26 พ.ค. 2023 เวลา 03:42 • หนังสือ

รีวิวหนังสือ “Brian Tracy on Goals! 21 หลักการตั้งเป้าหมายที่ใช้ได้ผลตลอดชีวิต”

เล่มที่ 25
การคว้าสิ่งที่มีคุณค่ามาครองล้วนต้องอาศัยการทุ่มเทความพยายามอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน แต่มันจะกลายเป็นความจริงได้หากคุณต้องการสิ่งนั้นมากพอและยินดีทุ่มเทความพยายามให้นานพอ ทันทีที่ไปถึงจุดนั้นก็จะพบว่ามันคุ้มค่ากับความพยายามทั้งหมดที่ทุ่มไป
Brian Tracy
Brian Tracy ผู้เขียน เป็นนักพูดที่มีชื่อเสียงและเป็นผู้ออกแบบหลักสูตรการอบรมเรื่องความสำเร็จในระดับบุคคลและองค์กร อีกทั้งยังเขียนหนังสือมากกว่า 80 เล่ม
หนังสือเล่มนี้เป็นการพูดถึงแนวคิด วิธีการ และแรงบันดาลใจ ในการทำตามเป้าหมายให้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เงิน ครอบครัว นิสัยที่ดี
ก่อนที่ผู้เขียนจะลงรายละเอียดขั้นตอนที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จ ผู้เขียนสรุปอย่างสั้น ๆ ว่า “จงเขียนเป้าหมายของคุณออกมา วางแผนเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายเหล่านั้น แล้วลงมือทำตามแผนที่วางไว้”
ขั้นแรกของการทำตามเป้าหมายก็เหมือนกับหนังสือพัฒนาตนเองเล่มอื่น ๆ ที่ให้เริ่มจากเปลี่ยนแนวคิดของเราก่อน ให้เชื่อว่าสามารถทำได้ ผู้เขียนกล่าวว่า “ความเชื่อเป็นสิ่งที่เราต้องสร้างขึ้นมาไม่ใช่สิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด”
ผู้เขียนบอกต่อไปว่า “ความก้าวหน้าในชีวิตทุกอย่างของเราเกิดจากการเปลี่ยนแปลงความเชื่อเกี่ยวกับตัวเองและศักยภาพของเรา” โดยยกตัวอย่างคำคมของ นโปเลียน ฮิลล์ ที่กล่าวไว้ว่า “สิ่งใดก็ตามที่สมองของเราสามารถทำความเข้าใจและเชื่อได้ สิ่งนั้นย่อมกลายเป็นความจริงได้”
ผู้เขียนยังบอกอีกว่า “ความเชื่อที่เลวร้ายที่สุดในบรรดาความเชื่อทั้งหมดก็คือ ความเชื่อที่สร้างข้อจำกัดให้ตัวเอง หากเราเชื่อว่าตัวเองมีข้อจำกัดด้านใด ข้อจำกัดนั้นก็จะกลายเป็นความจริงสำหรับเรา ส่งผลให้เราปฏิบัติตัวสอดคล้องกับความเชื่อนั้น”
เพราะฉะนั้น “ให้เราเชื่อมั่นว่า เรามีประสิทธิภาพในการไปถึงเป้าหมายแทบทุกอย่างที่ตั้งไว้ หากเราลงมือทำอย่างต่อเนื่องให้นานพอและทุ่มเทความพยายามมากพอ”
การจิตนาการถึงภาพของความสำเร็จที่ตัวเองต้องการเป็นประจำ เป็นเทคนิคที่หนังสือพัฒนาตนเองหลายเล่มแนะนำเพื่อให้เป้าหมายเราชัดเจนและมีแรงบันดาลใจในการทำตามเป้าหมายยิ่งขึ้น หนังสือเล่มนี้ก็เช่นกัน
ผู้เขียนบอกว่า “ให้เราจินตนาการภาพในอุดมคติและจดจ่ออยู่กับอนาคต เราจะไม่หยุดอยู่กับเป้าหมายหรือความสำเร็จที่ด้อยกว่าความตั้งใจของตนเอง วาดภาพอนาคตอันสมบูรณ์แบบของตัวเองโดยตัดสินใจว่าอะไรคือสิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง จากนั้นก็กลับมายังปัจจุบันและจัดการกับสิ่งที่เราสามารถทำได้ในตอนนี้…การจินตนาการกระตุ้นการทำงานของกฎแห่งการดึงดูดซึ่งจะดึงดูดผู้คน เหตุการณ์ และทรัพยากรต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการไปให้ถึงเป้าหมายเข้ามาในชีวิตเรา”
ผู้เขียนยังยกตัวอย่างว่า “ในวงการกีฬาอาชีพมีวิธีฝึกอย่าหนึ่งซึ่งเรียกว่า การฝึกซ้อมในใจ นักกีฬาชั้นนำทุกประเภทจะฝึกซ้อมในใจก่อนลงแข่งขันจริง โดยตลอดระยะเวลาหลายวันก่อนการแข่งขันครั้งสำคัญ พวกเขาจะวาดภาพในใจครั้งแล้วครั้งเล่าว่าตัวเองทำผลงานได้ดีที่สุดและประสบความสำเร็จในการแข่งขันนั้น”
นอกจากนี้ผู้เขียนยังแนะนำให้ใช้ “การคิดแบบย้อนกลับจากอนาคต โดยจินตนาการถึงอีกอนาคตอีก 5 ปีข้างหน้าแล้วมองย้อนกลับมายังปัจจุบัน จากนั้นก็ถามตัวเองว่าเราต้องทำสิ่งใดให้สำเร็จบ้างเพื่อสร้างโลกในอุดมคติของตัวเอง”
วิธีคิดแบบนี้ตรงกับวิธีคิดแบบคำนวณกลับหลัง ในหนังสือ “โคโนะ เก็นโตะ ราชาสมองเพชร” และตรงกับวิธีคิดแบบการคิดโดยตั้งต้นจากเป้าหมาย ในหนังสือ “จงถ่ายเอกสารหน้าสารบัญ แล้วคุณจะเรียนเก่งขึ้น” ของผู้เขียน อิโต มะโกะโตะ
ผู้เขียนชี้ให้เห็นความสำคัญของการวางแผนลงมือทำ โดยยกตัวอย่างคำพูดของอเล็ก แมคเคนซี ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารเวลา มาสนับสนุน ว่า “การลงมือทำโดยปราศจากการวางแผนคือสาเหตุของความล้มเหลวทั้งปวง”
ผู้เขียนแนะนำว่า “เขียนรายการสิ่งที่ต้องทำเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่ต้องการ แล้วจัดลำดับโดยเรียงตามขั้นตอนว่าอะไรคือสิ่งที่เราต้องทำก่อนหลัง…จิตใต้สำนึกของเราจะทำงานได้ดีที่สุดเมื่อมีเป้าหมายชัดเจน…หั่นเป้าหมายระยะยาวออกเป็นเป้าหมายรายปี รายเดือน รายสัปดาห์ หรือแม้แต่รายชั่วโมง…การวางแผนต้องอาศัยการมองโลกตามความเป็นจริง เราต้องซื่อสัตย์ต่อตัวเองให้มากที่สุดในทุกขั้นตอนของกระบวนการวางแผน”
แม้ผู้เขียนจะบอกว่าให้เราตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่ล้มเลิกทำตามเป้าหมายโดยเด็ดขาด แต่ก็บอกด้วยว่า “เราต้องกำหนดเส้นตาย ต้องรู้จุดสิ้นสุด ระบุวันที่แน่นอนของเป้าหมายว่าจะสำเร็จเมื่อใด หากทำไปโดยปราศจากเส้นตายจะเสียเวลาเปล่า…เป้าหมายที่ไม่มีเส้นตายเป็นเพียงความปรารถนาอันเลื่อนลอยและปราศจากแรงกระตุ้น…ถ้าไม่สามารถไปถึงเป้าหมายภายในเส้นตายที่กำหนดไว้ได้ก็แค่กำหนดเส้นตายใหม่ขึ้นมา รวมทั้งเลื่อนเส้นตายออกไปอีกรรั้งหากจำเป็น”
วิธีการของผู้เขียนมีเยอะมากแต่ส่วนใหญ่ก็จะเขียนซ้ำ ๆ วนไปวนมา ผมสรุปวิธีการต่าง ๆ ที่ผมสนใจของผู้เขียนดังนี้
วิธีทำให้การงานและการเงินดีขึ้น ผู้เขียนบอกว่า
1. “ยอมรับว่าเราคือผู้รับผิดชอบชีวิตและทุกสิ่งที่พบเจอ โดยไม่โยนความผิดให้ผู้อื่นหรือแก้ตัว
2. “จงจำไว้เสมอว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณมาจากไหน แต่อยู่ที่ว่าคุณกำลังมุ่งหน้าไปที่ไหน”
3. “วางแผนเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย จากนั้นปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ โดยลงมือทำสิ่งที่จะช่วยให้เราเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นทุกวัน”
4. “หมั่นจินตนาการถึงเป้าหมายนั้นราวกับว่าเราก้าวไปถึงปลายทางที่ต้องการแล้ว และตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่มีทางล้มเลิกจนกว่าจะประสบความสำเร็จ”
5. “ยิ่งเรียนรู้สิ่งที่จำเป็นต่อการไปให้ถึงเป้าหมายมากเท่าไหร่ เราก็จะกลัวน้อยลงเท่านั้น ทั้งยังมีความกล้าและความมั่นใจมากขึ้นด้วย…กำหนดเป้าหมายเล็ก ๆ วางแผนแล้วทำตามแผนที่วางไว้ทุกวันจะช่วยเสริมสร้างความกล้าและความมั่นใจ”
6. “จงเป็นเจ้านายที่เข้มงวดกับตัวเองโดยมีวินัยและกระตุ้นตัวเองให้ทำในสิ่งที่จำเป็นเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย”
7. “การมีวินัยในตัวเอง ทำในสิ่งที่ควรทำในเวลาที่เหมาะสม ไม่ว่าเราจะอยากทำสิ่งนั้นหรือไม่ก็ตาม”
วิธีทำให้นิสัยและชีวิตครอบครัวดีขึ้น ผู้เขียนบอกว่า
1. “ถ้าอยากรักษาจิตใจของตัวเองให้เป็นบวกอยู่เสมอ ต้องเลิกวิพากษ์วิจารณ์ บ่น หรือติเตียนคนอื่น ทุกครั้งที่ทำ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ กระตุ้นให้ตัวเองเกิดความรู้สึกเชิงลบและความโกรธ ซึ่งคนที่ทนทุกข์ก็คือตัวเราเอง การโกรธคนอื่นเท่ากับเรากำลังปล่อยให้เขาเป็นผู้ควบคุมอารมณ์ของเรา”
2. “ยิ่งเรามีวินัยในการใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตนเองมากเท่าไหร่ ระดับความซื่อสัตย์ของเราก็จะเพิ่มสูงขึ้นเท่านั้น ใช้ชีวิตสอดคล้องกับค่านิยมสูงสุดของตัวเองแม้กระทั่งไม่มีใครจับตาดูอยู่”
3. “บ่มเพาะคุณลักษณะ อุปนิสัย และความสามารถที่ยังไม่มี เปิดกว้างที่จะเรียนรู้และยอมรับเรื่องใหม่ ๆ ในแต่ละช่วงของการสร้างครอบครัว ยอมรับความคิดและทัศนคติใหม่ ๆ”
4. “แกล้งทำนิสัยที่ดีจนกว่าจะทำได้จริง ๆ เช่น ความเอาใจใส่ ความห่วงใย ความอดทน ความเป็นมิตร และความมีเมตตา…ในที่สุดเราก็จะหยิบมันออกมาใช้ได้อัตโนมัติ”
5. “ยึดกฎแห่งการหว่านเมล็ดและเก็บเกี่ยว ทุกความช่วยเหลือที่เราหยิบยื่นให้ผู้อื่นอย่างจริงใจจะย้อนกลับมาตอบแทนเราในทางใดทางหนึ่ง…จงมองหาวิธีเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นทรัพยากรที่มีค่าต่อผู้คนรอบข้าง แล้วพวกเขาจะพยายามช่วยเหลือและสนับสนุนเราในยามที่เราต้องการมากที่สุดโดยอัตโนมัติ”
6. “มีเมตตา สุภาพ และเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเสมอ ยึดมั่นในกฎทองที่ว่าจงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่คุณอยากให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อคุณ”
ผู้เขียนยกตัวอย่างคำคมสร้างแรงบันดาลใจของคนดังมากมาย เช่น
 
“บ่อยครั้งอุปสรรคที่ขวางกั้นคนคนหนึ่งจากสิ่งที่ต้องการก็มีเพียงความตั้งใจที่จะลงมือทำและความศรัทธาที่จะเชื่อว่าสิ่งนั้นเป็นไปได้ -ริชาร์ด เอ็ม. เดวอส
“คุณลักษณะที่สำคัญต่อความสำเร็จของผมยิ่งกว่าคุณลักษณะอื่นใดก็คือความสามารถในการลงมือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดกลางคัน” -โทมัส เอดิสัน
“ทุกความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติล้วนเป็นผลจากการทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มที่และยาวนาน โดยบางครั้งก็ต้องใช้เวลาหลายปีเลยทีเดียว” -เอิร์ลไนติงเกล
ผู้เขียนยังชี้ให้เห็นความจริงของการทำตามความฝันว่าต้องเผื่อใจไว้กับความผิดหวังและความล้มเหลว และแนะนำให้เราอย่ายอมแพ้ เช่น “คนที่ประสบความสำเร็จล้วนผ่านความล้มเหลวมามากกว่าคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ พวกเขาลองทำสิ่งต่าง ๆ สารพัดล้มเหลว ลุกขึ้นยืน และพยายามอีกครั้ง โดยทำเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนได้รับชัยชนะในที่สุด ส่วนคนที่ไม่ประสบความสำเร็จจะลองทำสิ่งใหม่ ๆ เพียงเล็กน้อย ก่อนจะถอดใจยอมแพ้อย่างรวดเร็วและย้อนกลับไปทำสิ่งเดิม ๆ”
“เราควรเตรียมใจว่าก่อนไปถึงเป้าหมายที่ต้องการ เราจะต้องล้มเหลวและผิดหวังหลายครั้งหลายครา โดยมองว่าความล้มเหลวและความพ่ายแพ้ชั่วคราวเหล่านั้นคือสิ่งหนึ่งในสิ่งที่เราต้องเผชิญเพื่อก้าวไปยังเป้าหมายที่เราสามารถไปถึงได้อย่างแน่นอน”
“ยิ่งเป้าหมายของเรายิ่งใหญ่และท้าทายมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งพบเจอกับความผิดหวังและความยากลำบากมากขึ้นเท่านั้น…หากไม่มีอุปสรรคเราก็ไม่สามารถเติบโตและพัฒนาตัวเองให้ประสบความสำเร็จและไปถึงเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ได้…ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่มักอยู่ห่างจากจุดที่ทำให้เราอยากถอดใจยอมแพ้เพียงหนึ่งก้าว”
ข้อดีคือผู้เขียนอธิบายขั้นตอนในการทำเป้าหมายของเราให้สำเร็จไว้อย่างละเอียดยิบและใช้ถ้อยคำอธิบายได้ดี เนื้อหาระหว่างบทก็สอดแทรกคำคมของบุคคลสำคัญหรือคนดังเอาไว้ ทำให้สร้างแรงบันดาลใจในการทำตามความฝันได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ตัวหนังสือเล็กไปหน่อยแต่เนื้อหาอัดแน่นมีคุณภาพ
ข้อเสียคือการกล่าวถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่งไปแล้ว แต่กลับมาพูดถึงเรื่องนั้นซ้ำไปซ้ำมาเพียงแค่ตั้งหัวข้อใหม่แล้วขยายความเพิ่มขึ้น ทั้ง ๆ ที่สามารถเขียนรวมไปในหัวข้อเดียวกันได้ จุดนี้มันทำให้เราเบื่อกับเนื้อหาเดิม และการใช้โครงสร้างของประโยครูปแบบการอธิบายแบบฝรั่งที่ทำให้คนไทยอย่างเราอ่านแล้วไม่ค่อยซึมซับกับเนื้อหา บางอย่างก็ดูงง ๆ
สรุปให้ 4 ดาว ⭐️⭐️⭐️⭐️ หลังจากอ่านเล่มนี้ได้ความรู้เรื่องการทำตามความฝันอย่างละเอียดเป็นขั้นตอนที่นำไปใช้ได้จริงและวิธีทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น ผมจะนำกฎแห่งการหว่านเมล็ดและเก็บเกี่ยวไปใช้ จะลดละเลิกการบ่นและวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น ถ้ามันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ และผมก็ชอบคำคมที่ผู้เขียนนำมาแทรกไว้ตามบทต่าง ๆ ทำให้ผมสามารถนำไปใช้อ้างอิงได้ดีด้วย
ผู้เขียน : Brian Tracy
ผู้แปล : วิญญู กิ่งหิรัญวัฒนา
สำนักพิมพ์ : วีเลิร์น
หมวด : พัฒนาตนเอง
ขนาดรูปเล่ม : 144 x 210 x 20 มม.
น้ำหนัก : 415 กรัม
เนื้อในพิมพ์ : ขาวดำ
ชนิดกระดาษ : กระดาษถนอมสายตา
จำนวนหน้า : 344 หน้า ปกอ่อน
ISBN : 9786162874567
 
หนังสือราคา 345 บาท มี 344 หน้า

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา