24 ม.ค. 2023 เวลา 05:48 • ไลฟ์สไตล์

๏ ปริเฉทที่ ๒๖ (ตอน ๓)

มหาปรินิพพานปริวรรต
ทอดพระเนตรเมืองเวสาลีครั้งสุดท้าย
**********
~ ทรงเหลียวดูเมืองเวสาลี ~
ครั้งนั้น เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว
ทรงถือบาตร และจีวร เสด็จ
เข้าไปยังเมืองเวสาลีเพื่อบิณฑบาต
เสด็จเที่ยวบิณฑบาตในเมืองเวสาลีแล้ว
เวลาปัจฉาภัต เสด็จกลับจากบิณฑบาต
ทอดพระเนตรเมืองเวสาลี เป็น "นาคาวโลก"
**********
"นาคาวโลก" ความว่า...
ด้วยว่าอัฏฐิ (กระดูก)
ของพระพุทธเจ้าติดเป็นอันเดียวกัน
เหมือนแท่งทองคำ เพราะฉะนั้น
ในเวลาเหลียวหลัง
จึงไม่สามารถเอี้ยวพระศอ (คอ) ได้.
ก็พระยาช้าง ประสงค์จะเหลียวดูข้างหลัง
ต้องเอี้ยวไปทั้งตัวฉันใด...
พระผู้มีพระภาคเจ้า
ก็ต้องทรงเอี้ยวพระวรกายไปฉันนั้น.
แต่พอพระผู้มีพระภาคเจ้า
ประทับยืนที่ประตูพระนคร
ก็ทรงเกิดความคิดว่า
จะทอดทัศนากรุงเวสาลี (ครั้งสุดท้าย)
แผ่นมหาปฐพีนี้เหมือนจะกราบทูลว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมี
มาหลายแสนโกฏิกัป
มิได้ทรงกระทำ คือ เอี้ยวพระศอแลดู
จึงเปรียบเหมือนล้อดิน (หมุนแผ่นดิน)
กระทำพระผู้มีพระภาคเจ้า
ให้บ่ายพระพักตร์ไปทางกรุงเวสาลี.)
**********
แล้วรับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า
"ดูกรอานนท์ การเห็นเมืองเวสาลี
ของตถาคตครั้งนี้ จักเป็นครั้งสุดท้าย"
"มาไปกันเถิดอานนท์
เราจักไปยังบ้าน ภัณฑคาม"
ท่านพระอานนท์ทูลรับ
พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค
พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่
เสด็จถึงบ้านภัณฑคามแล้ว
**********
~ อริยธรรม ๔ ประการ ~
ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาค
ประทับอยู่ ณ บ้านภัณฑคามนั้น ณ ที่นั้นแล
พระผู้มีพระภาครับสั่ง กะภิกษุทั้งหลายว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอด
ธรรม ๔ ประการ..."
"เราและพวกเธอจึงเร่ร่อนท่องเที่ยวไปสิ้นกาลนาน
(ธรรม) อย่างนี้ ๔ ประการเป็นไฉน...? "
เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอด ศีลอันเป็นอริยะ (๑)
เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอด สมาธิอันเป็นอริยะ... (๒)
เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอด ปัญญาอันเป็นอริยะ... (๓)
เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอด วิมุตติอันเป็นอริยะ... (๔)
เราและพวกเธอ จึงเร่ร่อนท่องเที่ยวไปสิ้นกาลนานอย่างนี้ ฯ
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราได้รู้แจ้งแทงตลอด
ศีลอันเป็นอริยะ
สมาธิอันเป็นอริยะ
ปัญญาอันเป็นอริยะ
วิมุตติอันเป็นอริยะแล้ว
ตัณหาในภพเราถอนเสียแล้ว
ตัณหาอันจะนำไปสู่ภพสิ้นแล้ว
บัดนี้ภพใหม่ไม่มี ฯ "
พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา
ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้
ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
"ธรรมเหล่านี้ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
และวิมุตติ อันยอดเยี่ยม
อันพระโคดม ผู้มียศ ตรัสรู้แล้ว"
"ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัส
บอกธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย เพื่อความรู้ยิ่ง
พระศาสดา ผู้กระทำซึ่งที่สุดแห่งทุกข์
มีพระจักษุ ปรินิพพานแล้ว ฯ "
**********
ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเมื่อประทับ ณ บ้านภัณฑคามนั้น
ทรงกระทำธรรมีกถานี้แหละเป็นอันมากแก่พวกภิกษุว่า
อย่างนี้ศีล อย่างนี้สมาธิ อย่างนี้ปัญญา
สมาธิอันศีลอบรมแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่
ปัญญา อันสมาธิอบรมแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่
จิตอันปัญญาอบรมแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะโดยชอบ
คือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ฯ
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่
ตามความพอพระทัยในบ้านภัณฑคามแล้ว
ตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า
"มาไปกันเถิดอานนท์ เราจักไปยัง บ้านหัตถีคาม"
อัมพคาม ชัมพุคาม และโภคนคร..."
ท่านพระอานนท์ทูลรับ พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ
**********
~ กถาว่าด้วยมหาปเทส ๔ ~
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค
พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เสด็จถึงโภคนคร
แล้วได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคประทับ
ณ อานันทเจดีย์ ในโภคนครนั้น
ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดง "มหาประเทศ ๔" เหล่านี้
"พวกเธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว
ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีภาคแล้ว
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังต่อไปนี้"
(๑) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
พึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส ข้อนี้ข้าพเจ้าได้ฟังมา
ได้รับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า
นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ดังนี้
พวกเธอไม่พึงชื่นชมไม่พึงคัดค้าน คำกล่าวของภิกษุนั้น
ครั้นแล้วพึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี
แล้วสอบสวน ในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย
ถ้าสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย
ลงในพระสูตรไม่ได้ เทียบเคียงในพระวินัยไม่ได้
พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า
นี้มิใช่คำของพระผู้มีพระภาคแน่นอน
และภิกษุนี้จำมาผิดแล้ว
ดังนั้น พวกเธอพึง ทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย
ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย
ลงในพระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้
พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า
นี้เป็นคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคแน่นอน
และภิกษุนี้จำมาถูกต้องแล้ว...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงทรงจำมหาประเทศข้อที่หนึ่งนี้ไว้ ฯ
(๒) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้
พึงกล่าวอย่างนี้ว่า สงฆ์พร้อมทั้งพระเถระ
พร้อมทั้งปาโมกข์ อยู่ในอาวาสโน้น
ข้าพเจ้าได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะหน้าสงฆ์นั้นว่า
นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ดังนี้
พวกเธอไม่พึงชื่นชม ไม่พึงคัดค้าน คำกล่าวของภิกษุนั้น
ครั้นแล้ว พึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี
แล้วสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียง ในพระวินัย
ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย
ลงในพระสูตรไม่ได้ ลงในพระวินัยไม่ได้
พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า
นี้มิใช่คำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคแน่นอน
และภิกษุสงฆ์นั้นจำมาผิดแล้ว
ดังนั้น พวกเธอพึงทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย
ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย
ลงในพระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้
พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า
นี้เป็นคำสั่งสอนของ พระผู้มีพระภาคแน่นอน
และภิกษุสงฆ์นั้นจำมาถูกต้องแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงทรงจำมหาประเทศข้อที่สองนี้ไว้ ฯ
(๓) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้
พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุ ผู้เป็นเถระมากรูป
อยู่ในอาวาสโน้น เป็นพหูสูต มีอาคมอันมาถึงแล้ว
เป็นผู้ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา
ข้าพเจ้าได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะหน้าพระเถระเหล่านั้นว่า
นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ดังนี้
พวกเธอไม่พึงชื่นชม ไม่พึงคัดค้าน คำกล่าวของภิกษุนั้น ครั้นแล้ว
พึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี
แล้วสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย
ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย
ลงในพระสูตรไม่ได้ ลงในพระวินัยไม่ได้
พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า
นี้มิใช่คำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคแน่นอน
และพระเถระเหล่านั้นจำมาผิดแล้ว
ดังนั้น พวกเธอพึงทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย
ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย
ลงในพระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้
พึงถึงความตกลง ในข้อนี้ว่า
นี้เป็นคำของพระผู้มีพระภาคแน่นอน
และพระเถระเหล่านั้น จำมาถูกต้องแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงทรงจำมหาประเทศข้อที่สามนี้ไว้ ฯ
(๔) ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้
พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุ ผู้เป็นเถระอยู่ในอาวาสโน้น
เป็นพหูสูต มีอาคมอันมาถึงแล้ว
เป็นผู้ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา
ข้าพเจ้าได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะหน้าพระเถระนั้นว่า
นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ดังนี้
พวกเธอไม่พึงชื่นชม ไม่พึงคัดค้าน คำกล่าวของภิกษุนั้น ครั้นแล้ว
พึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี
แล้วสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย
ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียง ในพระวินัย
ลงในพระสูตรไม่ได้ ลงในพระวินัยไม่ได้
พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า
นี้มิใช่คำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคแน่นอน
และพระเถระนั้นจำมาผิดแล้วดังนั้น
พวกเธอพึงทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย
ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย
ลงในพระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้
พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า
นี้เป็นคำของ พระผู้มีพระภาคแน่นอน
และพระเถระนั้นจำมาถูกต้องแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงทรงจำมหาประเทศข้อที่สี่นี้ไว้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงทรงจำ
มหาประเทศทั้ง ๔ เหล่านี้ไว้ ฉะนี้แล ฯ
**********
ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคประทับ
ณ อานันทเจดีย์ในโภคนครนั้น
ทรงกระทำธรรมีกถานี้แหละเป็นอันมากแก่พวกภิกษุว่า
อย่างนี้ศีล อย่างนี้สมาธิ อย่างนี้ ปัญญา
สมาธิอันศีลอบรมแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่
ปัญญาอันสมาธิ อบรมแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่
จิตอันปัญญาอบรมแล้ว ย่อมหลุดพ้น
จากอาสวะโดยชอบ คือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ฯ
**********
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในโภคนคร
ตามความพอพระทัยแล้ว
ตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า
"ดูกรอานนท์ มาไปกันเถิด เราจักไปยัง เมืองปาวา"
ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัส
ของพระผู้มีพระภาคแล้ว ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่
เสด็จถึงเมืองปาวาแล้ว
ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคประทับ
ณ อัมพวันของนายจุนทกัมมารบุตร ในเมืองปาวานั้น ฯ
**********

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา