทรงปลงอายุสังขารแล้ว
ได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่
และขนพองสยองเกล้า น่าพึงกลัว
ทั้งกลองทิพย์ก็บันลือลั่น
พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว
ทรงเปล่งพระอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
"มุนีปลงเสียได้แล้วซึ่งกรรมที่ชั่งได้
และกรรมที่ชั่งไม่ได้ อันเป็นเหตุสมภพ
เป็นเครื่องปรุงแต่งภพ และได้ยินดีในภายใน
มีจิตตั้งมั่น ทำลายกิเลสที่เกิดในตนเสีย
เหมือนนักรบทำลายเกราะฉะนั้น ฯ"
**********
ครั้งนั้น พระอานนท์ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า
น่าอัศจรรย์จริงหนอ เหตุไม่เคยมีมามีขึ้น
แผ่นดินใหญ่นี้ไหวได้ แผ่นดินใหญ่นี้ไหวได้จริงๆ
ความขนพองสยองเกล้าน่าพึงกลัว
ทั้งกลองทิพย์ก็บันลือลั่น
อะไรหนอเป็นเหตุ
อะไรหนอเป็นปัจจัย
สำหรับให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ
ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว
นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นท่านพระอานนท์นั่งเรียบร้อย
แล้วได้กราบทูลว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์
เหตุไม่เคยมีมามีขึ้น แผ่นดินใหญ่นี้ไหวได้
แผ่นดินใหญ่นี้ไหวได้จริงๆ
ความขนพองสยองเกล้าน่าพึงกลัว
ทั้งกลองทิพย์ก็บันลือลั่น"
"อะไรหนอเป็นเหตุ
อะไรหนอเป็นปัจจัย
สำหรับให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ"
**********
~ กถาว่าด้วยเรื่องแผ่นดินไหวใหญ่ ~
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ดูกรพระอานนท์ เหตุ ๘ ประการ
ปัจจัย ๘ ประการเหล่านี้แล
เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ๘ ประการเป็นไฉน
(๑) ดูกรอานนท์...
มหาปฐพีนี้ตั้งอยู่บนน้ำ น้ำตั้งอยู่บนลม
ลมตั้งอยู่บนอากาศ สมัยที่ลมใหญ่พัด
เมื่อลมใหญ่พัดอยู่ ย่อมยังน้ำให้ไหว
น้ำไหวแล้วย่อมยัง แผ่นดินให้ไหว
อันนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่หนึ่ง
เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ
(๒) อีกประการหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์ผู้มีฤทธิ์
ถึงความเป็นผู้ชำนาญในทางจิต
หรือว่าเทวดาผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก
เขาเจริญปฐวีสัญญาเพียงเล็กน้อย
เจริญอาโปสัญญาอย่างแรงกล้า
เขาย่อมยังแผ่นดินนี้ให้สะเทือนสะท้านหวั่นไหวได้
อันนี้เป็นปัจจัยข้อที่สอง
เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ
(๓) อีกประการหนึ่ง
เมื่อใด พระโพธิสัตว์จุติจากชั้นดุสิต
มีสติสัมปชัญญะ ลงสู่พระครรภ์พระมารดา
เมื่อนั้นแผ่นดินนี้ย่อมสะเทือนสะท้านหวั่นไหว
อันนี้ เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่สาม
เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ
(๔) อีกประการหนึ่ง
เมื่อใด พระโพธิสัตว์มีสติสัมปชัญญะ
ประสูติจาก พระครรภ์พระมารดา
เมื่อนั้นแผ่นดินนี้ย่อมสะเทือนสะท้านหวั่นไหว
อันนี้ เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่สี่
เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ
(๕) อีกประการหนึ่ง
เมื่อใด พระตถาคตตรัสรู้
พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
เมื่อนั้นแผ่นดินนี้ย่อมสะเทือนสะท้านหวั่นไหว
อันนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่ห้า
เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ
(๖) อีกประการหนึ่ง เมื่อใด
พระตถาคตให้อนุตรธรรมจักรเป็นไป
เมื่อนั้นแผ่นดินนี้ย่อมสะเทือนสะท้านหวั่นไหว
อันนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่หก
เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ
(๗) อีกประการหนึ่ง เมื่อใด
พระตถาคตมีพระสติสัมปชัญญะ
ทรงปลงอายุสังขาร เมื่อนั้นแผ่นดินนี้
ย่อมสะเทือนสะท้านหวั่นไหว
อันนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่เจ็ด
เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ
(๘) อีกประการหนึ่ง เมื่อใด
พระตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
เมื่อนั้นแผ่นดินนี้ย่อมสะเทือนสะท้านหวั่นไหว
อันนี้เป็นเหตุเป็น ปัจจัยข้อที่แปด
เพื่อให้แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ
ดูกรอานนท์ เหตุ ๘ ประการ
ปัจจัย ๘ ประการ เหล่านี้แล
เพื่อให้ แผ่นดินไหวใหญ่ปรากฏ ฯ
**********
ดูกรอานนท์ วันนี้เมื่อกี้นี้เอง
มารผู้มีบาปได้เข้ามาหาเราที่ปาวาลเจดีย์
ครั้นเข้ามาหาแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
มารผู้มีบาปครั้นยืนเรียบร้อย
แล้วได้กล่าวกะเราว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระผู้มีพระภาคจงปรินิพพาน ในบัดนี้เถิด
ขอพระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด
บัดนี้ เป็นเวลาปรินิพพาน ของพระผู้มีพระภาค
ก็พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระวาจานี้ไว้ว่า
ดูกรมารผู้มีบาป ภิกษุผู้เป็นสาวกของเรา
จักยังไม่เฉียบแหลม ... เพียงใด ...
ภิกษุณีผู้เป็นสาวิกา ของเรา
จักยังไม่เฉียบแหลม ... เพียงใด ...
อุบาสกผู้เป็นสาวกของเรา
จักยังไม่เฉียบแหลม ... เพียงใด ...
อุบาสิกาผู้เป็นสาวิกาของเรา
จักยังไม่เฉียบแหลม ... เพียงใด ... "
"พรหมจรรย์ของเรานี้จักยังไม่สมบูรณ์ กว้างขวาง
แพร่หลาย รู้กัน โดยมาก เป็นปึกแผ่น
จนกระทั่งเทวดา และมนุษย์
ประกาศได้ดีแล้วเพียงใด
เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น"
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ก็บัดนี้ พรหมจรรย์ของ
พระผู้มีพระภาคสมบูรณ์แล้ว
กว้างขวาง แพร่หลาย
รู้กันโดยมาก เป็นปึกแผ่น
จนกระทั่งเทวดาและมนุษย์
ประกาศได้ดีแล้ว"
"ขอพระผู้มีพระภาคจงปรินิพพาน ในบัดนี้เถิด
ขอพระสุคตจงปรินิพพาน ในบัดนี้เถิด
บัดนี้ เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาค ฯ"
ดูกรอานนท์ เมื่อมารกล่าวอย่างนี้แล้ว
เราได้ตอบว่า
"ดูกรมารผู้มีบาป
ท่านจงมีความขวนขวายน้อยเถิด
ความปรินิพพานแห่งตถาคตจักมีไม่ช้า
โดยล่วงไปอีกสามเดือนแต่นี้
ตถาคตก็จักปรินิพพาน"
ดูกรอานนท์ วันนี้เมื่อกี้นี้
ตถาคตมีสติสัมปชัญญะปลงอายุสังขารแล้ว
ที่ปาวาลเจดีย์ ฯ
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว
ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงดำรงอยู่ตลอดกัป
ขอพระสุคตจงทรงดำรงอยู่ตลอดกัป
เพื่อประโยชน์ของชนเป็นอันมาก
เพื่อความสุขของชนเป็นอันมาก
เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล
เพื่อความสุขของ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย"
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"ดูกรอานนท์ เวลานี้อย่าเลย
อย่าวิงวอนตถาคตเลย
บัดนี้มิใช่เวลาที่จะวิงวอนตถาคต..."
แม้ครั้งที่สอง ...
แม้ครั้งที่สาม ...
ดูกรอานนท์ เธอเชื่อความตรัสรู้ของตถาคตหรือ ฯ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เชื่อ ฯ
ดูกรอานนท์ เมื่อเชื่อ ไฉนเธอจึงแค่น
ได้ตถาคตถึงสามครั้งเล่า ฯ
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์ได้ฟังมาได้รับมา
เฉพาะพระพักตร์ พระผู้มีพระภาคว่า :-
"ดูกรอานนท์ อิทธิบาททั้ง ๔
อันผู้ใดผู้หนึ่งเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
กระทำให้เป็นดุจยาน
กระทำให้เป็นดุจพื้น ให้ตั้งมั่นแล้ว
อบรม แล้ว ปรารภดีแล้ว
ผู้นั้น เมื่อจำนงอยู่ พึงดำรงอยู่
ได้ตลอดกัป หรือเกินกว่ากัป"
"ดูกรอานนท์ อิทธิบาททั้ง ๔
ตถาคตเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว
กระทำให้เป็นดุจยาน
กระทำให้เป็นดุจพื้น ให้ตั้งมั่นแล้ว
อบรมแล้ว ปรารภดีแล้ว
ตถาคตนั้น เมื่อจำนงอยู่...
จะพึงดำรงอยู่ได้ตลอดกัป หรือเกินกว่ากัป ฯ"
ดูกรอานนท์ เธอเชื่อหรือ ฯ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เชื่อ ฯ
"ดูกรอานนท์ เพราะฉะนั้น
เรื่องนี้เป็นความผิดพลาดของเธอผู้เดียว
เพราะว่า เมื่อตถาคตทำนิมิตอันหยาบ
ทำโอภาสอันหยาบอย่างนี้ เธอมิอาจรู้ทัน"
"จึงมิได้วิงวอนตถาคตว่า
ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงดำรงอยู่ตลอดกัป
ขอพระสุคตจงทรงดำรงอยู่ตลอดกัป
เพื่อประโยชน์ของชนเป็นอันมาก
เพื่อความสุขของชนเป็นอันมาก
เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล
เพื่อความสุข ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย"
"ถ้าเธอวิงวอนตถาคต...
ตถาคตจะพึงห้ามวาจาเธอเสียสองครั้งเท่านั้น
ครั้นครั้งที่สาม ตถาคตพึงรับ"
"เพราะฉะนั้นแหละ อานนท์
เรื่องนี้จึงเป็นความผิดพลาดของเธอผู้เดียว ฯ"
**********
"ดูกรอานนท์ เราได้บอกเธอ
ไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า
ความเป็นต่างๆ ความพลัดพราก
ความเป็นอย่างอื่นจาก
ของรักของชอบใจทั้งสิ้น ต้องมี
เพราะฉะนั้น จะพึงได้ในของรัก
ของชอบใจนี้แต่ที่ไหน..."
"สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว
มีความทำลายเป็นธรรมดา"
"การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้น...
อย่าทำลายไปเลย ดังนี้ มิใช่ฐานะจะมีได้"
"ก็สิ่งใดที่ตถาคตสละแล้ว คายแล้ว
ปล่อยแล้ว ละแล้ว วางแล้ว"
"อายุสังขารตถาคตปลงแล้ว
วาจาที่ตถาคตกล่าวไว้โดยเด็ดขาดว่า
ความปรินิพพานแห่งตถาคตจักมีไม่ช้า
โดยล่วงไปอีกสามเดือนแต่นี้
ตถาคตก็จักปรินิพพาน"
"อันตถาคตจะกลับคืนยังสิ่งนั้น
เพราะเหตุแห่งชีวิต ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้"
"มาไปกันเถิดอานนท์...
เราจักเข้าไปยังกุฏาคารสาลาป่ามหาวัน"
ท่านพระอานนท์รับพระดำรัส
ของพระผู้มีพระภาคแล้ว
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค
พร้อมด้วยท่านพระอานนท์
เสด็จเข้าไปยังกุฏาคารสาลาป่ามหาวัน
ครั้นแล้ว รับสั่ง กะท่านพระอานนท์ว่า
"ไปเถิดอานนท์ เธอจงให้ภิกษุทุกรูป
เท่าที่อาศัยเมืองเวสาลีอยู่
มาประชุมที่อุปัฏฐานศาลา"
ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัส
ของพระผู้มีพระภาคแล้ว
จึงให้ภิกษุทุกรูปเท่าที่อาศัยเมืองเวสาลีอยู่
มาประชุมที่อุปัฏฐานศาลา
แล้วจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว
ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นท่านพระอานนท์ยืนเรียบร้อย
แล้วได้กราบทูลว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุสงฆ์ประชุมกันแล้ว
ขอพระผู้มีพระภาคทรงทราบกาลอันควร
ในบัดนี้เถิด ฯ"
**********
~ กถาว่าด้วยสังเวชนียธรรม ~
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไป
ยังอุปัฏฐานศาลาประทับนั่ง
บนอาสนะที่เขาจัดถวาย
ครั้นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งแล้ว
รับสั่งกะภิกษุทั้งหลาย ว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ธรรมเหล่าใดที่เราแสดงแล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง
ธรรมเหล่านั้น พวกเธอเรียนแล้ว
พึงส้องเสพ พึงให้เจริญ พึงกระทำให้มากด้วยดี
โดยประการที่พรหมจรรย์นี้จะพึงยั่งยืน
ดำรงอยู่ได้นาน เพื่อประโยชน์ของชนเป็นอันมาก
เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล
เพื่อความสุขของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย"
"ก็ธรรมที่เราแสดงแล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง ...
เหล่านั้นเป็นไฉน คือสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔
อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โภชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ "
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แลที่เรา
แสดงแล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ... ฯ"
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค
ตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนพวกเธอ
สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมเป็นธรรมดา
พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม"
"ความปรินิพพานแห่งตถาคตจักมีในไม่ช้า
โดยล่วงไปอีกสามเดือนแต่นี้
ตถาคตก็จักปรินิพพาน ฯ"
**********
พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา
ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว
จึงได้ ตรัสพระคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
"คนเหล่าใด ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทั้งพาลทั้งบัณฑิต
ทั้งมั่งมี ทั้งขัดสน ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า
ภาชนะดินที่นายช่าง หม้อกระทำแล้ว
ทั้งเล็กทั้งใหญ่ ทั้งสุกทั้งดิบ ทุกชนิด
มีความแตกเป็นที่สุด ฉันใด
ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็ฉันนั้น ฯ"
พระศาสดาได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
"วัยของเรา แก่หง่อมแล้ว ชีวิตของเราเป็นของน้อย
เราจักละพวกเธอไป เรากระทำที่พึ่งแก่ตนแล้ว"
"ดูกรภิกษุทั้งหลายพวกเธอจงเป็นผู้ไม่ประมาท
มีสติ มีศีลอันดีเถิด จงเป็นผู้มีความดำริตั้งมั่นดีแล้ว
ตามรักษาจิตของตนเถิด..."
"ผู้ใดจักเป็นผู้ไม่ประมาท อยู่ในธรรมวินัยนี้
ผู้นั้นจักละชาติสงสาร...
แล้วกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ดังนี้ ฯ"
**********

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา