Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เบื่อเมือง
•
ติดตาม
28 ม.ค. 2023 เวลา 12:26 • ไลฟ์สไตล์
๏ ปริเฉทที่ ๒๖ (ตอน ๖)
มหาปรินิพพานปริวรรต
พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน
**********
~ ธรรม และวินัย จักเป็นศาสดาของเธอ ~
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค
ตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า
ดูกรอานนท์ บางทีพวกเธอ
จะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า
"ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงแล้ว
พระศาสดาของพวกเราไม่มี
ก็ข้อนี้ พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น..."
"ธรรม และวินัย อันใดเราแสดงแล้ว
บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ"
ธรรม และวินัย อันนั้น
จักเป็นศาสดา ของพวกเธอ..."
**********
~ การกล่าวคำ อาวุโส ~
โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
ดูกรอานนท์ บัดนี้พวกภิกษุยังเรียกกัน
และกันด้วยวาทะว่า อาวุโส ฉันใด
โดยกาลล่วงไปแห่งเรา ไม่ควรเรียกกัน ฉันนั้น
ภิกษุผู้แก่กว่า พึงเรียกภิกษุผู้อ่อนกว่า
โดยชื่อหรือโคตร หรือโดยวาทะว่า อาวุโส
(ท่านผู้มีอายุ)
แต่ภิกษุผู้อ่อนกว่า พึงเรียกภิกษุผู้แก่กว่า
ว่า ภันเต (ท่านผู้เจริญ) หรือ อายัสมา
ดูกรอานนท์ โดยล่วงไปแห่งเรา
สงฆ์จำนงอยู่ ก็จงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียบ้างได้
**********
~ ลงพรหมทัณฑ์ ฉันนภิกษุ ~
เรื่องมีอยู่ว่า พระฉันนะ เมื่อบวชมาแล้ว
มีมานะถือตัวถือตน ว่าเคยเป็นคนสนิท
ของพระศาสดา จึงเป็นผู้ว่ายากสอนยาก...
(พระศาสดา จึง ต้องการสั่งสอน
พระฉันนะ ให้รู้สึกตน จะได้กลับตัว...)
โดยล่วงไปแห่งเรา พึงลงพรหมทัณฑ์แก่ ฉันนภิกษุ
ท่านพระอานนท์กราบทูลถามว่า
ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ ก็พรหมทัณฑ์เป็นไฉน?
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
"ดูกรอานนท์ ฉันนภิกษุ พึงพูดได้ตามที่ตนปรารถนา
(พึงทำได้ ตามตนปรารถนา...)
ภิกษุทั้งหลายไม่พึงว่า ไม่พึงกล่าว ไม่พึงสั่งสอน ฯ"
(ไม่พูด... ไม่ยุ่ง... ไม่คบด้วย)
(ภายหลัง พระฉันนะ รู้สึกตน
แล้วตั้งใจ ประพฤติปฏิบัติธรรม
บรรลุเป็น พระอรหันต์ ในที่สุด)
**********
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค
ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมารับสั่งว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความสงสัยเคลือแคลง
ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ในมรรค หรือในข้อปฏิบัติ
จะพึงมีบ้างแก่ภิกษุ แม้รูปหนึ่ง พวกเธอจงถามเถิด"
"อย่าได้มีความร้อนใจภายหลังว่า
พระศาสดาอยู่ เฉพาะหน้าเราแล้ว
ยังมิอาจ ทูลถามพระผู้มีพระภาคในที่เฉพาะพระพักตร์"
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว
ภิกษุเหล่านั้นพากันนิ่ง...
แม้ครั้งที่สอง ...
แม้ครั้งที่สาม ...
พระผู้มีพระภาครับสั่งอีกอย่างนั้น
แม้ครั้งที่สามภิกษุ เหล่านั้น ก็พากันนิ่ง ฯ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย บางทีพวกเธอไม่ถาม
แม้เพราะความเคารพในพระศาสดา
แม้ภิกษุผู้เป็นสหาย ก็จงบอกแก่ภิกษุผู้สหายเถิด"
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว
ภิกษุพวกนั้น พากันนิ่ง
ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาแล้ว
ข้าพระองค์เลื่อมใส ในภิกษุสงฆ์ อย่างนี้ว่า
ความสงสัยเคลือบแคลงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ในมรรค หรือในข้อปฏิบัติ มิได้มีแก่ภิกษุ แม้รูปหนึ่งในภิกษุสงฆ์นี้..."
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"ดูกรอานนท์ เธอพูดเพราะความเลื่อมใสตถาคต
หยั่งรู้ในข้อนี้เหมือนกันว่า :-
"ความสงสัย เคลือบแคลงใน
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในมรรค
หรือในข้อปฏิบัติ มิได้มีแก่ภิกษุแม้รูปหนึ่ง ในภิกษุสงฆ์นี้
บรรดาภิกษุ ๕๐๐ รูปนี้"
"ภิกษุรูปที่ต่ำที่สุด ก็เป็นโสดาบัน
มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา
เป็นผู้เที่ยง มีอันจะตรัสรู้ในภายหน้า"
**********
~ พระดำรัสสุดท้ายของพระผู้มีพระภาค ~
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค
รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย
บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า
สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
พวกเธอ จงยังความไม่ประมาท ให้ถึงพร้อมเถิด
นี้เป็นพระปัจฉิมวาจา ของพระตถาคต"
**********
~ พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ~
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเข้าปฐมฌาน
ออกจาก ปฐมฌานแล้ว ทรงเข้าทุติยฌาน
ออกจาก ทุติยฌานแล้ว ทรงเข้าตติยฌาน
ออกจาก ตติยฌานแล้ว ทรงเข้าจตุตถฌาน
ออกจาก จตุตถฌานแล้ว ทรงเข้าอากาสนัญจายตนะ
ออกจากอากาสนัญจายตนะแล้ว ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนะ
ออกจากวิญญาณัญจายตนะแล้ว ทรงเข้าอากิญจัญญายตนะ
ออกจากอากิญจัญญายตนะแล้ว ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ
ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนะแล้ว ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ฯ
ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์
ได้กล่าวถามท่านพระอนุรุทธะว่า
พระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพาน แล้วหรือ...?
ท่านพระอนุรุทธะ ตอบว่า อานนท์ผู้มีอายุ
พระผู้มีพระภาคยังไม่เสด็จปรินิพพาน
ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ฯ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค
ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้ว
ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ
ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติแล้ว
ทรงเข้าอากิญจัญญายตนะ
ออกจากอากิญจัญญายตนสมาบัติแล้ว
ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนะ
ออกจากวิญญานัญจายตนสมาบัติแล้ว
ทรงเข้าอากาสานัญจายตนะ
ออกจากอากาสนัญจายตนสมาบัติแล้ว
ทรงเข้าจตุตถฌาน
ออกจากจตุตถฌานแล้ว ทรงเข้าตติยฌาน
ออกจากตติยฌานแล้ว ทรงเข้าทุติยฌาน
ออกจากทุติยฌานแล้ว ทรงเข้าปฐมฌาน
ออกจากปฐมฌานแล้ว ทรงเข้าทุติยฌาน
ออกจากทุติยฌานแล้ว ทรงเข้าตติยฌาน
ออกจากตติยฌานแล้ว ทรงเข้าจตุตถฌาน
พระผู้มีพระภาค ออกจากจตุตถฌานแล้ว
เสด็จปรินิพพานในลำดับ
(แห่งการพิจารณาองค์จตุตถฌานนั้น) ฯ
**********
พระผู้มีพระภาคปรินิพพาน
เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว
พร้อมกับการเสด็จปรินิพพาน
ได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่
เกิดความขนพองสยองเกล้าน่าพึงกลัว
ทั้งกลองทิพย์ก็บันลือขึ้น ฯ
เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว
พร้อมกับการเสด็จปรินิพพาน
ท้าวสหัมบดีพรหมได้กล่าวคาถานี้ ความว่า
"สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จักต้องทอดทิ้งร่างกายไว้ในโลก
แต่พระตถาคต ผู้เป็นศาสดาเช่นนั้น
หาบุคคลจะเปรียบเทียบมิได้ในโลก
เป็นพระสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระกำลัง ยังเสด็จปรินิพพาน"
**********
เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว
พร้อมกับการเสด็จปรินิพพาน
ท้าวสักกะจอมเทพ ได้ตรัสพระคาถานี้ความว่า
"สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ
มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา
บังเกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไป
ความเข้าไปสงบสังขาร เหล่านั้น เป็นสุข"
**********
เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว
พร้อมกับการเสด็จปรินิพพาน
ท่านพระอนุรุทธะ ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ความว่า
"ลมอัสสาสะ ปัสสาสะของพระมุนี ผู้มีพระทัยตั้งมั่น
คงที่ ไม่หวั่นไหว ทรงปรารภสันติ ทรงทำกาละ มิได้มีแล้ว
พระองค์มีพระทัยไม่หดหู่ ทรงอดกลั้นเวทนาได้แล้ว
ความพ้นแห่งจิต ได้มีแล้ว เหมือนดวงประทีปดับไป ฉะนั้น"
**********
เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว
พร้อมกับการเสด็จปรินิพพาน
ท่านพระอานนท์ได้กล่าวคาถานี้ ความว่า
"เมื่อพระสัมพุทธเจ้า ผู้ประกอบด้วย
อาการอันประเสริฐทั้งปวง
เสด็จปรินิพพานแล้ว...
ในครั้งนั้นได้เกิดความอัศจรรย์
น่าพึงกลัว และเกิดความขนพองสยองเกล้า"
**********
เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว
บรรดาภิกษุทั้งหลายนั้น
ภิกษุเหล่าใด ยังมีราคะไม่ไปปราศแล้ว
ภิกษุเหล่านั้น บางพวกประคองแขนทั้งสอง
คร่ำครวญอยู่ ล้มลงกลิ้งเกลือกไปมา
ดุจมีเท้าอันขาดแล้ว รำพันว่า
"พระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนัก
พระสุคตเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนัก
พระองค์ผู้มีพระจักษุในโลก อันตรธานเสียเร็วนัก..."
ส่วนภิกษุเหล่าใดที่มีราคะไปปราศแล้ว
(ปราศจากราคะแล้ว)
ภิกษุเหล่านั้นมีสติสัมปชัญญะ
อดกลั้นโดยธรรมสังเวชว่า
"สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยงหนอ
เพราะฉะนั้น เหล่าสัตว์
จะพึงได้ในสังขารนี้แต่ที่ไหน"
**********
ครั้งนั้น ท่านพระอนุรุทธะเตือนภิกษุทั้งหลายว่า
"อย่าเลยอาวุโสทั้งหลาย
พวกท่านอย่าเศร้าโศก อย่าร่ำไรไปเลย..."
เรื่องนี้พระผู้มีพระภาค
ตรัสบอกไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า
"ความเป็นต่างๆ ความพลัดพราก
ความเป็นอย่างอื่น จากของรัก
ของชอบใจทั้งสิ้นต้องมี..."
"เพราะฉะนั้น
จะพึงได้ในของรักของชอบใจนี้แต่ที่ไหน..."
"สิ่งใดเกิดแล้วมีแล้วปัจจัยปรุงแต่งแล้ว
มีความทำลายเป็นธรรมดา..."
"การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลย ดังนี้
มิใช่ฐานะที่จะมีได้..."
**********
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย พวกเทวดาพากันยกโทษอยู่
ท่านพระอานนท์ถามว่า ท่านอนุรุทธะ
พวกเทวดาเป็นอย่างไร กระทำไว้ในใจเป็นไฉน
ท่านพระอนุรุทธะ ตอบว่า
มีอยู่ อานนท์ผู้มีอายุ...
เทวดาบางพวกสำคัญอากาศว่าเป็นแผ่นดิน
สยายผมประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญอยู่
ล้มลงกลิ้งเกลือกไปมา ดุจมีเท้าอันขาดแล้วรำพันว่า
"พระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนัก
พระสุคตเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนัก
พระองค์ผู้มีพระจักษุในโลก อันตรธานเสียเร็วนัก ดังนี้"
เทวดาบางพวกสำคัญแผ่นดินว่าเป็นแผ่นดิน
สยายผมประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญอยู่
ล้มลงกลิ้งเกลือกไปมา ดุจมีเท้าอันขาดแล้ว รำพันว่า
"พระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนัก
พระองค์ผู้มีพระจักษุในโลกอันตรธานเสียเร็วนัก ดังนี้"
ส่วนเทวดาที่ปราศจากราคะแล้ว มีสติสัมปชัญญะ
อดกลั้นโดยธรรมสังเวชว่า
"สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เพราะฉะนั้น
เหล่าสัตว์จะพึงได้ในสังขารนี้แต่ที่ไหน"
**********
~ แจ้งข่าวปรินิพพาน ~
ครั้งนั้น ท่านพระอนุรุทธะ
และท่านพระอานนท์ ยังกาลให้ล่วงไปด้วย
ธรรมีกถาตลอดราตรีที่ยังเหลืออยู่นั้น
ลำดับนั้น ท่านพระอนุรุทธะ
สั่งท่านพระอานนท์ว่า ไปเถิดอานนท์ผู้มีอายุ
ท่านจงเข้าไปเมืองกุสินารา
บอกแก่พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราว่า
"ดูกรวาสิฏฐะทั้งหลาย
พระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว
ขอพวกท่านจงทราบกาลอันควรในบัดนี้เถิด..."
ท่านพระอานนท์รับคำ
ท่านพระอนุรุทธะแล้ว
เวลาเช้านุ่งแล้วถือบาตรและจีวร
เข้าไปเมืองกุสินาราลำพังผู้เดียว ฯ
สมัยนั้น พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราประชุมกันอยู่ที่สัณฐาคาร
ด้วยเรื่องปรินิพพานนั้นอย่างเดียว
ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์ เข้าไปยังสัณฐาคาร
ของพวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารา
ครั้นเข้าไปแล้ว ได้บอกแก่พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราว่า
"ดูกรวาสิฏฐะทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว
ขอท่าน ทั้งหลายจงทราบกาลอันควรในบัดนี้เถิด..."
พวกเจ้ามัลละกับโอรส สุณิสาและประชาบดี
ได้ทรงสดับคำนี้ของท่านพระอานนท์แล้ว
เป็นทุกข์เสียพระทัย เปี่ยมไปด้วยความทุกข์ในใจ
บางพวกสยายพระเกศา ประคองหัตถ์ทั้งสองคร่ำครวญอยู่
ล้มลงกลิ้งเกลือกไปมา ดุจมีบาทอันขาดแล้ว ทรงรำพันว่า
"พระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนัก
พระสุคตเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนัก
พระองค์ผู้มีพระจักษุ ในโลกอันตรธานเสียเร็วนัก ดังนี้"
ลำดับนั้น พวกเจ้ามัลละ เมืองกุสินารา
ตรัสสั่ง พวกบุรุษว่า
"ดูกรพนาย ถ้าอย่างนั้น
พวกท่านจงเตรียมของหอมมาลัย
และเครื่องดนตรีทั้งปวง
บรรดามีในกรุงกุสินาราไว้ให้พร้อมเถิด"
พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารา
ทรงถือเอาของหอมมาลัยและเครื่องดนตรีทั้งปวง
กับผ้า ๕๐๐ คู่ เสด็จเข้าไปยังสาลวัน...
เสด็จเข้าไปถึงพระสรีระพระผู้มีพระภาค
ครั้นเข้าไปถึงแล้วสักการะ เคารพ นับถือ บูชาพระสรีระพระผู้มีพระภาค
ด้วยการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคม มาลัยและของหอม
ดาดเพดานผ้า ตกแต่งโรงมณฑล
ยังวันนั้นให้ล่วงไปด้วยประการฉะนี้
ลำดับนั้น พวกเจ้ามัลละ เมืองกุสินารา
ได้มีความดำริว่า การถวายพระเพลิงพระสรีระ
พระผู้มีพระภาคในวันนี้พลบค่ำเสียแล้ว
พรุ่งนี้เราจักถวายพระเพลิงพระสรีระพระผู้มีพระภาค
พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราสักการะ
เคารพนับถือ บูชา พระสรีระพระผู้มีพระภาค
ด้วยการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคม มาลัยและของหอม
ดาดเพดานผ้า ตกแต่ง โรงมณฑล
ยังวันที่สอง ที่สาม ที่สี่ ที่ห้า ที่หก ให้ล่วงไป...
ครั้นถึงวันที่เจ็ด...
พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารา
ได้มีความดำริว่า เราสักการะ เคารพ นับถือ
บูชาพระสรีระพระผู้มีพระภาค ด้วยการฟ้อนรำ
ขับร้อง ประโคม มาลัยและของหอม
จักเชิญไปทางทิศ ทักษิณ แห่งพระนคร
แล้วเชิญไปภายนอกพระนคร
ถวายพระเพลิง พระสรีระพระผู้มีพระภาค
ทางทิศทักษิณแห่งพระนครเถิด...
**********
~ มัลลปาโมกข์ ๘ ท่าน ยกพระสรีระไม่ขึ้น ~
สมัยนั้น มัลลปาโมกข์ ๘ องค์
สระสรงเกล้าแล้วทรงนุ่งผ้าใหม่
ด้วยตั้งพระทัยว่า เราจักยกพระสรีระพระผู้มีพระภาค
ก็มิอาจจะยกขึ้นได้...
ลำดับนั้นพวกเจ้ามัลละ เมืองกุสินารา
ได้ถามท่านพระอนุรุทธะว่า
ข้าแต่ท่านอนุรุทธะ อะไรหนอเป็นเหตุ
อะไรหนอเป็นปัจจัย...?
ให้มัลลปาโมกข์ ๘ องค์นี้ ด้วยตั้งใจว่า
เราจักยกพระสรีระพระผู้มีพระภาค
ก็มิอาจยกขึ้นได้...
พระอนุรุทธะ : ดูกรวาสิฏฐะทั้งหลาย
ความประสงค์ของพวกท่านอย่างหนึ่ง
ของพวกเทวดาอย่างหนึ่ง ฯ
เจ้ามัลละ : ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ก็ความประสงค์ของพวกเทวดาเป็นอย่างไร ฯ
พระอนุรุทธะ : ดูกรวาสิฏฐะทั้งหลาย
ความประสงค์ของพวกท่านว่า...
จักเชิญไปทาง "ทิศทักษิณ" แห่งพระนคร
แล้วเชิญไปภายนอกพระนคร
ถวายพระเพลิงพระสรีระพระผู้มีพระภาค
ทาง "ทิศทักษิณ" แห่งพระนคร...
ความประสงค์ของพวกเทวดาว่า
เราสักการะ เคารพ นับถือ
บูชาพระสรีระพระผู้มีพระภาค
ด้วยการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคม มาลัย
และของหอมอันเป็นทิพย์
จักเชิญไปทาง "ทิศอุดร" แห่งพระนคร
แล้วเข้าไปสู่พระนครโดยทวาร "ทิศอุดร"
เชิญไปท่าม กลางพระนคร
แล้วออกโดยทวาร "ทิศบูรพา"
แล้วถวายพระเพลิงพระสรีระพระผู้มีพระภาค
ที่มกุฏพันธนเจดีย์ของพวกเจ้ามัลละ
ทาง "ทิศบูรพา" แห่งพระนคร ฯ
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอให้เป็นไปตาม
ความประสงค์ของพวกเทวดาเถิด ฯ
**********
~ พึงปฏิบัติในพระสรีระพระตถาคต
เหมือนที่เขาปฏิบัติในพระสรีระพระเจ้าจักรพรรดิ ~
สมัยนั้น เมืองกุสินารา
เดียรดาษไปด้วยดอกมณฑารพ โดยถ่องแถว
ประมาณแค่เข่า จนตลอดที่ต่อแห่งเรือน
บ่อของโสโครกและกองหยากเยื่อ
ครั้งนั้น พวกเทวดา และพวกเจ้ามัลละ
เมืองกุสินาราสักการะ เคารพ นับถือ
บูชาพระสรีระพระผู้มีพระภาค
ด้วยการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคม มาลัย
และของหอม ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์
เชิญไปทาง ทิศอุดร แห่งพระนคร
แล้วเข้าไปสู่พระนครโดยทวาร ทิศอุดร
เชิญไปท่ามกลางพระนคร แล้วออกโดยทวาร ทิศบูรพา
แล้ววางพระสรีระพระผู้มีพระภาค
ณ มกุฏพันธนเจดีย์ของพวกเจ้ามัลละ
ทางทิศบูรพาแห่งพระนคร
ลำดับนั้น พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารา
ได้ถามท่านพระอานนท์ว่า
ข้าแต่ท่านพระอานนท์ พวกข้าพเจ้า
จะปฏิบัติอย่างไรในพระสรีระพระผู้มีพระภาค ฯ
พระอานนท์ : ดูกรวาสิฏฐะทั้งหลาย
พวกท่านพึงปฏิบัติในพระสรีระพระตถาคต
เหมือนที่เขาปฏิบัติในพระสรีระพระเจ้าจักรพรรดิฉะนั้น ฯ
เจ้ามัลละ : ข้าแต่ท่านอานนท์ ก็เขาปฏิบัติ
ในพระสรีระพระเจ้าจักรพรรดิอย่างไร...?
พระอานนท์ : ดูกรวาสิฏฐะทั้งหลาย
เขาห่อพระสรีระพระเจ้าจักรพรรดิด้วยผ้าใหม่
แล้วซับด้วยสำลี แล้วห่อด้วยผ้าใหม่ โดยอุบายนี้
ห่อพระสรีระพระเจ้าจักรพรรดิด้วย ผ้า ๕๐๐ คู่
แล้วเชิญพระสรีระ ลงในรางเหล็กอันเต็มด้วยน้ำมัน
ครอบด้วยรางเหล็กอื่น แล้วกระทำจิตกาธารด้วยไม้หอมล้วน
ถวายพระเพลิงพระสรีระ พระเจ้าจักรพรรดิแล้ว
สร้างสถูปของพระเจ้าจักรพรรดิไว้ที่หนทางใหญ่ ๔ แพร่ง
เขาปฏิบัติในพระสรีระพระเจ้าจักรพรรดิด้วยประการฉะนี้แล
พวกท่านพึงปฏิบัติในพระสรีระพระตถาคต
เหมือนที่เขาปฏิบัติในพระเจ้าจักรพรรดิ พึงสร้างสถูป
ของพระตถาคตไว้ที่หนทางใหญ่ ๔ แพร่ง
ชนเหล่าใดจักยกขึ้นซึ่งมาลัยของหอม หรือ จุณ
จักอภิวาท หรือจักยังจิตให้เลื่อมใสในพระสถูปนั้น
การกระทำเช่นนั้น จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อความสุข แก่ชนเหล่านั้นสิ้นกาลนาน ฯ
**********
ลำดับนั้น พวกเจ้ามัลละ เมืองกุสินารา
ตรัสสั่งพวกบุรุษว่า
ดูกรพนาย ถ้าอย่างนั้น
พวกท่านจงเตรียมสำลีไว้ให้พร้อมเถิด
พวกเจ้ามัลละ เมืองกุสินารา
ห่อพระสรีระพระผู้มีพระภาค ด้วยผ้าใหม่
แล้วซับด้วยสำลี แล้วห่อด้วยผ้าใหม่ โดยอุบายนี้
ห่อพระสรีระพระผู้มีพระภาค ด้วยผ้า ๕๐๐ คู่
แล้วเชิญลงในรางเหล็ก อันเต็มด้วยน้ำมัน
ครอบด้วยรางเหล็กอื่น แล้วกระทำจิตกาธาร
ด้วยไม้หอมล้วน แล้วจึงเชิญพระสรีระ
พระผู้มีพระภาคขึ้นสู่จิตกาธาร ฯ
**********
บันทึก
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
พุทธประวัติ
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย