26 ม.ค. 2023 เวลา 05:30 • ไลฟ์สไตล์

๏ ปริเฉทที่ ๒๖ (ตอน ๔.๒)

มหาปรินิพพานปริวรรต
การบูชาพระตถาคต
**********
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า
"ดูกรอานนท์ มาไปกันเถิด
เราจักไปยังฝั่งโน้นแห่งแม่น้ำหิรัญวดีเมืองกุสินารา
และสาลวัน อันเป็นที่แวะพักแห่งพวกเจ้ามัลละ..."
(สาลวโนทยาน - อุทยานของมัลลกษัตริย์)
ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว
ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคพร้อม
ด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จไปยัง
ฝั่งโน้นแห่งแม่น้ำหิรัญวดี เมืองกุสินารา
และสาลวันอันเป็นที่แวะพักแห่งพวกเจ้ามัลละ
ครั้นแล้วรับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า
"ดูกรอานนท์ เธอจงช่วยตั้งเตียง ให้เรา
หันศีรษะไปทางทิศอุดร ระหว่างไม้สาละทั้งคู่
เราเหน็ดเหนื่อยแล้ว จักนอน..."
ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัส
ของพระผู้มีพระภาคแล้ว ตั้งเตียงหันพระเศียร
ไปทางทิศอุดร ระหว่างไม้สาละทั้งคู่
พระผู้มีพระภาคทรงสำเร็จสีหไสยา
โดยพระปรัสเบื้องขวา ทรงซ้อนพระบาท
เหลื่อมพระบาท มีพระสติสัมปชัญญะ ฯ
**********
~ กถาว่าด้วยการบูชาพระตถาคต (อันสูงสุด) ~
สมัยนั้น ไม้สาละทั้งคู่ เผล็จดอกสะพรั่งนอกฤดูกาล
ดอกไม้เหล่านั้น ร่วงหล่นโปรยปราย
ลงยังพระสรีระของพระตถาคตเพื่อบูชา
แม้ดอกมณฑารพอันเป็นของทิพย์
ก็ตกลงมาจากอากาศ ดอกมณฑารพเหล่านั้น
ร่วงหล่น โปรยปรายลง ยังพระสรีระ
ของพระตถาคตเพื่อบูชา
แม้จุณแห่งจันทน์อันเป็นของทิพย์
ก็ตกลงมาจากอากาศ จุณแห่งจันทน์เหล่านั้น
ร่วงหล่นโปรยปรายลง ยังพระสรีระ
ของพระตถาคตเพื่อบูชา
ดนตรีอันเป็นทิพย์เล่าก็ประโคมอยู่ในอากาศ
เพื่อบูชาพระตถาคต แม้สังคีตอันเป็นทิพย์
ก็เป็นไปในอากาศ เพื่อบูชาพระตถาคต ฯ
ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาค
ตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า
ดูกรอานนท์ ไม้สาละทั้งคู่ เผล็จดอกบาน
สพรั่งนอกฤดูกาล ร่วงหล่นโปรยปราย
ลงยังสรีระ ของตถาคตเพื่อบูชา
แม้ดอกมณฑารพอันเป็นของทิพย์
ก็ตกลงมาจากอากาศ ดอก มณฑารพเหล่านั้น
ร่วงหล่นโปรยปราย ลงยังสรีระของตถาคตเพื่อบูชา
แม้จุณแห่ง จันทน์อันเป็นของทิพย์ ก็ตกลงมาจากอากาศ
จุณแห่งจันทน์เหล่านั้น ร่วงหล่น โปรยปรายลง
ยังสรีระของตถาคตเพื่อบูชา
ดนตรีอันเป็นทิพย์ เล่าก็ประโคมอยู่ในอากาศ
เพื่อบูชาตถาคต
แม้สังคีตอันเป็นทิพย์ก็เป็นไปในอากาศ
เพื่อบูชาตถาคต
"ดูกรอานนท์ ตถาคตจะชื่อว่าอันบริษัทสักการะ
เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม
ด้วยเครื่องสักการะประมาณเท่านี้หามิได้"
"ผู้ใดแล จะเป็นภิกษุ ภิกษุณี
อุบาสก หรืออุบาสิกาก็ตาม
เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตามธรรมอยู่
ผู้นั้นย่อมชื่อว่าสักการะ เคารพ นับถือ
บูชาตถาคต ด้วยการบูชาอย่างยอดเยี่ยม"
(บูชาตถาคต ด้วยการบูชาอันสูงสุด)
เพราะเหตุนั้นแหละอานนท์
พวกเธอพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า
"เราจักเป็นผู้ปฏิบัติ ธรรมสมควรแก่ธรรม
ปฏิบัติชอบ ประพฤติตามธรรมอยู่ ดังนี้ ฯ "
**********
~ เรื่องพระอุปวาณเถระ ~
สมัยนั้น ท่านพระอุปวาณะ
ยืนถวายงานพัดพระผู้มีพระภาค
เฉพาะพระพักตร์
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงขับท่านพระอุปวาณะว่า
"ดูกรภิกษุ เธอจงหลีกไป อย่ายืนตรงหน้าเรา"
ท่านพระอานนท์ได้มีความดำริว่า ท่านอุปวาณะ
รูปนี้เป็นอุปัฏฐากอยู่ใกล้ชิดพระผู้มีพระภาคมาช้านาน
ก็และเมื่อเป็นเช่นนั้น ในกาลครั้งสุดท้าย
พระผู้มีพระภาคทรงขับท่านอุปวาณะว่า
"ดูกรภิกษุ เธอจงหลีกไป อย่ายืนตรงหน้าเรา" ดังนี้
อะไรหนอเป็นเหตุ อะไรหนอเป็นปัจจัย...?
ท่านพระอานนท์ ได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคแล้ว
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
"ดูกรอานนท์ เทวดาในหมื่นโลกธาตุมา
ประชุมกันโดยมากเพื่อจะเห็นตถาคต..."
เมืองกุสินารา สาลวัน อันเป็นที่แวะพัก
แห่งพวกเจ้ามัลละเพียงเท่าใด
โดยรอบถึง ๑๒ โยชน์ ตลอดที่เพียงเท่านี้
จะหาประเทศแม้มาตรว่าเป็นที่จรดลงแห่งปลายขนทราย
อันเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ไม่ถูกต้องแล้วมิได้มี
(ที่แม้ปลายเข็ม ที่ไม่มีเทวดาอยู่เลย นั้นไม่มี)
พวกเทวดายกโทษ (เพ่งโทษ) อยู่ว่า
พวกเรามาแต่ที่ไกลเพื่อจะเห็นพระตถาคต
พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
(ผู้เสด็จอุบัติในโลก ในบางครั้งบางคราว)
ในปัจฉิมยามแห่งราตรีในวันนี้แหละ
พระตถาคตจักปรินิพพาน ก็ภิกษุผู้มีศักดิ์ใหญ่รูปนี้
ยืนบังอยู่เบื้องพระพักตร์พระผู้มีพระภาค
พวกเราไม่ได้เห็นพระตถาคตในกาลเป็นครั้งสุดท้าย ฯ
พระอานนท์ : ข้าแต่องค์ผู้เจริญ ก็พวกเทวดาเป็นอย่างไร
กระทำไว้ในใจ เป็นไฉน...?
พระผู้มีพระภาค : มีอยู่ อานนท์
เทวดาบางพวกสำคัญ อากาศว่าเป็นแผ่นดิน...
เทวดาบางพวกสำคัญ แผ่นดินว่าเป็นแผ่นดิน...
สยายผมประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญอยู่
ล้มลงกลิ้งเกลือกไปมา ดุจมีเท้าอันขาด
แล้วรำพันว่า พระผู้มีพระภาค
จักเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนัก
พระสุคตจักเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนัก
พระองค์ผู้มีพระจักษุในโลก จักอันตรธานเสียเร็วนัก ดังนี้
ส่วนเทวดาพวกที่ปราศจากราคะแล้ว
มีสติสัมปชัญญะ อดกลั้นโดยธรรมสังเวช ว่า
"สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง... เพราะฉะนั้น
เหล่าสัตว์จะพึงได้ในสังขารนี้แต่ที่ไหน..."
(เหล่าสัตว์ จะได้อะไร ในสังขารเช่นนี้...)
**********
[อธิบายความ]
เทวดาทั้งหลาย เมื่อไม่ได้เห็นพระพักตร์
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงติเตียนอย่างนี้.
ถามว่า... ก็เทวดาเหล่านั้น
ไม่สามารถมองทะลุพระเถระหรือ...?
ตอบว่า ไม่สามารถสิ.
ด้วยว่า... เหล่าเทวดาสามารถมองทะลุเหล่าปุถุชนได้
แต่มองทะลุเหล่าพระขีณาสพไม่ได้ ทั้งไม่อาจเข้าไปใกล้ด้วย.
เพราะพระเถระมีอานุภาพมาก มีอำนาจมาก.
ถามว่า... ก็เพราะเหตุไรพระเถระจึงมีอำนาจมาก
ผู้อื่นไม่เป็นพระอรหันต์หรือ.
ตอบว่า... เพราะท่านอุปวาณะเถระ
(เคย) เป็นอารักขเทวดาในเจดีย์
ของพระกัสสปพุทธเจ้าอยู่.
เล่ากันว่า... เมื่อพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว
ชนทั้งหลายได้พากันสร้างพระเจดีย์องค์หนึ่ง
บรรจุพระสารีริกธาตุสรีระอันเป็นเช่นกับแท่งทองคำทึบ.
จริงอยู่พระพุทธเจ้าผู้มีพระชนมายุยืน
ย่อมมีพระเจดีย์องค์เดียวเท่านั้น
คนทั้งหลายใช้แผ่นอิฐทองยาว ๑ ศอก
กว้างหนึ่งคืบ หนา ๘ นิ้ว ก่อพระเจดีย์นั้น
ประสานด้วยหรดาลและมโนศิลาแทนดิน
ชะโลมด้วยน้ำมันงาแทนน้ำ แล้วสถาปนาประมาณโยชน์หนึ่ง.
ต่อนั้น ภุมมเทวดาก็โยชน์หนึ่ง
จากนั้น ก็อาสัฏฐกเทวดา จากนั้นก็อุณหวลาหกเทวดา
จากนั้น ก็อัพภวลาหกเทวดา
จากนั้น ก็เทวดาชั้นจาตุมมหาราช
จากนั้น เทวดาชั้นดาวดึงส์สถาปนาโยชน์หนึ่ง.
พระเจดีย์จึงมี ๗ โยชน์ ด้วยประการฉะนี้.
เมื่อผู้คนถือเอามาลัยของหอมและผ้าเป็นต้นมา
อารักขเทวดาทั้งหลาย ก็พากันถือดอกไม้มาบูชาพระเจดีย์
ทั้งที่ผู้คนเหล่านั้นเห็นอยู่.
ครั้งนั้นพระเถระนี้เป็นพราหมณ์มหาศาล
ถือผ้าเหลืองผืนหนึ่งไป
เทวดาก็รับผ้าจากมือพราหมณ์นั้นไปบูชาพระเจดีย์.
พราหมณ์เห็นดังนั้น ก็มีจิตเลื่อมใสตั้งความปรารถนาว่า
"ในอนาคตกาล แม้เราก็จักเป็นอารักขเทวดา
ในพระเจดีย์ของพระพุทธเจ้า เห็นปานนี้... "
ดังนี้แล้ว จุติจากอัตตภาพนั้น ก็ไปบังเกิดในเทวโลก.
เมื่อพรามหณ์นั้นท่องเที่ยวอยู่ในมนุษยโลกและเทวโลก
พระกัสสปะผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จอุบัติในโลกแล้วปรินิพพาน.
พระธาตุสรีระของพระองค์ก็มีแห่งเดียวเท่านั้น.
ผู้คนทั้งหลายนำพระธาตุสรีระนั้น สร้างพระเจดีย์โยชน์หนึ่ง.
พราหมณ์เป็นอารักขเทวดาในพระเจดีย์นั้น
เมื่อพระศาสดาอันตรธานไป. ก็บังเกิดในสวรรค์
ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราจุติจากสวรรค์นั้นแล้ว
ถือปฏิสนธิในตระกูลใหญ่ ออกบวชแล้วบรรลุพระอรหัต.
พึงทราบว่า พระเถระมีอำนาจมาก เพราะเป็นอารักขเทวดา
ในพระเจดีย์มาแล้ว ด้วยประการฉะนี้.
**********
~ กถาว่าด้วยสังเวชนียสถาน ~
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อก่อนพวกภิกษุ
ผู้อยู่จำพรรษาในทิศทั้งหลาย
ย่อมมาเพื่อเฝ้าพระตถาคต
พวกข้าพระองค์ย่อมได้เห็น
ได้เข้าไปนั่งใกล้ภิกษุเหล่านั้นผู้ให้เจริญใจ
ก็โดยกาลล่วงไปแห่งพระผู้มีพระภาค
พวกข้าพระองค์จักไม่ได้เห็น
ไม่ได้เข้าไปนั่งใกล้พวกภิกษุผู้ให้เจริญใจ ฯ
ดูกรอานนท์ สังเวชนียสถาน ๔ แห่งเหล่านี้
เป็นที่ควรเห็นของ กุลบุตรผู้มีศรัทธา
สังเวชนียสถาน ๔ แห่ง เป็นไฉน คือ...?
(๑.) สังเวชนียสถานอันเป็นที่ควรเห็น
ของกุลบุตรผู้มีศรัทธาด้วยมาตาม
ระลึกว่า พระตถาคตประสูติในที่นี้ ฯ
(๒.) สังเวชนียสถานอันเป็นที่ควรเห็น
ของกุลบุตรผู้มีศรัทธาด้วยมาตาม
ระลึกว่า พระตถาคตตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในที่นี้ ฯ
(๓.) สังเวชนียสถานอันเป็นที่ควรเห็น
ของกุลบุตรผู้มีศรัทธาด้วยมาตาม
ระลึกว่า พระตถาคตทรงยังอนุตตรธรรมจักรให้เป็นไปในที่นี้ ฯ
(๔.) สังเวชนียสถานอันเป็นที่ควรเห็น
ของกุลบุตรผู้มีศรัทธาด้วยมาตาม
ระลึกว่า พระตถาคตเสด็จปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ในที่นี้
สังเวชนียสถาน ๔ แห่งนี้แล
เป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธา ฯ
ดูกรอานนท์ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
จักมาด้วยความเชื่อว่า พระตถาคตประสูติในที่นี้ก็ดี
พระตถาคตตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในที่นี้ก็ดี
พระตถาคตทรงยังอนุตรธรรมจักรให้เป็นไปในที่นี้ก็ดี
พระตถาคตเสด็จปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุในที่นี้ก็ดี
ก็ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง เที่ยวจาริกไปยังเจดีย์ มีจิตเลื่อมใสแล้ว
จักทำกาละลง ชนเหล่านั้นทั้งหมดเบื้องหน้า
แต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ฯ
**********
~ การปฏิบัติในมาตุคาม ~
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์
จะพึงปฏิบัติในมาตุคาม อย่างไร...?
พระผู้มีพระภาค : การไม่เห็น อานนท์ ฯ
ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เมื่อการเห็นมีอยู่
จะพึงปฏิบัติอย่างไร ฯ
พระผู้มีพระภาค : การไม่เจรจา (ไม่พูด) อานนท์ ฯ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
เมื่อต้องเจรจา จะพึงปฏิบัติอย่างไร ฯ
พระผู้มีพระภาค : พึงตั้งสติไว้ อานนท์ ฯ
**********
~ การปฏิบัติในพระพุทธสรีระ ~
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์
จะพึงปฏิบัติใน พระสรีระของพระตถาคตอย่างไร...?
ดูกรอานนท์ พวกเธอจงอย่าขวนขวาย
เพื่อบูชาสรีระตถาคตเลย...
จงสืบต่อพยายามในประโยชน์ของตนๆ เถิด
จงเป็นผู้ไม่ประมาทในประโยชน์ของตนๆ
มีความเพียร มีตนอันส่งไปแล้วอยู่เถิด...
กษัตริย์ผู้เป็นบัณฑิตก็ดี พราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิตก็ดี
คฤหบดีผู้เป็นบัณฑิตก็ดี ผู้เลื่อมใสยิ่งในตถาคตมีอยู่
เขาทั้งหลายจักกระทำการบูชาสรีระตถาคต...
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็เขาทั้งหลาย
จะพึงปฏิบัติในพระสรีระของ ตถาคตอย่างไร...?
ดูกรอานนท์ พึงปฏิบัติในสรีระตถาคต
เหมือนที่เขาปฏิบัติในพระสรีระพระเจ้าจักรพรรดิ ฯ
ข้าแด่พระองค์ผู้เจริญ ก็เขาปฏิบัติ
ในพระสรีระพระเจ้าจักรพรรดิอย่างไร...?
ดูกรอานนท์ เขาห่อพระสรีระพระเจ้าจักรพรรดิ
ด้วยผ้าใหม่แล้วซับด้วยสำลี
แล้วห่อด้วยผ้าใหม่ โดยอุบายนี้
ห่อพระสรีระพระจักรพรรดิด้วยผ้า ๕๐๐ คู่
แล้วเชิญพระสรีระลงในรางเหล็กอันเต็มด้วยน้ำมัน
ครอบด้วยรางเหล็กอื่น แล้วกระทำจิตกาธารด้วยไม้หอมล้วน
ถวายพระเพลิงพระสรีระพระเจ้าจักรพรรดิ
สร้างสถูปของพระเจ้าจักรพรรดิไว้ที่หนทางใหญ่ ๔ แพร่ง
เขาปฏิบัติในพระสรีระพระเจ้าจักรพรรดิ ด้วยประการฉะนี้แล
พวกกษัตริย์ผู้เป็นบัณฑิตเป็นต้น พึงปฏิบัติใน
สรีระตถาคตเหมือนที่เขาปฏิบัติพระสรีระพระเจ้าจักรพรรดิ
พึงสร้างสถูปของ ตถาคตไว้ที่หนทางใหญ่ ๔ แพร่ง
ชนเหล่าใดจักยกขึ้นซึ่งมาลัยของหอมหรือจุณ
จักอภิวาท หรือจักยังจิตให้เลื่อมใสในสถูปนั้น
การกระทำเช่นนั้น จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อความสุข แก่ชนเหล่านั้นสิ้นกาลนาน ฯ
**********
~ กถาว่าด้วยถูปารหปุคคล ๔ ~
ดูกรอานนท์ ถูปารหบุคคล ๔ จำพวก
ถูปารหบุคคล ๔ จำพวก เป็นไฉน...?
(๑) คือ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า...
(๒) พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า...
(๓) สาวกของพระตถาคต...
(๔) พระเจ้าจักรพรรดิ...
ดูกรอานนท์ เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร
พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเป็นถูปารหบุคคล...?
ชนเป็นอันมาก ยังจิตให้เลื่อมใสว่า นี้เป็นสถูป
ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พวกเขายังจิตให้เลื่อมใสในสถูปนั้นแล้ว
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์ข้อนี้แล
พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นถูปารหบุคคล ฯ
ดูกรอานนท์ เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า จึงเป็นถูปารหบุคคล...?
ชนเป็นอันมากยังจิตให้เลื่อมใสว่า
นี้เป็นสถูปของพระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น
พวกเขายังจิตให้เลื่อมใสในสถูปนั้นแล้ว
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์ข้อนี้แล
พระปัจเจกสัมพุทธเจ้าจึงเป็นถูปารหบุคคล ฯ
ดูกรอานนท์ เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร
สาวกของพระตถาคต จึงเป็นถูปารหบุคคล...?
ชนเป็นอันมากยังจิตให้เลื่อมใสว่า นี้เป็นสถูปของสาวก
ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พวกเขายังจิตให้เลื่อมใสในสถูปนั้นแล้ว
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์ข้อนี้แล
สาวกของพระตถาคตจึงเป็นถูปารหบุคคล ฯ
ดูกรอานนท์ เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร
พระเจ้าจักรพรรดิจึงเป็น ถูปารหบุคคล...?
ชนเป็นอันมากยังจิตให้เลื่อมใสว่า
นี้เป็นสถูปของพระธรรมราชา ผู้ทรงธรรมนั้น
พวกเขายังจิตให้เลื่อมใสในสถูปนั้นแล้ว
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะ กายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์ข้อนี้แล
พระเจ้าจักรพรรดิจึงเป็นถูปารหบุคคล
ดูกรอานนท์ ถูปารหบุคคล ๔ จำพวกนี้แล ฯ
**********
~ กถาว่าด้วยทรงปลอบพระอานนท์ ~
ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์
เข้าไปสู่วิหารยืนเหนี่ยวไม้คันทวย ร้องไห้อยู่ ว่า
"เรายังเป็นเสขบุคคลมีกิจที่จะต้องทำอยู่
แต่พระศาสดาของเรา ซึ่งเป็นผู้อนุเคราะห์เรา
ก็จักปรินิพพานเสีย..."
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งถาม พวกภิกษุว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานนท์ไปไหน? "
พวกภิกษุกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ท่านอานนท์นั้น เข้าไปสู่วิหารยืนเหนี่ยวไม้คันทวย ร้องไห้อยู่..."
พระผู้มีพระภาคจึงรับสั่งกะภิกษุรูปหนึ่งว่า
"เธอจงไปเถิดภิกษุ จงบอกอานนท์ตามคำของเราว่า
ท่านอานนท์ พระศาสดารับสั่งหาท่าน..."
ภิกษุนั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว
เข้าไปหาท่านพระอานนท์
พระอานนท์รับคำภิกษุนั้นแล้ว
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค...
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะท่านว่า
"อย่าเลยอานนท์ เธออย่าเศร้าโศก ร่ำไรไปเลย
เราได้บอกไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่าความเป็นต่างๆ
ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอื่น
จากของรักของชอบใจทั้งสิ้นต้องมี...
เพราะฉะนั้น จะพึงได้ในของรักของชอบใจนี้แต่ที่ไหน
สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว
มีความทำลายเป็นธรรมดา...
การปรารถนา ว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลย ดังนี้
มิใช่ฐานะที่จะมีได้...
ดูกรอานนท์เธอได้ อุปัฏฐากตถาคตด้วยกายกรรม
วจีกรรม มโนกรรม อันประกอบด้วยเมตตา
ซึ่งเป็นประโยชน์เกื้อกูล เป็นความสุข ไม่มีสอง
หาประมาณมิได้มาช้านาน เธอได้กระทำบุญไว้แล้ว
อานนท์ จงประกอบความเพียรเถิด
เธอจักเป็นผู้ไม่มีอาสวะโดยฉับพลัน ฯ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายใด
ได้มีแล้วในอดีตกาล ภิกษุผู้เป็นอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคทั้งหลาย
นั้นอย่างยิ่งก็เพียงนี้เท่านั้น คือเหมือนอานนท์ของเรา
(ตรัสสรรเสริญ พระอานนท์เถระ ว่าเป็น
เอตทัคคะ คือ เป็นเลิศว่าภิกษุ ผู้เป็นพุทธอุปัฏฐาก)
(เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเรา ผู้มีสติ)
(เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเรา ผู้มีคติ)
(เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเรา ผู้มีความเพียร)
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายใด
จักมีในอนาคตกาล ภิกษุผู้เป็นอุปัฏฐาก
ของพระผู้มีพระภาคทั้งหลายนั้น อย่างยิ่งก็เพียงนี้เท่านั้น
คือ เหมือนอานนท์ของเรา อานนท์เป็นบัณฑิต
ย่อมรู้ว่า นี้เป็นกาลเพื่อจะเข้าเฝ้าพระตถาคต
นี้เป็นกาลของพวกภิกษุ นี้เป็นกาลของพวกภิกษุณี
นี้เป็นกาลของพวกอุบาสก นี้เป็นกาลของพวกอุบาสิกา
นี้เป็นกาลของพระราชา นี้เป็นกาลของราชมหาอำมาตย์
นี้เป็นกาลของพวกเดียรถีย์
นี้เป็นกาลของพวกสาวกเดียรถีย์ ฯ
**********
~ ธรรมที่น่าอัศจรรย์ในพระอานนท์ ~
ดูกรภิกษุทั้งหลาย "อัพภูตธรรม"
อันน่าอัศจรรย์ ๔ ประการนี้ มีอยู่ในอานนท์
อัพภูตธรรม ๔ ประการ เป็นไฉน...?
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย อัพภูตธรรม
น่าอัศจรรย์ ๔ ประการนี้ มีอยู่ในพระเจ้าจักรพรรดิ..."
ถ้าขัตติยบริษัทเข้าไปเฝ้าพระเจ้าจักรพรรดิ
ด้วยการที่ได้เฝ้า ขัตติยบริษัทนั้นย่อมยินดี
ถ้าพระเจ้าจักรพรรดิมีพระราชดำรัสในขัตติยบริษัทนั้น
แม้ด้วยพระราชดำรัส ขัตติยบริษัทนั้นก็ยินดี
ขัตติยบริษัทยังไม่อิ่มเลย
พระเจ้าจักรพรรดิย่อมทรงนิ่งไปในเวลานั้น
ถ้าพราหมณ์บริษัท ...
คฤหบดีบริษัท ...
สมณบริษัท เข้าไปเฝ้าพระเจ้าจักรพรรดิ
ด้วยการที่ได้เฝ้า สมณบริษัทนั้นย่อมยินดี
ถ้าพระเจ้าจักรพรรดิมีพระราชดำรัสในสมณบริษัทนั้น
แม้ด้วยพระราชดำรัส สมณบริษัทนั้นก็ยินดี
สมณบริษัทยังไม่อิ่มเลย
พระเจ้าจักรพรรดิย่อมทรงนิ่งไปในเวลานั้น ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อัพภูตธรรม
อันน่าอัศจรรย์ ๔ ประการ มีอยู่ในอานนท์
ฉันนั้นเหมือนกัน...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุบริษัท...
ถ้าภิกษุบริษัทเข้าไปเพื่อจะเห็นอานนท์
ด้วยการที่ได้เห็น ภิกษุบริษัทนั้นย่อมยินดี
ถ้าอานนท์แสดงธรรมในภิกษุบริษัทนั้น
แม้ด้วยการแสดง ภิกษุบริษัทนั้นย่อมยินดี
ภิกษุบริษัทยังไม่อิ่มเลย อานนท์ย่อมนิ่งไปในเวลานั้น
ถ้าภิกษุณีบริษัท ...
อุบาสกบริษัท ...
อุบาสิกาบริษัทเข้าไปเพื่อจะเห็นอานนท์
ด้วยการที่ได้เห็น อุบาสิกาบริษัทนั้นย่อมยินดี
ถ้าอานนท์แสดงธรรม ในอุบาสิกาบริษัทนั้น
แม้ด้วยการแสดง อุบาสิกาบริษัทนั้นก็ยินดี
อุบาสิกาบริษัทยังไม่อิ่มเลย
อานนท์ย่อมนิ่งไปในเวลานั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อัพภูตธรรม
อันน่าอัศจรรย์ ๔ ประการนี้แล มีอยู่ในอานนท์ ฯ
**********
~ แจ้งข่าวแก่มัลลกษัตริย์กรุงกุสินารา ~
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว
ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาค
อย่าเสด็จปรินิพพานในเมืองเล็ก เมืองดอน กิ่งเมืองนี้เลย
นครใหญ่เหล่าอื่นมีอยู่ คือ เมืองจัมปา เมืองราชคฤห์
เมืองสาวัตถี เมืองสาเกต เมืองโกสัมพี เมืองพาราณสี..."
"ขอพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานในเมืองเหล่านี้เถิด
กษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาล คฤหบดีมหาศาล
ที่เลื่อมใสอย่างยิ่งในพระตถาคตมีอยู่มากในเมืองเหล่านี้
ท่านเหล่านั้น จักกระทำการบูชาพระสรีระของพระตถาคต..."
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
"ดูกรอานนท์ เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้
เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้ว่า
เมืองเล็ก เมืองดอน กิ่งเมืองดังนี้เลย... "
ดูกรอานนท์ แต่ปางก่อน มีพระเจ้าจักรพรรดิ
ทรงพระนามว่ามหาสุทัสสนะ ผู้ทรงธรรม
เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดิน
มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทรงชนะแล้ว
มีราชอาณาจักรมั่นคง สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ
เมืองกุสินารานี้ มีนามว่า กุสาวดี
เป็นราชธานีของพระเจ้ามหาสุทัสสนะ
โดยยาวด้านทิศบูรพาและทิศประจิม ๑๒ โยชน์
โดยกว้างด้านทิศทักษิณและทิศอุดร ๗ โยชน์
กุสาวดี ราชธานีเป็นเมืองที่มั่งคั่งรุ่งเรือง มีชนมาก
มนุษย์หนาแน่น และมีภิกษาหาได้ง่าย
ดูกรอานนท์ อาลกมันทาราชธานีแห่งเทพเจ้าทั้งหลาย
เป็นเมืองที่มั่งคั่ง รุ่งเรือง มีชนมาก ยักษ์หนาแน่น
และมีภิกษาหาได้ง่าย แม้ฉันใด
กุสาวดีราชธานีก็ฉันนั้นเหมือนกัน...
กุสาวดีราชธานีมิได้เงียบจากเสียงทั้ง ๑๐ ประการ
ทั้ง กลางวันและกลางคืน
คือ เสียงช้าง เสียงม้า เสียงรถ เสียงกลอง
เสียงตะโพน เสียงพิณ เสียงขับร้อง เสียงกังสดาล
เสียงประโคม และเสียงเป็นที่ ๑๐ ว่า
ท่านทั้งหลายจงบริโภค จงดื่มจงเคี้ยวกิน...
จงไปเถิดอานนท์ เธอจงเข้าไปในเมืองกุสินารา
แล้วบอกแก่พวกเจ้ามัลละ เมืองกุสินาราว่า
"ดูกรวาสิฏฐะทั้งหลาย พระตถาคตจักปรินิพพาน
ในปัจฉิมยามแห่งราตรีในวันนี้..."
"พวกท่านจงรีบออกไปกันเถิดๆ
พวกท่านอย่าได้มีความร้อนใจในภายหลังว่า
พระตถาคตได้ปรินิพพานในคามเขตของพวกเรา
พวกเราไม่ได้เฝ้าพระตถาคตในกาลครั้งสุดท้าย..."
ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัส
ของพระผู้มีพระภาคแล้ว นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร
เข้าไปในเมืองกุสินาราลำพังผู้เดียว
สมัยนั้น พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารา
ประชุมกันอยู่ที่สัณฐาคารด้วยกรณียกิจบางอย่าง
ลำดับนั้นท่านพระอานนท์เข้าไปยังสัณฐาคาร
ของพวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารา
ครั้นแล้วได้บอกแก่พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารา...
พวกเจ้ามัลละกับโอรส สุณิสาและปชาบดีได้
สดับคำนี้ของท่านพระอานนท์แล้ว เป็นทุกข์เสียพระทัย
เปี่ยมไปด้วยความทุกข์ใจ บางพวกสยายพระเกศา
ประคองหัตถ์ทั้งสองคร่ำครวญอยู่ ล้มลงกลิ้งเกลือกไปมา
ดุจมีบาทอันขาดแล้ว
ทรงรำพันว่า พระผู้มีพระภาคจักเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนัก
พระสุคตจักเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนัก
พระองค์ผู้มีพระจักษุในโลก จักอันตรธานเสียเร็วนัก ฯ
ครั้งนั้น พวกเจ้ามัลละกับโอรส สุณิสาปชาบดีเป็นทุกข์เสียพระทัย
เปี่ยมไปด้วยความทุกข์ใจ เสด็จเข้าไปยัง สาลวัน...
ท่านพระอานนท์ได้มีความดำริว่า
ถ้าเราจักให้พวก เจ้ามัลละ เมืองกุสินารา
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคทีละองค์ๆ พวกเจ้ามัลละ
เมืองกุสินาราจักมิได้ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคทั่วกัน
ราตรีนี้จักสว่างเสีย...
ถ้ากระไร... เราควรจะจัดให้พวกเจ้ามัลละ
เมืองกุสินารา ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคโดยลำดับสกุลๆ
ด้วยกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เจ้ามัลละมีนามอย่างนี้
พร้อมด้วยโอรส ชายา บริษัทและอำมาตย์
ขอถวายบังคมพระบาท ทั้งสองของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า ฯ
ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์จัดให้พวกเจ้ามัลละ เมืองกุสินารา
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคโดยลำดับสกุล...
โดยอุบายเช่นนี้ ท่านพระอานนท์
ยังพวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารา ให้ถวายบังคม
พระผู้มีพระภาคเสร็จโดยปฐมยามเท่านั้น ฯ
**********

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา