16 ก.พ. 2023 เวลา 13:57 • ปรัชญา
“ในสถานการณ์อันหนึ่ง
คนหนึ่งเกิดบาปอกุศล
คนหนึ่งได้บุญ
คนหนึ่งได้ทั้งบุญได้ทั้งกุศล
อยู่ที่ความรู้ความเข้าใจของเรา”
3
“ … แค่คนเขาด่าเรา เราไม่ด่ากลับ ก็มีศีลแล้ว
ก็เป็นบุญของเราแล้ว
ถูกเขาทำร้าย เราไม่ทำร้ายเขา
ถูกเขามาขโมยไป เราไม่ไปขโมยใคร
เขามาแย่งคนรักของเรา เราไม่แย่งคนรักของใคร
เขาโกหกเรา เราไม่โกหกใคร
ฟังแล้วโง่ แต่ว่าผ่านไปช่วงหนึ่ง
เราจะรู้เลยว่าคุณค่ามันมหาศาลจริงๆ
ทุกครั้งที่เรานึกถึงความดีที่เราสร้าง สมาธิก็เกิด
รู้จักต่อยอดเข้าสู่การเจริญปัญญา
มันไม่ใช่เรื่องยากเกินไปหรอก
จุดใหญ่ ปัญหาใหญ่ของฆราวาส
หลวงพ่อพูดเรื่อยๆ ขาดอยู่ 2 ตัว
ขาดความต่อเนื่องกับขาดสมาธิ
ถ้าทำกรรมฐานต่อเนื่องไป มันก็ได้สมาธิขึ้นมา
แต่ต้องทำกรรมฐานที่ถูก ถูกวิธี มีสติกำกับ
มันจะได้สมาธิที่ประกอบด้วยสติ
คือจะเป็นสัมมาสมาธิ
ถ้าสมาธิไม่ประกอบด้วยสติ
มันเป็นมิจฉาสมาธิไป
ฉะนั้นเราค่อยๆ ฝึก ทำไปเรื่อยๆ
ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย
ทำความดีไปเรื่อยๆ อย่าทำความชั่ว
แล้วเวลาเรานึกถึงสิ่งที่เราทำที่ผ่านมา
สมาธิจะเกิดอัตโนมัติ
เพราะจิตใจเรามีความสุขทันทีเลย
มันอิ่ม มันอิ่มอกอิ่มใจ ได้สร้างความดี
พอสมาธิเกิด เดินปัญญาต่อ
ทำให้ได้อย่างนี้แล้วเราจะเจริญในธรรมะ
ตอนที่หลวงพ่อภาวนา ก็เป็นฆราวาสเหมือนพวกเราล่ะ
งานเยอะไหม เยอะ เครียดไหม เครียด
ต้องเจอคนซึ่งไม่ชอบใจไหม เจอ
วันๆ ถ้าภาวนาไม่เป็น อาจจะบ้าตายไปแล้ว โทสะขึ้นทั้งวัน เพราะพื้นจิตของหลวงพ่อเป็นพวกโทสจริต เรากระทบอะไรต่ออะไร
หลวงพ่อไม่ชอบยุ่งกับคนแต่ไหนแต่ไร
แต่ตอนทำงานต้องยุ่งกับคนมากมาย
มาภาวนาแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านสั่ง
หลวงพ่อพุธ ท่านเป็นองค์ที่สั่งให้หลวงพ่อไปทำงานเผยแพร่
ไม่ใช่เสร่อออกมาทำเอง
ครูบาอาจารย์สั่ง ถึงต้องออกมาทำ
ทำงานเผยแพร่ก็ต้องยุ่งกับคน
เป็นของที่ชอบไหม ไม่ชอบ ไม่ชอบยุ่งกับคน
แต่มันมีหน้าที่ต้องทำ ก็ต้องทำ
ทำไปแล้วเห็นเขาได้รับประโยชน์ ได้รับความสุข
เราก็มีความสุขด้วย พลอยยินดี
อย่างเห็นคนเขาภาวนาได้
หลวงพ่อก็มีมุทิตาจิตพลอยยินดี
อย่างพวกเราชอบพูดกัน
เห็นใครเขาทำอะไรดีก็อนุโมทนาๆ
ใจอาจจะไม่ยินดีก็ได้ ใจอาจจะอิจฉาก็ได้
หรือใจอาจจะหมั่นไส้ก็ได้
แต่ถ้าเราทำด้วยใจที่สะอาดจริงๆ อย่างเราช่วยกันทำงานเผยแพร่ ทีมงานจำนวนมาก รวมทั้งงานแม่ครัวด้วย ถ้าแม่ครัวไม่หาข้าวให้พระกิน ไม่หาข้าวให้ทีมงานกินอะไรอย่างนี้ ก็ไม่มีแรงทำงาน
ฉะนั้นทุกอย่างมันสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันหมดล่ะ ทุกหน้าที่ คล้ายๆ อวัยวะหลายๆ ชิ้นในร่างกาย แต่ละชิ้นสำคัญทั้งนั้น ทำงานเกี่ยวเนื่องกันไป
ฉะนั้นอย่างทำครัวก็มีผลต่องานเผยแพร่ด้วย แล้วเวลาเราเห็นคนเขาภาวนาได้ เราดีใจ พอเราดีใจ จิตใจเราเป็นบุญเป็นกุศล มีสมาธิขึ้นมาเลย
หลวงพ่อยกตัวอย่างให้ฟัง คือคุณแม่ ตั้งแต่อยู่สวนโพธิ์ยังไม่ได้บวช 2 คนกับพระอาจารย์อ๊า พอญาติโยมมา ตอนเช้าหลวงพ่อเทศน์รอบแรกก่อน
เทศน์รอบที่หนึ่งเสร็จประมาณครึ่งชั่วโมง 7 โมงครึ่งถึง 8 โมงก็เบรกกินข้าว หลวงพ่อก็ฉันข้าว ส่งถาดออกไปข้างล่าง ที่นี่ก็เหมือนกัน พระฉันข้างบนแล้วก็ส่งอาหารลงไปข้างล่างแล้วโยมก็ไปกินข้าว
พอโยมกินข้าวเสร็จแล้ว โยมก็จะมาช่วยกันล้างจาน แต่ตอนนั้นโยมมันยังไม่เยอะนัก คุณแม่กับพระอาจารย์อ๊าก็จะบอกโยม บอกให้ขึ้นไปฟังธรรมรอบสาย รอบ 9 โมง ให้ขึ้นไปฟัง เดี๋ยวงานพวกนี้ 2 คนจัดการเอง
คุณแม่กับอาจารย์อ๊าก็ล้างถ้วยล้างชามอะไร ไม่ได้ฟังหลวงพ่อเทศน์ แล้วตอนนั้นก็ไม่มีการอัดเทปอะไรทั้งสิ้น ไม่ได้ฟังธรรม ทำงานช่วยเหลือให้พวกเราที่ไปยุคโน้นได้ฟังธรรมให้เต็มที่ ไม่ต้องมาเสียเวลา
บางวันล้างจานกันถึงเที่ยงเลย แล้วไม่ได้ล้างในร่มด้วย ตอนนั้นไม่มีหลังคาตรงนั้น แดดเปรี้ยงๆ ตัวดำปี๋เลย
คุณแม่ก็เล่าว่าเวลาเห็นคนเขาภาวนา ดูเขาเบิกบานสดชื่น เขามีความสุขแล้ว เห็นแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว อิ่มเอิบใจ ได้สงเคราะห์เขา ได้ช่วยเขา ให้โอกาสเขาได้ฟังธรรมอะไรอย่างนี้
ใจที่คิดจะให้ๆ กับใจที่คิดจะเอา ผลมันไม่ได้เท่ากัน
เพราะใจที่คิดจะให้มันลดละความเห็นแก่ตัว
พอมาลงมือทำจริงจัง มาปฏิบัติจริงจัง มันไปลิ่วเลย
มันไปได้ง่ายๆ เลย ไม่ได้ลำบากยากเย็นอะไรเลย
เพราะใจมันพร้อมที่จะสละออกอยู่แล้ว
ที่เล่าให้พวกเราฟังเพื่อว่าพวกเราอยู่กับโลก เป็นฆราวาสจะได้หัดวางใจให้มันถูก ในสถานการณ์อันเดียวกัน คนหนึ่งได้บุญแต่อีกคนหนึ่งได้บาป
ทำในสิ่งเดียวกัน
คนหนึ่งได้บุญ คนหนึ่งได้บาป
ทีนี้เรารู้หลัก มีสติมีปัญญา
เราทำอะไรก็ให้มันเกิดบุญไปเรื่อยๆ
บุญเป็นที่พึ่งอาศัยในการเดินทางไกลในสังสารวัฏ
ส่วนกุศลเป็นเครื่องพาเราออกจากสังสารวัฏ
มันคนละระดับกัน
บุญคือการสร้างคุณงามความดีทั้งหลาย ผลเป็นความสุข
เราจะเดินทางในสังสารวัฏอันยาวไกลด้วยความสุข
ส่วนกุศลคือความฉลาด
ความฉลาดคืออะไร
คือการเห็นความจริง โลกนี้เป็นอย่างนี้ล่ะ
กายนี้ใจนี้เป็นอย่างนี้ล่ะ เป็นอะไร เป็นไตรลักษณ์
ถ้าอย่างนี้ เป็นกุศลชั้นสูงเลย เป็นปัญญา
กุศลก็คือเรื่องของศีลนั่นล่ะ ส่วนใหญ่ เรื่องของศีล เรื่องของสมาธิ เรื่องปัญญานั่นล่ะ
ในสถานการณ์อันหนึ่ง
คนหนึ่งเกิดบาปอกุศล
คนหนึ่งได้บุญ
คนหนึ่งได้ทั้งบุญได้ทั้งกุศล
อยู่ที่ความรู้ความเข้าใจของเรา
เพราะฉะนั้นหัดวางจิตวางใจให้ดี
วางจิตวางใจให้ถูก
หันซ้ายหันขวา มีบุญมีกุศลได้ทั้งนั้น
อย่างหลวงพ่อเดิน ยกตัวอย่าง ทำไมยกตัวอย่างหลวงพ่อเรื่อยๆ ก็ไม่รู้จะไปยกใคร หลวงพ่อเดิน ทั้งๆ ที่เป็นฆราวาสหลวงพ่อเดินดูพื้น เวลาเดินจะเดินดูพื้น ไม่เดินดูยอดไม้อะไร ไม่ได้เดินอย่างนั้นหรอก
ทำไมเราสำรวมตาเรา เราหันซ้ายหันขวาไป ใจก็ฟุ้งซ่านวอกแวกไป เดี๋ยวก็ไปเหยียบมดตาย เดี๋ยวไปเหยียบแมลงโน้นแมลงนี้ เหยียบไส้เดือน เหยียบหอยทาก
ทุกก้าวที่เดินไป รู้สึกตัวไป
สายตาเราก็ทอดลงต่ำ สำรวมระวัง
ฉะนั้นทุกก้าวที่เดินเป็นบุญเป็นกุศลไปหมดเลย
แค่เดินเฉยๆ ยังเกิดบุญได้เลย เกิดกุศลได้ด้วย
เรามีสติรู้สึกกายรู้สึกใจตามที่มันเป็น
เป็นกุศลใหญ่เลย
แล้วการที่เราเดินด้วยความระมัดระวัง
เรากลัวจะไปเหยียบสัตว์ ไม่ใช่เพราะกลัวบาป
แต่กลัวสัตว์มันเจ็บ กลัวสัตว์มันพิการ
อันนี้เป็นความเมตตา เป็นความกรุณา
แค่เดินบนถนนก็ทำให้เป็นบุญได้แล้ว
ฉะนั้นถ้าเรารู้หลักของการปฏิบัติจริงๆ
จะหันซ้ายหันขวา มันก็เป็นบุญได้หมด
เป็นกุศลได้หมด
อย่างเรานั่งอยู่เฉยๆ มันมีบุญอะไร
นั่งอยู่เฉยๆ ทำผิดศีลไหม ไม่ได้ทำผิดศีล
ไม่ได้ยุ่งอะไรกับใครด้วยซ้ำไป
มีศีลอัตโนมัติอยู่ในตัวเองแล้ว
นั่งอยู่ จิตใจไม่วอกแวกไป
มีสมาธิไหม มี ได้บุญไหม ได้
แล้วเขยิบขึ้นไป
นั่งแล้วเห็นรูปมันนั่ง จิตมันเป็นคนรู้
รูปไม่ใช่ตัวเราอะไรอย่างนี้
เป็นกุศลอย่างใหญ่เลย
คือเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาอย่างยิ่งเลย
เป็นวิปัสสนาปัญญา
แค่นั่งเฉยๆ ก็ได้บุญใหญ่ ได้กุศลใหญ่ได้
นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง พอจะเข้าใจไหม
ฉะนั้นคำว่าไม่มีเวลาปฏิบัติไม่มีในสารบบของเราหรอก
หลวงพ่อถึงเคยบอกไว้ตั้งแต่นานแล้วว่า
นักปฏิบัติไม่เป็นปฏิปักษ์กับสิ่งแวดล้อมหรอก
สภาพแวดล้อมจะเป็นอย่างไร เราปฏิบัติได้ทั้งนั้น
ในสภาวะที่แย่ๆ ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ เราก็ปฏิบัติได้
หลวงพ่อเคยเป็นมะเร็ง ไปอยู่โรงพยาบาลตั้งหลายเดือน ให้คีโมตั้งหลายรอบ แล้วรอบสุดท้ายเขาจะปลูกถ่ายไขกระดูก มันเป็นการให้ยาเคมีที่รุนแรง ทำลายไขกระดูกเลย เซลล์ต่างๆ ถูกทำลาย
ถามว่าทุกข์ทรมานไหม โห ทรมานมาก
แต่เราก็มีปัญญา
เห็นร่างกายมันป่วย ใจเราไม่ได้ป่วยด้วย
เฝ้ารู้เฝ้าดูไป บุญกุศลมันหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา
ทีนี้ก็ตั้งใจ ปกติอยู่ในห้องปลอดเชื้อ ห้องความดัน ความดันสูง มันอัดลมเข้ามาตลอดอุณหภูมิก็ต่ำ อยู่ระหว่าง 19 ถึง 22 องศา แล้วลมแรงทั้งวันทั้งคืน โหย ทรมานมากเลย
เขาทำอย่างนั้นเพื่อว่าไม่ให้เชื้อโรคมันโต เพราะร่างกายเราไม่มีภูมิต้านทานเหลืออยู่แล้ว ปกติเขาจะอยู่กันเดือนครึ่ง 2 เดือน 3 เดือน บางคนอยู่หลายเดือนเลย ออกมาไม่ได้
หลวงพ่อตั้งใจว่าจะต้องออกวันนี้ล่ะ 28 วัน ออกมาแล้ว ออกมาได้ เพราะจิตของเรามันมีสมาธิ มันไม่ท้อแท้ มันไม่หดหู่ ไม่ปล่อยให้ความเศร้าหมองครอบงำ จิตใจมันมีความสุข มีความเบิกบานอยู่
3
เราก็นึกถึงบุญของเรา นึกถึง
มีฉันทะว่าเรายังอยากทำงานรับใช้พระพุทธเจ้าต่อไปอีก
มีฉันทะ แล้วมีวิริยะทำอานาปนสติ ใช้ลมฟอกธาตุฟอกขันธ์ไป
มีจิตตาคือมีจิตที่เด็ดเดี่ยวมั่นคง ทรงสมาธิอยู่
มีวิมังสา พิจารณาค้นคว้าใคร่ครวญลงไปในร่างกายด้วยจิตที่ตั้งมั่น เป็นกลาง
แล้วอธิษฐานจิตเอาว่าจะออกแล้ว ถึงเวลามันก็ออกมาได้
เพราะฉะนั้นในที่ทุกที่แม้กระทั่งที่ที่แย่ที่สุด
ที่ที่ลำบากที่สุด ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
เราไม่ทิ้งธรรมะ ธรรมะก็ไม่ทิ้งเราหรอก
ฉะนั้นพัฒนาจิตใจตัวเองให้เข้มแข็ง
คำว่า ท้อแท้ หดหู่ เบื่อหน่าย โยนมันทิ้งไปเลย
อย่าให้อยู่ในสารบบของนักปฏิบัติ
ท้อใจ ท้อๆๆ ท้อมันทำไม
ความท้อแท้ ความเบื่อหน่าย มันก็เป็นสิ่งที่ถูกรู้อันหนึ่งเท่านั้น
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ เราก็จะใกล้ฝั่งเข้าไปเรื่อยๆ
ไม่ใช่ไม้ใกล้ฝั่งที่แปลว่าใกล้ตาย
ใกล้ฝั่งคือใกล้ความพ้นทุกข์เข้าไปทุกที
วันนี้เทศน์ให้ฟังเท่านี้ คงไม่ยากเกินไป
บางคนบ่นว่าหลวงพ่อเทศน์อะไรยากๆ
วันนี้เทศน์เอาใจตลาด
แต่ดูแล้วมันก็ยากเหมือนกัน
การจะวางใจให้ถูกในทุกๆ สถานการณ์
ถ้าไม่มีสติ ไม่มีปัญญา มันก็วางไม่ได้หรอก
การฟังนี้ก็จะได้รู้แนวทางไป
แล้วก็มีสติคุ้มครองจิตตัวเองไป
รู้แนวทางมันก็ได้ปัญญา ไปทำเอา
ชีวิตจะได้ร่มเย็น ไม่ท้อแท้ ไม่หดหู่ ไม่เบื่อหน่าย
อย่างอยู่กับโลก เบื่อ เบื่อก็ต้องทำ
มันจำเป็นต้องทำก็ต้องทำไป
ระหว่างทำไปเบื่อไป
กับทำไปแล้วจิตเป็นกุศลไป เป็นบุญไป
ก็เลือกเอา ก็แล้วแต่ความสามารถของเราแล้วล่ะ …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
29 มกราคม 2566
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา