31 ม.ค. 2023 เวลา 04:11 • ปรัชญา
“คิดดีก็ใจเย็น คิดไม่เป็นจะเย็นสบาย”
“ … ทฤษฎีชี้นำที่สำคัญก็คือสิ่งทั้งหลายมาจากเหตุทั้งนั้นเลย
ชาวพุทธเราพูดแต่เรื่องเหตุกับผล ไม่มีอะไรที่งมงาย
ถ้าเราทำเหตุที่ชั่ว เราก็ได้รับผลที่ชั่ว
เราทำเหตุที่ไม่ชั่ว ทำเหตุที่ดี
อย่างเจริญมรรค ผลที่จะได้มันก็ดี
เหตุชั่วคือตัณหา ผลของตัณหาคือทุกข์
เหตุดีคือมรรค ผลของเหตุดีคือนิโรธความดับทุกข์
เข้าใจอย่างนี้ ชีวิตเราไม่ได้มีใครมาบงการ
ไม่มีใครมาลิขิต เราลิขิตชีวิตของเราเอง
เราบงการชีวิตของเราเอง
เพราะฉะนั้นเราเชื่อในเรื่องเหตุกับผล
เชื่อในเรื่องกรรมและผลของกรรม
กรรมคือการกระทำของเรานั่นล่ะ
การกระทำทางใจเรียกมโนกรรม
การกระทำทางวาจา เรียกวจีกรรม
ทางร่างกายเรียกกายกรรม
เราคอยเรียนรู้ คอยสังเกตตัวเองให้มากๆ แล้วก็ไม่เอาความคิดของเราไปคิดตามอำนาจของกิเลสตัณหา ไม่พูดตามอำนาจของกิเลสตัณหา ไม่ทำตามอำนาจของกิเลสตัณหา
แต่ทำไปด้วยความมีเหตุผล
อะไรที่ทำแล้วจิตใจของเราเจริญขึ้น อันนั้นล่ะดี
อะไรที่ทำแล้วจิตใจของเราเลวลง อันนั้นไม่ดี
ฉะนั้นถ้าเราคิดดี พูดดี ทำดี ผลมันก็ดี
เราจะทุกข์น้อยลงๆๆ
อย่างคนคิด คิดเกลียดคนโน้น เกลียดคนนี้ หงุดหงิดไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีความสุข
ปรับทัศนคติของตัวเองเสียใหม่
มองคนอื่นอย่างเป็นมิตรบ้าง
มองด้วยความเมตตากรุณาอะไรอย่างนี้
ใจตัวเองล่ะจะเริ่มมีสมาธิขึ้นมา
จะเริ่มร่มเย็นเป็นสุขขึ้นมา
เพราะฉะนั้นมันอยู่ที่ใจเรา
หลวงพ่อเกษม เขมโก หลวงพ่อก็นับถือเป็นครูบาอาจารย์องค์หนึ่ง เคยสอนธรรมะหลวงพ่อเหมือนกัน ท่านสอน “คิดดีก็ใจเย็น คิดไม่เป็นจะเย็นสบาย”
คิดดีก็ใจเย็น
คิดไปในทางไม่หลงโลก ไม่ทางพยาบาทเบียดเบียนใคร
คิดไปด้วยเหตุด้วยผล ไม่ใช่ด้วยความโง่เขลา
อย่างนี้ใจจะเย็น คือใจมีความร่มเย็นเป็นสุข
อย่างเราคิดถึงคนอื่นด้วยความเมตตา
ใจมันเย็น ใจมันร่มเย็น มีความสงบ มีความสุข
ในวัดนี้ก็มี หลวงพ่อก็สอนพระบางองค์ทำกรรมฐานด้วยการเจริญเมตตา ใจมันก็ร่มเย็น แล้วก็ค่อยเดินวิปัสสนาเอา
ส่วนอีกประโยค คิดไม่เป็นจะเย็นสบาย
อันนี้เป็นเรื่องขั้นสูงขึ้นมาแล้ว
คิดไม่เป็นมันมี 2 ระดับ
อันหนึ่งก็คือเวลาคิดไม่ใช่เราคิด ไม่มีตัวมีตน
คิดแล้วไม่เกิดตัวตนขึ้นมา
ในขณะที่คนซึ่งไม่ได้ภาวนา คิดทีไรก็กูคิดทุกทีเลย
เป็นกูคิด เป็นเราคิด
เวลาคิดไม่ค่อยมี ดิฉันคิด อะไรอย่างนี้ ไม่มี
เราไม่พูดกับตัวเองว่าดิฉัน
ไม่กูก็เราอะไรอย่างนี้
คิดไม่เป็นจะเย็นสบาย
เวลาคิดแล้วมันรู้สึกลงไป
กายนี้ไม่ใช่เรา ใจนี้ไม่ใช่เรา
ถ้าคิดอย่างนี้จะเย็นสบาย
เย็นสบายตัวนี้หมายถึงความดับสนิทแห่งทุกข์
เบื้องต้นคอยดูลงไป คิดแล้วไม่มีตัวมีตนขึ้นมา
ไม่ใช่คิดแล้วก็หลงว่า นี่ตัวเราๆ นี่ของเราอะไรอย่างนี้
แล้วสุดท้ายมันคิดไม่เป็นจริงๆ
คือมันเหนือความคิด เหนือความปรุงแต่ง
สมองมันก็ยังคิดได้ล่ะ
เวลามีความจำเป็นจะต้องคิดก็คิดล่ะ
แต่เวลาไม่มีความจำเป็นจะต้องคิด อยู่เฉยๆ ก็ได้
มันร่มเย็น สงบ มีความสุขอยู่อย่างนั้น
อิ่มเอิบอยู่อย่างนั้น
ฉะนั้นเรื่องความคิดของเรา คอยระมัดระวัง สังเกตเอา
ที่คิดอยู่คิดเพราะอะไร
คิดเพราะกาม ความรักใคร่ผูกพัน
หรือคิดที่จะออกจากความรักใคร่ผูกพันทั้งหลาย
ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เรื่องของกาม ครอบคลุมสัตว์โลกไว้ทั้งหมดเลย เก่งจริงๆ ครอบคลุม จะหนีออกจากโลก เจอด่านของกาม ไปไม่รอดเลย
ถ้าเรายังไม่ได้คิดจะถึงพระนิพพานในชีวิตนี้ เราก็ไม่ต้องตกใจ เมื่อวานหลวงพ่อบอกแล้วว่าเราภาวนา เราทำไปเป็นลำดับ เป็นขั้นเป็นตอนไป
เบื้องต้นรักษาศีล 5 ให้ได้ก่อน ทุกวันทำในรูปแบบ
เราคอยรู้ทันจิตของตัวเองไว้
ต่อไปก็คอยสังเกตจิตใจของเรา ในชีวิตธรรมดา
เวลามันจะคิดมันคิดเพราะอะไร
มันพูดเพราะอะไร มันทำเพราะอะไร
สังเกตๆ เอา ใจมันจะค่อยเข้มแข็ง
สติก็จะดีขึ้น สมาธิดีขึ้น
พอสติ สมาธิเราดีขึ้น เราก็ชกกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแรงขึ้น
ตอนไหนฝีมือเรายังไม่ดี เราก็สู้กับพวกฝีมือน้อยๆ ด้วยกัน
เราภาวนาเก่งๆ เราสู้กับคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจ
ไปสู้กับโมหะ สู้กับอวิชชา สู้กับโมหะ
สู้กับความไม่รู้ทั้งหลาย
อันนี้ประณีตมาก พวกเรายังไม่ต้องตกใจ
มันยังไม่ต้องถึงขั้นนั้นหรอก
ขั้นต้นคอยรู้สึกลงในกาย คอยรู้สึกลงในใจ
ร่างกายมันเคลื่อนไหวได้เพราะจิตมันสั่ง
จิตมันสั่งอย่างโน้นอย่างนี้ เพราะจิตมันคิด
จิตมันคิดเพราะอะไร
เพราะกุศล หรือเพราะอกุศล คอยรู้ไปอย่างนี้
ง่ายๆ ไม่มีอะไรยุ่งยากเลย
ต่อไปสติ สมาธิมันก็จะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
เวลารู้สึกลงในร่างกาย
ไม่คิดว่าเป็นตัวเป็นตนอะไร
ก็เห็นว่ามันเป็นแค่รูปอันหนึ่งเท่านั้นเอง
ที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
เดี๋ยวหายใจเข้า เดี๋ยวหายใจออก
เดี๋ยวยืน เดิน นั่ง นอน
ร่างกายไม่เคยบอกเลยว่าร่างกายคือตัวเรา
แต่จิตที่หลงผิดต่างหากเป็นคนบอก
อย่างเรานั่งนานๆ มันปวดมันเมื่อยอะไรอย่างนี้
ร่างกายก็ไม่ได้บอกว่าปวดว่าเมื่อย จิตมันบอก
หรือนั่งภาวนาอยู่ ขี้เกียจ ลงนอน
ร่างกายไม่ได้สั่งตัวเองให้นอน
จิตมันสั่งให้นอน เพราะมันขี้เกียจ
มันถูกกิเลสบงการมา มันก็เลยคิดไปว่านอนดีกว่า
ค่อยๆ สังเกต จิตใจเรามันทำงาน มีขั้นมีตอนของมัน เบื้องต้นก็ดูเท่าที่ดูได้ ไม่ต้องข้ามขั้น
ข้ามขั้นคล้ายๆ เป็นมวยรุ่นเล็กจะไปชกกับมวยรุ่นใหญ่ก็ตายเปล่าๆ ก็ชกกับพวกระดับเดียวกันก่อน เราเหนือระดับนี้ขึ้นไปได้ ก็เลื่อนชั้นขึ้นไป สู้กับสิ่งที่มันเหนือขึ้นไปอีก …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
1 มกราคม 2566
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา