10 ก.พ. 2023 เวลา 11:26 • ท่องเที่ยว
ลอนดอน

เดินเที่ยวลอนดอน เมืองที่มีอะไรเด็ดๆ ซ่อนอยู่เต็มไปหมด

ลอนดอนของฉัน
Chapter 55/2: My London Day 2
โฮะโฮะโฮ่…..วันนี้ 25 Dec วันคริสต์มาสละจ้า 🎅🏻🎄
หลังจากมะคืนเล่นเดินไป 19,426 ก้าว 😵‍💫 ร่างแหลกสลาย เช้าวันนี้ซึ่งเป็นวันคริสต์มาสพอดีเลยตื่นให้มันสายโด่งไปเลย ไม่มีแพลนจะไปไหนทั้งสิ้น เพราะร้านใดๆ ที่ไหนๆ ก็พากันปิดหมด เมื่อวานเลยเตรียมเสบียงไว้พร้อม กะเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน
ปรากฎว่า สวรรค์คงเห็นใจเราไม่อยากให้นั่งเฉาอยู่แต่ในบ้าน อยู่ๆ เพื่อนที่รู้จักที่ลอนดอนตั้งแต่คราวก่อนโน้นที่มา (อ่านได้ใน Chapter 4 ค่ะ 😄)
พอรู้ว่าเราอยู่ที่นี่ก็เลยชวนเราไปงานเลี้ยงคริสต์มาสที่เพื่อนเค้าจัดอีกที แต่อยู่นอกเมืองนะ ไปป่ะ? โหยยยย…..ใครจะปฏิเสธ งานนี้น่าจะมีของอร่อยๆ ให้เจี๊ยะแน่ๆ อิอิ 😁
นัดแนะกันเรียบร้อยว่าเดี๋ยวไปเจอกันที่บ้านเพื่อนเค้าเลย เปิด map เช็คเส้นทาง ชิลมากเพราะนั่งรถแค่สายเดียวยาวๆ ประมาณ 50 นาที (นอกเมืองจริงๆ แหละ 🤣) เดินจากบ้านแป๊บเดียวก็ถึงป้ายรถเมล์
ยืนรออยู่ที่ป้ายรถเมล์ประมาณ 20 นาที หนาวก็หนาว เริ่มเอะใจ !!! ทำไมมันไม่มีรถเมล์ผ่านมาทางนี้เลยซักคันฟระ เหยยยย…ได้ยินมาว่าช่วงคริสต์มาสรถสาธารณะจะหยุดวิ่งกันเยอะ ไหนลองเช็คอีกทีดิ๊
 
ปรากฎว่ารถเมล์สายที่รอมาชั่วกัปชั่วกัลป์นั้น วันนี้เค้าแคนเซิลค่ะ 😭 จริงๆ ไอ้เจ้าแอป City Mapper มันโชว์ขึ้นมาแล้วแหละแต่ไม่ได้เข้าไปอ่านรายละเอียดเอง ไงละ ยืนรอจนจะแข็งไปหมดละเนี่ย 🥶
จำใจต้องเรียกรถจนได้ เราใช้แอพ Free Now (เป็นแอพเรียกรถเหมือน Uber) เพราะเปรียบเทียบราคาละ เจ้านี้ค่อนข้างย่อมเยาสุด แต่กระนั้นก็โดนไป 2 พันกว่าบาท น้ำตาเล็ดเลย งานนี้ไม่ไปก็ไม่ได้เพราะรับปากเค้าไปแล้ว
ที่แย่ไปกว่านั้น วันนี้เรียกรถยากสุดๆ เพราะคนขับค่อนข้างน้อย (เค้าก็คงอยากอยู่ปาร์ตี้กะครอบครัวกันแหละเนอะ) แต่ปริมาณความต้องการรถสูงมาก กว่าเราจะได้รถก็ต้องรออยู่อีกเกือบครึ่งชั่วโมง เพราะได้รถแล้วแต่คนขับก็ปฏิเสธกลางทางอีก 2 ครั้ง 😭 กว่าจะเจอพระเอกขี่ม้าขาวเป็น Honda มารับ
โชคดีได้คนขับอัธยาศัยดี นั่งรถไปก็คุยกันไปเพลินเลย เค้าเล่าว่าตัวเค้าอพยพมาจากอัฟกานิสถานย้ายมาอยู่ที่ลอนดอน 10 กว่าปีแล้วเพราะหนีสงครามและความยากจนมา เคยทำมาหลายอาชีพสุดท้ายยึดอาชีพขับรถนี่แหละเพราะมีเวลาเป็นของตัวเองและรายได้ค่อนข้างดี จนตอนนี้สามารถทำเรื่องขออพยพภรรยาและลูกย้ายมาอยู่ที่ลอนดอนด้วยกันได้แล้ว เก่งมากเลย
เม้าท์กันเพลินๆ ก็มาถึงบ้านอันเป็นจุดหมายซะที
ด้วยความที่เป็น Private Family Party เล็กๆ เราเลยขอไม่ลงรูปในงานนะคะ แต่ขออนุญาติเจ้าของบ้านถ่ายภาพอาหารมาให้ดูกันค่ะ 😊
อาหารเป็นอาหารสไตล์โรมาเนีย เพราะเจ้าของบ้านเป็นคนโรมาเนียน ทำอาหารเองทุกอย่าง ซึ่งอะไรเป็นอะไรก็ไม่รู้ รู้แต่อร่อยทุกอย่าง 😋
ไม่เคยกินไก่งวงที่ปรุงใหม่ๆ แบบนี้มาก่อนเลย กลิ่นหอมมาก แต่เนื้อจะแห้งกว่าไก่อบบ้านเราอยู่ดี
นอกจากอาหารแล้วก็ยังมีของหวานซึ่งก็เป็น home made สไตล์โรมาเนียนอีกเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้ถ่ายใดๆ ไว้เลยเนื่องจากคนเขียนมาววววว 🤪 ม่ายช่ายยย มัวแต่เฮฮาจนลืมถ่ายตะหาก
 
รู้ตัวอีกทีก็ปาเข้าไปสี่ทุ่มกว่าแล้ว เดี๋ยวต้องนั่งรถกลับบ้านอีกก็เลยขอตัวลาเจ้าของบ้านผู้ใจดี (ให้คนแปลกหน้าคนนี้มาปาร์ตี้ด้วย 🙏 น่ารักที่สุด 🥰) เป็นปาร์ตี้คริสต์มาสครั้งแรกของเรา และเป็นคืนที่ประทับใจมากๆ เลย
วันที่ 3 วันนี้ตื่นมาเกือบเที่ยง คุ้ยหาของในตู้เย็นมากินพร้อมจิบกาแฟหอมๆ ร้อนๆ ที่ไม่ต้องเสียเงิน มันช่างแฮปปี้เหลือเกิน 😌
นั่งทำโน่นทำนี่ ก็ได้เวลาที่นัดไว้กะเพื่อนคนมะวานให้พาไปเดินเล่นในลอนดอนหน่อย วันนี้เตรียมตัวเตรียมใจละว่าไม่น่าจะต่ำกว่า 15,000 ก้าวอีกแน่นอน 🥴
เราเริ่มต้นเดินจาก Somerset House (นี่เพิ่ง 5 โมงเย็นเองนะจ๊ะ มืดตื๋อแล้ว)
Somerset House
Somerset House เป็นพระราชวังสไตล์นีโอคลาสสิกที่อยู่ใจกลางกรุงลอนดอนอายุกว่า 240 ปี
Somerset House
ที่นี่ถูกใช้เป็นที่จัดนิทรรศกาลศิลปะมากมาย เป็นที่จัดแสดงดนตรีในช่วงฤดูร้อน และจะถูกเนรมิตให้กลายเป็นลานสเก็ตนำ้แข็งกลางแจ้งในช่วงฤดูหนาว Somerset House ถือเป็นหนึ่งใน Hilight ของเทศกาลคริสต์มาสของลอนดอนเลย
Somerset House
จาก Somerset House เราเดินเลียบแม่น้ำ Thames หรือ Victoria Embankment มาเรื่อยๆ จะพบกับสถานที่และสิ่งของที่น่าสนใจมากมาย
Cleopatra's Needle
Cleopatra's Needle เป็นเสาโอเบลิสก์ของอียิปต์โบราณที่ถูกมอบให้แก่สหราชอาณาจักรในปี ค.ศ. 1819 โดยผู้ปกครองอียิปต์และซูดาน Muhammad Ali เพื่อเป็นการระลึกถึงชัยชนะของ Lord Nelson ในสมรภูมิแห่งแม่น้ำไนล์ และ Sir Ralph Abercromby ในสมรภูมิอเล็กซานเดรียในปี ค.ศ. 1801
ด้านข้างของเสาโอเบลิสก์จะพบกับ Bronze Sphinx 2 ตน (ไม่รู้จะใช้สรรพนามอะไร 😅)
Bronze Sphinx
สฟิงซ์นี้หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์โดยทำเลียนแบบจากสฟิงซ์ที่อียิปต์ ออกแบบโดย George John Vulliamy สถาปนิกชาวอังกฤษ
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1917) มีการโจมตีทางอากาศจากกองทัพเยอรมันด้วยการทิ้งระเบิดลงใกล้ๆ กับเสาโอเบลิสก์ ทำให้ทุกวันนี้ยังคงเห็นร่องรอยของความเสียหายรวมถึงรูกระสุนบนฐานของสฟิงซ์ตัวขวามือได้อย่างชัดเจน
จาก Cleopatra's Needle เราเดินต่อไปจนถึง Big Ben มาลอนดอนทั้งทีจะไม่มาที่นี่ได้ยังไง
Big Ben ณ วันนี้บูรณะเสร็จแล้ว ไม่มีโครงนั่งร้านล้อมรอบเหมือนก่อนหน้าที่เคยมาแล้วด้วย
Big Ben
แต่รู้มั้ย จริงๆ แล้ว Big Ben ไม่ใช่ชื่อของหอนาฬิกานี้นะแต่เป็นชื่อของระฆังที่แขวนไว้บริเวณช่องลมเหนือหน้าปัดนาฬิกาต่างหาก
ส่วนหอนาฬิกานี้ชื่อจริงๆ คือ หอนาฬิกาพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ (Clock Tower, Palace of Westminster) และภายหลังถูกเปลี่ยนชื่อเป็น หอเอลิซาเบธ (Elizabeth Tower) เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองพระราชพิธีมหามงคลฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง
จาก Big Ben คราวนี้เราไม่ได้ข้ามสะพาน Westminster ไปฝั่งตรงข้ามแต่ยังเดินอยู่ที่ฝั่งเดิมค่ะ
Victoria Embankment
จากฝั่งนี้เราจะได้ชมภาพของ London Eye และอาคารบริเวณแม่น้ำ Thames ซึ่งสวยมากๆ
เดินย้อนกลับมาที่ถนนเส้นเดิม จะพบกับรูปปั้นของมังกร 2 ตัวบนแท่นหิน ซึ่งมังกร 2 ตัวนี้ทำหน้าที่เป็นเครื่องหมายแสดงเขตแดนของนครลอนดอนในอดีต
City of London Dragon
เดินมาอีกหน่อยเราก็สะดุดตากะสิ่งนี้เข้า
มันคือเสาโทรศัพท์โบราณที่ถูกผลิตขึ้นในช่วง ค.ศ. 1930 โดย British Ericsson ตั้งอยู่ทั่วเมืองลอนดอน
เจ้าเสาพวกนี้ในอดีตใช้เพื่อให้ประชาชนโทรหาสถานีตำรวจเวลาเกิดเหตุด่วนเหตุร้าย โดยฝาด้านบนสุดจะเป็นโทรศัพท์ ช่องกลางเปิดออกมาจะเป็นแท่นเพื่อใช้สำหรับเขียน และช่องล่างสุดจะเป็นตู้เก็บของที่มีชุดปฐมพยาบาลอยู่
ต่อมาเสาเหล่านี้ก็ถูกยกเลิกใช้ในปี ค.ศ. 1960 เมื่อการสื่อสารทางวิทยุเข้ามาแทนที่…แต่จนถึงบัดนี้ เสาพวกนี้ยังดูดีอยู่เลย คนที่นี่เค้าอนุรักษ์ของเก่งมากๆ
เดินมาเรื่อยๆ จะเจอกับ The Blackfriar
The Blackfriar
The Blackfriar เป็นผับเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของลอนดอน เป็นสถาปัตยกรรมแบบอาร์ตนูโวรูปทรงลิ่มตกแต่งด้วยโมเสก บนชั้น 2 มองขึ้นไปจะเห็นรูปปั้นนักบวชยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านหน้า ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดศีลธรรมอะไรนะจ๊ะ
เพราะเดิมที ผู้ริเริ่มผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮล์ก็คือบรรดาพระนักบวชนั่นเอง เพราะในสมัยช่วงยุคกลาง น้ำไม่ได้สะอาดพอที่จะดื่มได้เหมือนในปัจจุบัน พระในสมัยก่อนเลยต้องหมักเบียร์เพื่อไว้ใช้ดื่มแทนน้ำนั่นเอง (ต้องขอบคุณคนเหล่านี้จริงๆ 😁)
1
จุดหมายต่อไปของเราคือ St Paul's Cathedral ค่ะ
 
ตลอดทางที่เดินผ่าน เราจะยังคงเห็นถนนที่รักษาสภาพไว้เหมือนในอดีตได้อย่างดี ลอนดอนนี่ช่างเป็นเมืองที่มีเสน่ห์จริงๆ
ถึงแล้ว St Paul's Cathedral
St Paul's Cathedral
และก็ยังคงมาตอนกลางคืนอีกเช่นเคย เลยไม่เคยได้เข้าไปข้างในซักที ได้แต่เดินวนรอบๆ
แต่คราวนี้มีความพิเศษตรงที่เราได้เห็น St Paul's ในแบบที่เก๋สุดๆ ด้วย ต้องขอบคุณเพื่อนที่พามาไม่งั้นก็ไม่รู้
เราต้องเดินไปที่ One New Change ซึ่งเป็น Shopping Center ที่อยู่ติดกับ St Paul's ไปขึ้นลิฟท์แก้วที่อยู่ด้านใน จากนั้นกดลิฟท์ขึ้นไปชั้น Roof Top เลย ได้วิวนี้แน่นอน 🤩
ป.ล. ได้วิวขาลงแทนเพราะขาขึ้นดันลืมกดอัด 😂
St Paul's Cathedral
ชั้น roof top จะมีสวนเล็กๆ พร้อมบาร์ให้นั่งเล่นด้วย แต่ช่วงคริสต์มาสเค้าปิดให้บริการ บนนี้ก็จะเห็น St Paul's Cathedral ชัดๆ กันไปอีก พร้อมกับวิวเมืองที่สวยมากๆ
 
ถึงเวลาลงละเพราะหนาวโฮก มือจะแข็งอยู่ละ
 
ไม่ไลจาก St Paul's Cathedral เราจะเจอกับโบสถ์ St Bartholomew The Great
St Bartholomew The Great
ไม่มีอะไรหรอก แค่โบสถ์นี้อยู่ในฉากของหนังเรื่อง Four Weddings and a Funeral หนังที่เราชอบมากที่สุดเรื่องนึง 🥰 รัก Hugh Grant จากเรื่องนี้เลย 😘 (นี่บังเอิญมากๆ เลยเพราะเดินผ่านมาละเพื่อนบอกพอดี)
1
ระหว่างเดินอยู่เจอหมาจิ้งจอกวิ่งเหยาะๆ ผ่านไปด้วย เสียดายกว่าจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายมันก็วิ่งหายไปแล้ว
ไม่น่าเชื่อว่าในกลางเมืองลอนดอนจะมีหมาจิ้งจอกให้เห็น เพื่อนเล่าว่าคนลอนดอนเค้าเห็นกันจนชินละ เพราะหมาจิ้งจอกมันเข้ามาตั้งรกรากในเมืองมาตั้งนานแล้ว ไล่ยังไงก็ไม่ไปเพราะในเมืองมีอาหารให้พวกมันกินอย่างอุดมสมบูรณ์ คงเหมือนกับที่เมืองไทยก็มีหมาจรจัดเยอะละมั้ง 😕
ระหว่างเดินก็ถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อย ก็เมืองมันสวยอ่ะนะ 🤩
ถัดมาไม่ไกลจะเจอกับป้ายประกาศเกียรติคุณ Sir William Wallace
Sir William Wallace Memorial
ป้ายนี้ทำไว้เพื่อระลึกถึง Sir William Wallace อัศวินชาวสกอตแลนด์ หนึ่งในผู้นำในช่วงสงครามประกาศอิสรภาพของสกอตแลนด์จากอังกฤษ ซึ่งถูกนำไปถ่ายทอดเป็นหนังเรื่อง Braveheart ที่แสดงโดย Mel Gibson นั่นเอง
เดินมาอีกนิดก็จะเจอกับ Smithfield Market ตลาดขายส่งเนื้อที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษและมีอายุกว่า 140 ปีแล้ว
Smithfield Market
ข้างในสีสัดสนใสเชีย มาตอนค่ำเลยอดเห็นว่าข้างในตลาดเป็นยังไงเลย
 
และสถานที่สุดท้ายที่เราแวะมาดูคือ The One Tun ที่ Saffron Hill
The One Tun
The One Tun เป็นผับเก่าแก่เช่นกัน แต่ที่ทำให้ที่นี่มีชื่อเสียงก็เพราะเป็นสถานที่ที่อยู่ในหนังสือนวนิยายของ Charles Dickens เรื่อง Oliver Twist นั่นเอง
ต้องยอมรับเลยว่าการมีเพื่อนเป็นคนท้องถิ่นแถมชอบเดินด้วยนี่ประเสริฐมากๆ เพราะถ้าให้เรามาเองก็คงไม่ได้อะไรมาเล่าเยอะแยะขนาดนี้แน่นอน 🤓
แต่จากจุดนี้ต้องร้องขอชีวิตแล้วล่ะ…ขอกลับบ้านเถอะ เค้าม่ายหวายล้าวววว 😭 เชื่อละว่าคนลอนดอนเดินเก่งมากๆ คุณเพื่อนนี่ยังชิลๆ อยู่เลย แต่ขาเรานี่กะปลกกะเปลี้ยขั้นสุดละ
เอาเป็นว่า ใครที่ชอบเดินเล่นสำรวจเมือง ลอนดอนเป็นเมืองที่เดินสนุกมากๆ ทุกๆ ที่มีเรื่องเล่าตลอด ไม่เชื่อเดี๋ยวตอนหน้ามาติดตามกันนะคะว่าเราจะมีสถานที่ไหน เรื่องอะไรมาเล่าให้อ่านกันอีก 🤩
สำหรับ Blog นี้ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ 😊

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา