24 ม.ค. 2023 เวลา 15:22 • หุ้น & เศรษฐกิจ

SC: สรุปธุรกิจและรายได้ในไตรมาส 3/2022

SC: SC Asset
Business Overviews
บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC Asset ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร เริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2532 จนปัจจุบันดำเนินธุรกิจรวม 31 ปี โดยมุ่งเน้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในด้านโครงการพักอาศัย ทั้งแนวราบคือ บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ รวมถึงแนวสูงอย่าง คอนโดมิเนียม และ ธุรกิจให้เช่าอาคารสำนักงาน
ในปัจจุบันสัดส่วนรายได้กว่า 95% จาก Properties Sale, 4.9% จาก Rental & Services, >1% จาก Consulting & Management
Business Update 1H/22
-New Launched 10 โครงการ มูลค่า 15,300 ล้านบาท แบ่งเป็น 9 Landed & 1 Condo
-ธุรกิจด้าน Rental & Services 6 Offices ปัจจุบันมี Total Space 119,568 sq.m. มียอดเช่าสะสม 93%
-การเปิด Soft Opening โรงแรม YANH Ratchawat ในเดือนธันวาคม : 78 keys, Target Customer 60% Thai & 40% Non-Thai
-ข้อมูล ณ 30 June 22 ทาง SC มีโปรเจคทั้งหมด 44 Projects มูลค่า 33,000 ล้านบาท
Financial Performance
งบ 1H/22 ของบริษัท
-Total Presales: 12,020 ล้านบาท + 6% YoY | แบ่งเป็น 9837 ล้านบาท จาก Landed Presales +5% YoY และ 2183 ล้านบาท จาก Condo Presales +12% YoY
-Operating Revenues: 9,031 ล้านบาท + 4% YoY | โดยแบ่งเป็น 8,584 ล้านบาท From Sale และ 447 ล้านบาท From Rental & Services
-Gross Profit: 2,948 ล้านบาท +10% YoY
-Gross Profit Margin: 32.6% +6% YoY
-Net Profits: 969 ล้านบาท +3% YoY
-SG&A: 1,711 ล้านบาท + 17.6% YoY
-Total Asset: 51,773 ล้านบาท +4% YoY
-Total Liabilities: 31,465 ล้านบาท +6 YoY
-Total Equities: 20,308 ล้านบาท +1 YoY
-D/E: 1.55 เท่า
-Backlog on 30 June 2022: 11,873 ล้านบาท | แบ่งเป็น 5,927 ล้านบาท จาก Landed และ 5,946 ล้านบาท จาก Condo
งบ 3Q/22 ของบริษัท
-Operating Revenues: 5,244 ล้านบาท +10.5% YoY | โดยแบ่งเป็น 5,009 ล้านบาท From Sale และ 235 ล้านบาท From Rental & Services
-Gross Profit: 1,774 ล้านบาท + 4.7% QoQ, 18.4% YoY
-Gross Profit Margin: 35% เพิ่มขึ้นจาก 33% ใน 2Q22 และ 32% ใน3Q21
-Net Profits: 652 ล้านบาท เติบโตขึ้น +20% YoY ,+12% QoQ
-SG&A: 935 ล้านบาท -2% QoQ, +18.7% YoY
-Total Asset: 53,504 ล้านบาท
-Total Liabilities: 32,825 ล้านบาท
-Total Equities: 20,718 ล้านบาท
Investment Update
-SC Alpha Inc. (บริษัทลูก) จัดตั้งที่ประเทศอเมริกา โดยตั้งงบลงทุนไว้ที่ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ตลอดการลงทุน ตั้งแต่ปี 2021-2023 และ ณ ปัจจุบันมีการลงทุนไปแล้ว 40.65 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยแบ่งเป็น
1.Service Apartment in Boston 2 โครงการ 41 Units ประมาณ 33.15 ล้านเหรียญสหรัฐ
2.PRM Fund V ประมาณ 7.5 ล้านเหรียญสหรัฐ
-ลงทุนในธุรกิจ Logistic ผ่านบริษัทย่อย SCX one โดยจับมือกับ Flash Group ในการลงทุนสร้างอาคารคลังสินค้า ในช่วงแรกจะเริ่มที่จังหวัดนครสวรรค์ พื้นที่ประมาณ 16,000 sq.m. ซึ่งมีเป้าหมายที่จะทำกับ Flash Group ทั้งสิ้น 300,000 sq.m. และ คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ปลายปี 2023
Outlook in 2H2022
➕คาดว่าจะเปิดอีก 17 โครงการ มูลค่า 26,400 ล้านบาท ซึ่งจะแบ่งเป็น 16 Landed และ 1 Condo ในส่วนของ Landed จะแบ่ง Type เป็นดังนี้
มูลค่า< 5 ล้านบาท =1 โครงการ
มูลค่า5-10 ล้านบาท =4 โครงการ
มูลค่า10-20 ล้านบาท =6 โครงการ
มูลค่า> 20 ล้านบาท =5 โครงการ
➕เร่งการก่อสร้าง New 3 Condo ให้เสร็จภายใน 4Q22
➕ลงทุนในที่ดินใหม่ อีก 8,700 ล้านบาท
➕Launched “ SC Moring Coin “ ให้กับลูกบ้านของ SC ใน 4Q22
ปัจจัยเชิงลบที่มีต่อกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
1.สภาวะเงินเฟ้อ
ภาวะเงินเฟ้อในประเทศไทย ณ ปัจจุบันอยู่ที่ ประมาณ 5.89 % ถือว่ายังอยุ่ในระดับที่สูง ทำให้สินค้าและบริการเริ่มทยอยปรับขึ้นราคา และทำให้ค่าครองชีพต้องเพิ่มขึ้นตามเพื่อให้สอดคล้องกัน แต่ถ้าไม่รีบแก้ไขภาวะเงินเฟ้อโดยเร็ว จะส่งผลเสียต่อให้ผู้บริโภคต้องรัดเข็มขัด หรือชะลอการใช้จ่ายในสินค้าที่มีราคาสูง
2.ดอกเบี้ยขาขึ้น
ทุก ๆ 1% ของอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้น จะส่งผลต่อทำให้ค่างวดในการผ่อนบ้านเพิ่มขึ้นอีก 7% ทำให้ผู้ที่จะกู้ซื้อบ้าน ต้องมีรายได้เพิ่มขึ้นอีก 7% หรืออาจจะต้องซื้อบ้านขนาดที่เล็กลง
ปัจจัยเชิงบวกที่มีต่อกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
1.ธุรกิจท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัวได้ดีขึ้นอย่างมีนัย จากการเปิดประเทศและมีตัวเลขของนักท่องเที่ยวทยอยเข้ามาสูงขึ้นเรื่อยๆ จึงส่งผลดีต่อเนื่องไปยังกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
2.ราคาอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย เฉลี่ยถูกกว่าในหลายประเทศ ซึ่งถ้าเทียบกับประเทศพัฒนา เช่นฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย หรือทางฝั่งอเมริกาและยุโรป ราคาอสังหาริมทรัพย์มักมีราคาสูงมาก ดังนั้นประเทศไทยจึงเป็นโอกาสของนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ชาวต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุน
3.นโยบายหรือกฏหมาย เอื้อให้ชาวต่างชาติเข้าถึงได้ง่าย อาทิเช่น ในจีน ประชาชนจะมีสิทธิ์เป็นเจ้าของเฉพาะสิ่งปลูกสร้างเท่านั้น แต่กรรมสิทธิ์ในที่ดินจะเป็นของรัฐบาล โดยแบ่งให้ประชาชนเช่าเพื่ออยู่อาศัยระยะยาว และสามารถต่อสัญญาได้เรื่อยๆ อย่างไรก็ตามรัฐบาลมีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนแปลงหรือเรียกคืนกรรมสิทธิ์ได้อยู่ดี ทำให้ชาวจีน นิยมเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยจำนวนมาก
4.ประเทศไทยมีประสิทธิภาพในการดึงดูดบริษัทข้ามชาติให้มาสร้าง เป็นแหล่ง Datacenter , Warehouse หรือ Manufacture Factory เพราะ เทียบกับหลายประเทศแล้ว ประเทศไทยเรายังมีพื้นที่ๆพร้อมใช้พัฒนาเหลืออีกจำนวนมาก และ ยังมีต้นทุนด้านพลังงานที่ต่ำอีกด้วย จึงเป็นปัจจัยที่ช่วยเสริมสร้างข้อได้เปรียบให้กับประเทศของเรา
ซึ่งข่าวที่พึ่งเกิดขึ้น อาทิเช่น “Amazon Web Services ประกาศลงทุนในประเทศไทย 1.9 แสนล้านบาท สร้างศูนย์ข้อมูลระดับภูมิภาคให้บริการคลาวด์ขนาดใหญ่ เสริมโครงสร้างดิจิทัลประเทศไทย ผลักดันไทยขึ้นเป็นแถวหน้าในเศรษฐกิจดิจิทัล”
Summary
จากภาพรวมการดำเนินงานของทางบริษัท 9 เดือนที่ผ่าน เราจะเห็นว่าผลประกอบการของบริษัทมีแนวโน้มเติบโตได้ดีเป็นขั้นบันไดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะไปพีคที่สุดในช่วง 4Q22 ที่จะรับรู้รายได้จากคอนโดที่ก่อสร้างเสร็จ 3 แห่ง ได้แก่ The Crest ลาดพร้าว, Scope หลังสวน ,Scope พร้อมศรี และมีแผนเปิดตัวโครงการแนวราบ (Landed) ที่เป็นระดับจุดสูงสุดรวมกว่า 10 โครงการ
ในส่วนธุรกิจ Logistic Warehouse มองว่า เป็นการกระจายการลงทุนไปในธุรกิจที่มีรายได้ในรูปแบบที่มีความแน่นอนมากขึ้น (Recurring Income) นอกเหนือจากที่ปัจจุบันมีรายได้จากการให้เช่าอาคารสำนักงานและอพาร์ทเม้นท์ให้เช่าที่สหรัฐฯ แต่น่าจะต้องใช้เวลา 1-2 ปี ถึงจะเห็นผลรายได้ที่ชัดเจนมากขึ้น
จากแผนการเปิดโครงการทั้งหมดของทางบริษัท น่าจะเป็นผลดีที่ช่วยเสริมสร้างแนวโน้มเชิงบวกให้กับ โมเมนตัม Presale ใน 2H/22 ได้เป็นอย่างดีและน่าจะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเหตุนี้เองบริษัทน่าจะสามารถทำ ยอด Presale ในปี 2022 ได้บรรลุตามเป้าหมายและปริมาณกำไรสุทธิทั้งปีจะอยุ่ที่ประมาณ 2,000-2,300 ล้านบาท
#JTrader
#เทรดไปเที่ยวไป
#แผนชัดก็ซัดเลย
#SC
ปล1. จากข้อมูลข้างต้น ไม่มีเจตนาชักชวน หรือให้ซื้อ-ขายตามบทความข้างต้น
ปล2. การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรพิจารณาไตร่ตรองการลงทุนว่าจะซื้อหรือขายด้วยตัวท่านเองเท่านั้น
โฆษณา