20 ก.พ. 2023 เวลา 23:24 • ปรัชญา

เรียนรู้หลักวิธีการทำงานสไตล์ "เล่าปี่"

สุดยอดผู้นำแบรนด์คุณธรรมแห่งสามก๊ก
"เล่าปี" ชื่อนี้นับได้ว่าเป็นตัวละครอีกตัวหนึ่งของวรรณกรรมสามก๊กที่น่าศึกษาและติดตาม เพราะเส้นทางเดินของเล่าปี่นั้นไม่ธรรมดา แม้ว่าจะไม่ใช่บุคคลที่เก่งกล้าสามารถอะไรมากนัก แต่ที่สุดแล้ว เขาก็ได้เป็นผู้นำที่สง่างามได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะความสามารถในการใช้คนให้เหมาะสมกับงานนั้นเอง
จนทำให้เขากลายเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่คนนึงในสามก๊ก
"การสร้างแบรนด์ในการทำงานของเล่าปี่"
เล่าปี่สร้างตัวจากไม่มีอะไร ในยามกลียุค เกิดศึกสงครามทั่วแผ่นดินนั้น ใครก็สามารถสร้างตัวขึ้นเป็นใหญ่ได้ หากรู้จักสร้างโอกาสให้ตัวเองอย่างไม่ย่อท้อ เล่าปี่คงไม่รู้หลักการตลาดในทางทฤษฎี ทว่าในภาคปฏิบัติแล้ว เขาคือปรมาจารย์ การตลาดที่เล่าปี่ใช้ก็คือการตลาดแบบปากต่อปาก หรือ Word of Mouth Marketing ในยามสื่อทั้งหลายยังไม่เจริญ การใช้ปากคนพูดต่อๆไปนั้น จะได้ผลดีที่สุด ถ้าจะให้คนพูดถึงตัวเองในแง่ดี ก็ต้องวางตัวและประพฤติปฏิบัติให้คนเห็นว่าเป็นคนดี
"จุดเด่นของเล่าปี่"
จุดแข็งเด่นๆของเล่าปี่มีเพียงสองประการเท่านั้น นั่นคือภาพลักษณ์คนดีมีคุณธรรมและมีศิลปะในการครองใจคน ทว่าหากจะตั้งต้นเป็นใหญ่ จุดแข็งทั้งสองประการไม่เพียงต้องมีสติปัญญาเหนือคนเพราะในยุคสามก๊กไม่ได้รบกันด้วย กำลัง ไม่เช่นนั้นลิโป้คงเป็นใหญ่ในแผ่นดินแล้ว เมื่อเล่าปี่สำนึกว่าตนนั้นด้อยสติปัญญา ก็ไม่ฝืน พยายามหาผู้มี สติปัญญามาเป็นกุนซือ
เพราะรู้ว่าการมีสามทหารเอกกวนอู เตียวหุย จูล่ง ไม่เพียงพอกับ การตั้งตัวเป็นใหญ่เขายังขาดมันสมองใหญ่ในการกำหนดแผน รบและครองแผ่นดินเขาแตกต่างจากโจโฉที่ทั้งมีความสามารถในการรบและวางแผน การรบด้วยตัวเองได้ ขณะที่เล่าปี่ไม่มีในสิ่งที่โจโฉมี จึงต้องหาคนมากระทำการแทน การเพียรพยายามไปเยือนกระท่อมหญ้าของขงเบ้งที่เขาโงลังกั๋ง ถึง3 ครั้งแสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญกับกุนซืออย่างสูง
เพราะก่อนหน้าเขาเห็นว่าการรบอย่างมีแผน กับการรบอย่างไร้ แผนนั้นผลลัพธ์แตกต่างกันอย่างไร เมื่อชีซีและสุมาเต็กโช ให้การยกย่องขงเบ้งอย่างสูง เขาจึงเชื่อมั่นและให้ความสำคัญกับพญามังกรแห่งเขาโงลังกั๋งมากๆ ทั้งๆที่ขงเบ้งอายุเพียง 27 ปี และไม่มีประสบการณ์มาก่อน
ทว่าเล่าปี่ก็พร้อมมอบอำนาจให้ขงเบ้งเป็นซีอีโอ ส่วนตนเองนั่งเก้าอี้ Chairman ถ้าเขาใช้คนผิดก็อาจล่มสลาย
ถ้าใช้คนถูก ก็เป็นใหญ่ในแผ่นดินได้
จุดอ่อนของเล่าปี่คือ จน ไม่มีความรู้ ไม่มี connection ไม่มี ประสบการณ์ทางการทหาร ใจอ่อน และมักจะลังเล ให้ความสำคัญกับลูกน้องที่ตนเองรักและชื่นชอบ ไม่เฉียบขาดในการทำงานเหมือนโจโฉ
"เล่าปี่เรียนรู้การทำงานจากฝ่ายศัตรู"
ยุคสามก๊กเป็นยุคที่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น เอาผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง ยากที่มวลชนจะฝากผีฝากไข้ไว้กับผู้ปกครองคนหนึ่งคนใดได้ เล่าปี่วางตัวเป็นคนมีคุณธรรมไม่แย่งยึดเมืองจากคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนสกุลเดียวกันอย่างไร้คุณธรรม ...ทั้งๆ ที่ในยุคนั้น เพื่อบรรลุเป้าหมายต้องไม่คำนึงถึงวิธีการที่ใช้ การทำตัวมีคุณธรรม แม้จะทำให้ “ต้นทุน” การตั้งตัวสูงขึ้น
แต่ทว่าในเชิงภาพลักษณ์แล้วได้เต็มๆ ภาพลักษณ์ของเชื้อพระวงศ์ผู้มีคุณธรรม จิตใจโอบอ้อมอารี เห็น แก่อาณาประชาราษฎร์ นี่เอง ทำให้ชนะใจมวลชน ....เมื่อจะทำการใหญ่ก็ง่ายกว่าคนอื่น
แต่ท้ายที่สุด...เล่าปี่ก็คือนักการเมืองผู้หนึ่งเช่นเดียวกับโจโฉ เพียง แต่เลือกเดินคนละสายเท่านั้น
เล่าปี่เลือกเดินสายพิราบ สมานฉันท์ สันติภาพ เล่าปี่ไม่สามารถเดินสายเดียวกับโจโฉ เพราะอยู่ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ความสำเร็จของเล่าปี่...คือความสำเร็จของการตลาดภาพลักษณ์
ในสมัยสามก๊กคู่แข่งที่เข้ามาชิงอำนาจกันเพื่อครองความเป็นใหญ่ในแผ่นดินก็คือ เล่าปี่ กับ โจโฉ ในช่วงแรกของการสู้รบ โจโฉเป็นฝ่ายได้เปรียบจนสามารถยึดครองภาคเหนือได้ทั้งหมด ส่วนเล่าปี่เมื่อต้องประมือกับโจโฉเมื่อไหร่ก็มักจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ตลอด แม้ว่าจะมีทหารเอกฝีมือดีอยู่มากมาย ทั้งกวนอู เตียวหุย หรือ จูล่ง
สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างเล่าปี่กับโจโฉก็คือ ทีมงานที่มาช่วยวางยุทธศาสตร์ กำหนดทิศทางของกองทัพและช่วยวางแผนบริหารเป็นเหมือนมือซ้าย มือขวา ในขณะที่กองทัพโจโฉเพียบพร้อมไปทั้งด้วยทีมงานทั้งฝ่ายบุ๋น ฝ่ายบู๊ ทีมงานของเล่าปี่มีฝ่ายปฏิบัติการณ์แต่ไม่มีมือขวาที่ช่วยขับเคลื่อนองค์กร
“ทีมงานของเล่าปี่มีแม่ทัพฝ่ายบู้ที่เก่งกาจ แต่ไม่มีมือขวาฝ่ายบุ๋นที่ช่วยขับเคลื่อนองค์กร“
เมื่อเล่าปี่รู้ถึงจุดอ่อนเรื่องนี้และก็ได้ยินกิตติศัพท์ของกุนซืออัจฉริยะแห่งยุคที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางป่าเขาอย่างขงเบ้ง เล่าปี่ก็ไม่ลังเลที่จะต้องไปเชิญขงเบ้งมาเข้าทีมด้วยตัวเอง แม้ในขณะนั้นเล่าปี่จะต้องระหกระเหินหนีจากโจโฉมาขออาศัยอยู่กับญาติ แต่ด้วยฐานะของเล่าปี่ก็เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ มีศักดิ์เป็นพระเจ้าอาของฮ่องเต้ ส่วนขงเบ้งนั้นอยู่กลางป่ากลางเขาไม่ต่างจากชาวนาคนหนึ่ง แต่เล่าปี่ก็ยอมบุกป่าฝ่าดงเพื่อจะได้เจอกับขงเบ้ง
แต่สถานการณ์ก็ไม่เป็นดังใจเพราะการเดินทางไปหาขงเบ้งสองครั้งแรกมีเหตุในทั้งสองคนต้องคลาดกัน แต่เล่าปี่ก็ยังไม่ละความพยายามจนมาเยือนกระท่อมขงเบ้งเป็นครั้งที่สาม และสามารถชักชวนขงเบ้งให้มาร่วมทีมได้ทำให้ในที่สุดเล่าปี่ก็สามารถสร้างตัวเป็นเจ้าแผ่นดินได้ ด้วยสติปัญญาของขงเบ้ง
"แนวคิดผู้นำเพื่อความสำเร็จ"
จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะยุคสมัยใดก็ตาม ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ก็ต้องขับเคลื่อนองค์กรณ์ด้วยการบริหารคน และการชักชวนคนเก่งมาเข้าร่วมทีมงานก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะเริ่มต้นสร้างทีมงาน ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็มีเครื่องมือมากมายที่เป็นตัวช่วยในการได้พบปะผู้คนหรือแสวงหาคนเก่งๆ โดยไม่ต้องเดินทางบุกป่าฝ่าดงไปเยื่อนกระท่อมแบบเล่าปี่ เช่นการเข้าไปอยู่ในสังคมของการทำงานแบบมืออาชีพอย่าง Linkedin หรือการเข้าร่วมกิจกรรมสัมมนาคอร์สธุรกิจต่างๆ ก็ช่วยเปิดโอกาสในการพบปะผู้คนได้มากยิ่งขึ้น
และองค์กรณ์ที่ยั่งยืนก็ต้องถูกขับเคลื่อนด้วยทีมงาน ไม่ใช่เพียงแค่คนแค่คนเดียว เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว
องค์กรและทีมงานอาจจะไม่สามารถเติบโตได้เท่าที่ควร
"เล่าปี่" ชื่นชอบคนประเภทไหนในการทำงาน?
1.คนที่มีคุณธรรม
2.คนที่มีความรับผิดชอบ
3.คนที่มีความรู้และวิธีการทำงาน
4.คนที่ซื่อสัตย์จริงใจ
5.คนที่ขยันหมั่นเพียรไม่เกียจคร้าน
6.คนที่ตรงต่อเวลาต่อหน้าที่
7.คนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนร่วมเป็นหลัก
8.คนที่มีความเมตตา
9.คนที่มีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ
10.คนที่เมื่อทำผิดแล้วรู้จักแก้ไข
"เล่าปี่"ไม่ชอบคนประเภทไหนมากที่สุด?
1.คนไร้คุณธรรม
2.คนที่ไม่มีความขยัน เกียจคร้าน
3.คนที่ชอบทรยศหักหลัง
4.คนที่ดีแต่พูด
5.คนที่ไม่กตัญญูรู้คุณคน
6.คนที่ชอบแสแสร้งมีมารยา
7.คนไร้ความเมตตาเลือดเย็นและโหดเหี้ยม
เรียบเรียงเนื้อหา/นำเสนอบทความโดย :
"สาระหลากด้าน"
ขอบคุณข้อมูล, เครดิต :
โฆษณา