19 มี.ค. 2023 เวลา 13:50 • ปรัชญา

“ใจที่คลายออกจากโลก”

“ … ปัญญาตัวจริงเกิด จิตจะวาง
ค่อยๆ เรียน ค่อยๆ ทำไป งาน 3 งาน
ถือศีล 5
ทำในรูปแบบ
อาจจะทำสมถะหรือฝึกเจริญปัญญาก็ได้
แล้วแต่ภูมิจิตของเราในขณะนั้น ในวันนั้น ในเวลานั้น
อันที่สามก็คือการเจริญสติในชีวิตประจำวัน
เจริญสติในชีวิตประจำวันก็คือตากระทบรูป จิตเราเปลี่ยน เรารู้ทัน
หูได้ยินเสียง จิตเราเปลี่ยนแปลง เรารู้ทัน
จมูกได้กลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัส ใจกระทบความคิด
จิตมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น รู้ทัน
มันเปลี่ยนอย่างไร เดี๋ยวมันก็สุข เดี๋ยวมันก็ทุกข์
เดี๋ยวมันก็ดี เดี๋ยวมันก็ร้าย
ดูอย่างนี้ไป ในสุดท้ายเราก็จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง
ทั้งภายใน ทั้งภายนอก ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแล้วดับทั้งสิ้น
นั่นล่ะปัญญาตัวจริงเกิด มันจะปล่อยวาง
เมื่อเช้าหลวงพ่อตรวจดูทีมไลฟ์คนหนึ่ง บอกรู้ตัวไหม เดี๋ยวนี้จิตเราเติบโตขึ้นมา จิตเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาแล้ว
จิตเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้ขึ้นกับอายุ บางคนอายุตั้ง 90 จิตยังเป็นเด็กทารกเลย ขี้อ้อน โวยวายอะไรอย่างนี้ ไม่ได้อย่างใจแล้วก็อาละวาด
จิตเป็นผู้ใหญ่ก็คือจิตมันยอมรับความจริงของโลก
จิตมันยอมรับความจริงของชีวิตได้มากขึ้น
หัดเจริญสติดูกายดูใจนี้ล่ะ แล้วพอมันไปเห็นโลกข้างนอก
เห็นเลยโลกข้างนอกนี้ หาสาระแก่นสารไม่ได้เลย
โลกข้างนอกเอาเป็นที่พึ่งที่อาศัยอะไรไม่ได้เลย
จิตมันเห็นอย่างนี้
มันคลายออกจากโลกข้างนอก
เพราะมันเรียนรู้โลกภายใน ดูกายดูใจของตัวเอง
มันเห็นไตรลักษณ์ซ้ำแล้วซ้ำอีก
พอมันไปดูโลกข้างนอก มันก็จืดไปหมดเลย
โลกข้างนอกไม่น่าสนุกสนานตื่นเต้นอย่างเดิมแล้ว
มีแต่ของไม่เที่ยง มีแต่ของทนอยู่ไม่ได้
มีแต่ของที่ไม่เป็นไปตามอำนาจบังคับ
ไม่เป็นอย่างที่อยากอะไรอย่างนี้
ใจมันคลายออกจากโลก
ใจมันเป็นผู้ใหญ่คือมันรู้จักโลกมากขึ้น รู้จักชีวิตมากขึ้น
ฉะนั้นเราภาวนา เราจะเติบโตทางจิตวิญญาณของเรา
จิตวิญญาณเราจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา
ผู้ใหญ่ก็คือเข้าใจโลก เข้าใจชีวิตมากขึ้น
โลกก็จะกระทบเราได้น้อยลง
ร่างกายจิตใจก็จะกระทบเข้ามาถึงจิตใจของเราได้น้อยลงๆ
ร่างกายไม่สบาย ร่างกายไม่สวยไม่งามอะไรอย่างนี้ จิตใจไม่หวั่นไหว
โลกมันจะกระทบเราน้อยลงๆ
โลกภายนอกอยู่รอบตัวเรา
โลกภายในคือรูปนามกายใจของเรานี้
มันกระทบกระเทือนเข้ามาถึงจิตใจของเรานี้น้อยลง
จิตมันก็โดดเด่น เป็นกลาง สงบ
เห็นโลกเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ แต่จิตสงบ เด่นดวงอยู่อย่างนั้น
มีความสุขอยู่อย่างนั้น
อันนี้ระดับหนึ่ง สูงกว่านั้นยังมีอีก
แต่ว่าเอาตรงนี้แค่นี้ก่อนก็แล้วกัน
สูงกว่านั้นจะเห็นโลกเป็นแค่ปรากฏการณ์ที่เป็นความว่างเปล่า
แล้วก็ไม่แสวงหาจิตต่อไปแล้ว
จะไม่มีคำถามเลยว่า พระอรหันต์นิพพานแล้วจิตจะไปอยู่ที่ไหน
เพราะท่านวางมันทิ้งไปตั้งแต่บรรลุพระอรหันต์แล้ว
ท่านจะไปเอาอะไรหลังจากธาตุขันธ์นี้แตกแล้ว
จิตจะไปอยู่ที่ไหน ไม่มีความรู้สึกอย่างนั้นหรอก
ถ้ายังรู้สึกอย่างนั้น ยังจะไปเป็นพรหมอยู่
อยากให้จิตทรงความเป็นอมตะอยู่
ฉะนั้นเรียนธรรมะ เรียนให้ดีๆ ค่อยเรียนไป แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านเก่งจริงๆ ท่านก็สอนไว้ อย่างหลวงปู่หล้า ภูจ้อก้อ ท่านสอนเลย “ผู้รู้ไม่ใช่นิพพาน ฟากผู้รู้ไป”
คือข้ามพ้นไป “จนไม่มีที่กำหนดหมาย ถ้าหมายอยู่ก็พอเหมือนๆ ” ถ้าหมายอยู่จิตเราจะไปนิพพาน พอเหมือนๆ ไม่ใช่
หลวงปู่ดูลย์ท่านบอกว่า “พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ พบจิตให้ทำลายจิต จึงจะถึงความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง” อันนี้ขั้นสุดท้าย พวกเราต้องมีผู้รู้ก่อน อย่ารีบทำลายผู้รู้ บ้าเลย
เรียนธรรมะ เรียนไปตามลำดับ
เป็นขั้นเป็นตอนไป
อย่าใจร้อนข้ามขั้น ข้ามขั้นแล้วเสีย
บางคนทำไมก้าวข้ามได้เร็ว เขาทำมานานแล้ว เขาอบรม อินทรีย์เขาแก่กล้าหลายภพหลายชาติแล้ว เขาฟังธรรมนิดเดียว เขาก้าวกระโดดเลย
ของเรายังเตาะแตะอยู่ ถ้าไม่เตาะแตะ ไม่มาหลงมาเรียนอยู่กับหลวงพ่อปราโมทย์นี่หรอก คงจบตั้งแต่สมัยพุทธกาลไปแล้วล่ะ เพราะฉะนั้นเรียนไปตามลำดับ อย่าใจร้อน
ถือศีล 5 ขั้นที่หนึ่ง
ทำในรูปแบบ ต้องทำ ถ้าไม่ทำจิตไม่มีแรงหรอก
จิตไม่ตั้งมั่นหรอก
จิตตั้งมั่นแล้วเดินปัญญา
เดินปัญญาขั้นต้นยังไม่ขึ้นวิปัสสนา ก็คือแยกรูปนามได้
จะทำวิปัสสนาได้
ก็เห็นรูปแต่ละรูปเป็นไตรลักษณ์ แสดงไตรลักษณ์
นามแสดงไตรลักษณ์
อันนั้นขึ้นวิปัสสนา
แล้วสุดท้ายจิตจะวาง …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วันสวนสันติธรรม
5 มีนาคม 2566
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา