29 ม.ค. 2023 เวลา 13:08 • ไลฟ์สไตล์
“ทั้งภายใน ทั้งภายนอก เป็นแค่ปรากฏการณ์เท่านั้นเอง”
“ … ธรรมะที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มีอยู่
อย่าทิ้งการทำในรูปแบบ
แต่อย่าทำแล้วเคร่งเครียด
แล้วถ้าทำแล้ว เกิดรู้เกิดเห็นอะไรขึ้นมา
รู้แล้ววางเสีย อย่ายึดถือ อย่าไปเชื่อมัน
จุดสำคัญที่เราจะเรียนคือเรื่องทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อันอื่นไม่ใช่
อย่างไปรู้อดีต รู้อนาคตอะไรนี้ เสียเวลา
รู้จิตคนอื่น รู้อะไร เสียเวลา
ให้รู้ทุกข์เอาไว้
พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกให้รู้อย่างอื่น
ท่านบอกให้รู้ทุกข์ รู้กายรู้ใจของตัวเองไว้
ที่จริงถ้าฝึกชำนาญ รู้ข้างนอกก็ได้
รูปข้างนอก นามข้างนอก มันก็แสดงไตรลักษณ์
แต่จิตต้องมีกำลังพอ จิตต้องตั้งมั่นจริงๆ
ไม่อย่างนั้นไปรู้รูปนามข้างนอกแล้ว
จิตไหลออกไปข้างนอก อริยมรรคจะไม่เกิด
เพราะอริยมรรคเวลาเกิด เกิดที่จิต ไม่ได้ไปเกิดข้างนอก
แต่ถามว่าเห็นรูปนามข้างนอกเป็นไตรลักษณ์ แล้วบรรลุได้ไหม
ได้ ถ้าจิตมีกำลังพอ ตั้งมั่น
เพราะฉะนั้นในสติปัฏฐาน ท่านจะพูดถึง
รูปในที่ใกล้ รูปในที่ไกล รูปข้างนอก รูปภายใน
ภายนอก ถ้าสมาธิพอแล้วใช้ได้หมดเลย
มันเหมือนกันหมด
แล้วภาวนาถึงจุดหนึ่งเราจะเห็น
ทั้งภายใน ทั้งภายนอก เป็นแค่ปรากฏการณ์เท่านั้นเอง
ร่างกายนี้ก็เป็นปรากฏการณ์อันเดียวกับโลกข้างนอก
เป็นส่วนหนึ่งของโลกนั่นเอง
ร่างกายจิตใจเรา ขันธ์ 5 ของเรา
กับโลกข้างนอกเสมอกัน เท่าเทียมกัน
เป็นแค่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป
หาต้นทางไม่เจอ หาปลายทางไม่เจอ
สืบเนื่องกันไปเรื่อยๆ
สังสารวัฏหมุนอยู่อย่างนี้ เป็นปรากฏการณ์
สังขารทั้งหลาย ทั้งภายใน ทั้งภายนอก
ถึงจุดที่จิตมีกำลังจริงๆ
ไม่มีคำว่าภายใน ภายนอกเลย
อันนี้เป็นโลก เป็นสังขาร เป็นโลก
แล้วจิตที่พ้นโลก มันเป็นอีกอันหนึ่ง
จิตที่พ้นโลกเป็นอีกแบบหนึ่ง
มันจะเข้าใจ มันไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
นั่นจิตที่มันสัมผัสกับพระนิพพานเต็มที่แล้ว
จิตของเรามันสัมผัสโลก
สัมผัสในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส
ในสัมผัส ในเรื่องราวทางใจ
จิตเราสัมผัสแต่สิ่งเหล่านี้ มันก็รู้สึกโลกมีจริง
แต่ถ้าปัญญาแก่รอบ สมาธิสมบูรณ์
มันวางโลกข้างนอก วางกาย วางใจได้
มันก็วางโลกข้างนอกพร้อมๆ กัน
มันจะเห็นเป็นแค่ปรากฏการณ์ของรูปธรรม นามธรรม ที่ไหลผ่านไป ไม่มีจุดตั้งต้น ไม่มีจุดสิ้นสุด สังสารวัฏเป็นอย่างนั้น
เราไม่ได้ไปยุ่งกับมัน พอจิตมันพ้นออกไปจากสังสารวัฏ
มันไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
ที่แก่ ที่เจ็บ ที่ตาย คือสังขารทั้งหลาย
ค่อยฝึกนะ มันมีอยู่ธรรมะอย่างนี้
ธรรมะที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มีอยู่
เวลาตาย อะไรตาย ขันธ์มันตาย
เวลาเจ็บ ขันธ์มันเจ็บ มันเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นถ้าเราภาวนาสุดขีด ในพระไตรปิฎกมี ท่านบอกไว้ อย่างพระอรหันต์ ถ้าไปถามท่านว่า “พระอรหันต์นิพพานแล้วไปไหน”
ท่านจะตอบแค่ว่า “รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดขึ้นแล้วดับไป”
มันคือปรากฏการณ์ที่ท่านเห็น แล้วทำไมไม่มาพูดเรื่องนี้ เรื่องธาตุรู้ของท่าน เพราะมันไม่ใช่ของท่าน ท่านไม่ได้ยึดถือ ไม่มีเจ้าข้าวเจ้าของอะไร
จิตที่ถึงธรรมแท้แล้ว วางโลกแล้ว
จิตนั้นมันทรงธรรมอยู่ มันทรงพระนิพพานอยู่
มีความสุข มีความสงบ
เวลาแก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องของขันธ์
มันจะเห็นแค่นั้น
ไม่ได้เห็นว่านิพพานแล้วไปไหน
ความคิดว่านิพพานแล้วไปไหน
มันเกิดจากพวกสัสสตทิฏฐิ เป็นมิจฉาทิฏฐิ
มันคิดว่ามีสิ่งหนึ่งเที่ยงอยู่ พอขันธ์มันแตก
ตัวนี้มันไปเกิดใหม่ ในโลกพระนิพพาน
นี่ไม่ใช่ชาวพุทธ ไม่ใช่นิพพานพุทธ
มันเป็นนิพพานพรหม
ฉะนั้นเราค่อยๆ ภาวนา รู้ทุกข์ไว้
ดูกายดูใจมันไป เห็นไตรลักษณ์ไป
ทุกวันถือศีล 5 ไว้ ทุกวันต้องแบ่งเวลาไหว้พระ สวดมนต์
ทำในรูปแบบ นั่งสมาธิ เดินจงกรม
เวลาที่เหลือเจริญสติในชีวิตประจำวัน
ทำอย่างนี้ให้ได้
แล้ววันหนึ่งก็จะเห็นความจริงของรูป มันก็วางรูป
เห็นความจริงของนาม ก็วางนาม
เห็นความจริงของจิต มันก็วางจิต มันวางหมด
เห็นโลกทั้งโลกเป็นอันเดียวกันหมด
เป็นแค่ปรากฏการณ์เท่านั้นเอง
ไม่มีใครลิขิต ไม่มีเจ้าข้าวเจ้าของ
สัมพันธ์กันไปด้วยเหตุด้วยผลเท่านั้น
ตามเหตุปัจจัย …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
14 มกราคม 2566
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา