มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ Bleeding Heart Yard ว่า ในสมัยต้นศตวรรษที่ 17 ที่นี่เคยเกิดเหตุฆาตกรรมขึ้น มีคนพบศพของ Lady Elizabeth Hatton ถูกฆาตกรรมโดยเอกอัครราชทูตสเปน สภาพศพคือแขนขาขาดแต่หัวใจของเธอยังคงสูบฉีดเลือดอยู่ เลยเป็นที่มาของชื่อสถานที่นี้นี่เอง
Bleeding Heart Yard
เดินต่อมาถึงแถว Castle Baynard จะเจอกับรูปปั้นแมวพูดได้ Hodge The cat
Hodge The cat
น้องเค้าไม่ได้พูดได้จริงๆ หรอก มันจะดูหลอนเกินไป 👻 เค้าให้สแกนที่ QR แล้วจะมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับแมวตัวนี้ว่าน้องเป็นแมวตัวโปรดของ Dr. Samuel Johnson นักเขียนชื่อดังของอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 18
จากน้องแมว เดินทะลุตรอกซอกซอยแถวนั้นมาเรื่อยๆ จะเจอกับผับเก่าแก่บนถนน Fleet Street (แม๋ ที่นี่ผับเก่าแก่ช่างเยอะจริงๆ)
Ye Olde Cheshire Cheese
ผับนี้ออกเสียงยากอยู่ Ye Olde Cheshire Cheese (ยีโอลดีเชชเชอร์ชีส) ขนาดคนอังกฤษยังบอกยากเลย 🤣
ที่นี่เปิดมาตั้งแต่ ค.ศ. 1538 โน่น เคยผ่านวิกฤติไฟไหม้ครั้งใหญ่ในลอนดอนหรือ The Great Fire เมื่อปี ค.ศ. 1666 มาด้วย ต่อมาได้รับการบูรณะซ่อมแซมใหม่ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น Listed Building (คืออาคารที่ได้รับการพิทักษ์คุ้มครองไม่ให้ทำการรื้อถอน ต่อเติม เปลี่ยนแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานวางแผนท้องถิ่นก่อน) ทุกวันนี้ผับนี้ก็ยังเปิดให้บริการอยู่นะ
เรื่องมีอยู่ว่าในปี ค.ศ. 1700 มีคนทำขนมปังที่อาศัยอยู่ใกล้กับ Ludgate Hill เขาต้องการทำเค้กแต่งงานให้ประทับใจคู่หมั้นของเขา วันหน่ึงเขาผ่านมาแถวนี้แล้วพลันสายตาของเขาก็ไปเห็นยอดหอคอยของ St. Bride's เลยเกิดเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างเค้กแต่งงานแบบมียอดเป็นชั้นๆ ขึ้นมานั่นเอง 🎂
เราเดินกลับมาแถว St Paul's Cathedral อีกครั้งเพราะอยากมาถ่ายรูปปั้นนี้ เมื่อคืนที่เดนผ่านมามันมืดมากถ่ายแล้วไม่เห็น
The Wild Table of Love
งานประติมากรรมนี้ชื่อ The Wild Table of Love ซึ่งเจ้าของผลงานต้องการรณรงค์ให้ผู้คนเห็นถึงความสำคัญในการปกป้องชีวิตสัตว์บนโลกโดยเฉพาะสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ที่นั่งรายล้อมอยู่รอบโต๊ะและเป็นแขกรับเชิญของงานเลี้ยงนี้
จาก The Wild Table of Love เราเดินต่อไปที่ Postman's Park
Postman's Park
ที่นี่คือ Memorial to Heroic Self-Sacrifice หรืออนุสรณ์สถานของวีรชนผู้เสียสละชีวิตของตนเองเพื่อช่วยผู้อื่น (เช่น ช่วยคนจากอุบัติเหตุต่างๆ จนตัวเองต้องเสียชีวิต) สร้างโดยจิตรกรและประติมากร George Frederic Watts เมื่อปี ค.ศ. 1887 เพื่อเป็นการรำลึกถึง Golden Jubilee หรือพิธีกาญจนาภิเษกของพระราชินี Victoria
จาก Leadenhall Market เดินต่อไปอีกนิดก็จะเจอกับตึก 30 St Mary Axe
1
30 St Mary Axe
30 St Mary Axe ตึกที่มีรูปทรงเหมือนแตงกวาเลยทำให้ตึกนี้ถูกเรียกอีกชื่อว่า "เกอร์คิน" (The Gherkin) หรือแตงกวาดอง ด้วยความโดดเด่นนี้เองทำให้ตึกนี้กลายเป็นแลนด์มาร์คอีกแห่งหนึ่งของลอนดอนไปแล้ว ในไทยเราก็มีตึกที่หน้าตาคล้ายเกอร์คิน คือ The Pearl Bangkok ค่ะ