24 มิ.ย. 2023 เวลา 18:58 • บ้าน & สวน

ร่มรื่นราบรื่น

หากจะว่าตามเค้าโครงแรกเริ่ม ที่ผู้เขียนวางไว้นั้น ก็ตั้งใจว่า จะเอาเรื่องของการจัดสวนรอบตัวอาคาร หรือบ้านเรือนที่พักอาศัย ไปไว้ในช่วงท้ายๆ ของบทความชุดนี้ เนื่องจากว่า ต้องการให้ท่านผู้อ่านได้เรียนรู้ เกี่ยวกับเนื้อหาทฤษฎีของหลักวิชา ที่เกี่ยวข้องก่อน แต่หลังจากที่ได้เผยแพร่ บทความเกี่ยวกับการใช้ หลักเกณฑ์ของอาณาจักร มาจัดวางตำแหน่งทั้งภายนอก และภายในตัวอาคาร ในบทก่อนหน้าที่ผ่านมา ก็ทำให้มีคำถามและข้อเรียกร้อง เข้ามาค่อนข้างมากเกี่ยวกับ การออกแบบจัดสวน รอบตัวอาคารและบ้านเรือน
จึงทำให้ผู้เขียนต้องหันมา ทบทวนลำดับขั้นตอน ของเนื้อหาบทความใหม่ทั้งหมด ก็พบว่า ข้อมูลความรู้ที่ได้บรรยายเท่าที่ผ่านมานี้ ก็น่าจะเพียงพอที่จะช่วย ให้ท่านผู้อ่านสามารถ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการ หรือแนวทางในการจัดสวน รอบตัวอาคารได้พอสมควร ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ก็อาจจะเกริ่นนำไว้สักเล็กน้อย เมื่อท่านได้ผ่านตาเนื้อหา ของแต่ละหลักการนั้นๆ แล้ว ก็น่าจะเชื่อมความเข้าใจ ทั้งหมดเข้าหากันได้เอง
ที่กล่าวเช่นนี้ ก็เพราะว่า หลักการพื้นฐานในการจัดสวนรอบตัวอาคารนั้น จะอาศัยเกณฑ์ทฤษฎี ของหลักวิชาเบญจธาตุ และอาณาจักรที่ได้ พูดถึงมาแล้วเป็นส่วนสำคัญ ส่วนเรื่องของหลักวิชาดาวเหิน อัฐเรือน และความปรารถนาทั้งแปดนั้น เมื่อได้เรียนรู้แล้ว ก็จะสามารถนำหลักวิชานั้น มาเสริมเติมให้การจัดสวนของท่าน มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นได้
อุปมาดังว่า วิชาเบญจธาตุและอาณาจักร จะถือเป็นส่วนของโครงสร้างหลัก ส่วนหลักวิชาที่เหลือจะเป็น ในส่วนของการประดับตกแต่ง ด้วยเหตุนี้การจัดสวน จึงต้องเน้นในส่วนโครงหลัก ให้ถูกต้องตามเกณฑ์ของ ความสัมพันธ์ระหว่างธาตุและทิศ ให้สอดคล้องต้องกันเสียก่อน จากนั้นค่อยใช้หลักของอาณาจักร ในการวางตำแหน่งหิน และน้ำให้เหมาะสมเป็นการเบื้องต้น แน่นอนว่า ท่านผู้รู้ทั้งหลายอาจจะแย้งว่า การวางหินและน้ำโดยปราศจาก ความถูกต้องแม่นยำขององศาและผังดาว อาจทำให้เกิดผลร้ายได้
รื่องนี้ผู้เขียนขออธิบายว่า หลักการวางหิน และน้ำตามเกณฑ์ของอาณาจักรนั้น ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องให้ความสำคัญ เพราะมังกรเขียวและเสือขาว จะต้องได้รับพลังกระตุ้น และสะกดข่มที่เหมาะสมระดับหนึ่ง แม้ตำแหน่งดาวจะไม่เอื้อ ก็ยังไม่อาจละเลย เพียงแต่ว่า อาจจะลดขนาดและปริมาณลง ให้เหมาะสมเป็นกรณีไป
ไม่ต่างจากการปลูกสร้างอาคารบ้านเรือน ที่ต้องเน้นที่ความมั่นคงแข็งแรงก่อน ส่วนประโยชน์ใช้สอย ต้องมาเป็นลำดับถัดไป การวางอาณาจักรให้มั่นคงมีเสถียรภาพ จึงจะทำให้พลังมูลฐานของชะตาดิน ที่จะส่งผลต่อตัวอาคาร ให้มีความเข้มแข็งเพียงพอเป็นลำดับแรก จากนั้นค่อยปรับเปลี่ยน เพื่อรองรับให้สอดคล้อง กับการเคลื่อนคล้อยที่พลวัตร ของดวงดาวต่างๆ ต่อไป
เรียกได้ว่า "นิ่งต้องมั่นคง เคลื่อนต้องพิสดาร" ก็เอาเป็นว่า ลองทำความเข้าใจตามนี้ไปก่อน เพื่อที่ผู้เขียนจะได้เข้าสู่ เนื้อหาสาระของ การประยุกต์หลักการ วิชาภูมิพยากรณ์ หรือฮวงจุ้ยนี้ มาใช้เป็นแนวทางในการ จัดสวนรอบตัวอาคารต่อไป
เริ่มต้นให้ท่านผู้อ่านวางตำแหน่งตน เหมือนกับที่ใช้ในการกำหนดอาณาจักร คือให้หันหลังให้กับตัวอาคาร หรือหันหน้าออกเป็นหลัก เหมือนกับการนั่งอยู่บนเก้าอี้แบบอาร์มแชร์ ที่มีพนักวางมือทั้งสองด้าน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน ในเรื่องของฝั่งซ้ายขวาที่จะพูดถึง ซึ่งจะสอดคล้องกับ ตำแหน่งของมังกรเขียว และเสือขาวตามหลักของอาณาจักร ได้อย่างถูกต้องด้วย
อีกสิ่งที่ต้องคุยกัน เข้าใจกันก่อนก็คือ อาณาบริเวณที่จะเหมาะ ต่อการจัดเป็นสวนไม่ว่าจะใหญ่ หรือเล็กก็ตามนั้น จำต้องกล่าวถึง ส่วนที่ต้องสงวนเอาไว้ สำหรับเป็นพื้นที่รับ และรวมพลังดังที่เคย บรรยามาในบทก่อนหน้า กล่าวคือ บริเวณที่เป็นลานรับพลัง ตรงทางเข้าหลักของประตูรั้ว และบริเวณที่เป็นลานรวมพลัง หรือที่เรียกว่า หมิงถัง ตรงลานด้านหน้า ทางเข้าหลักของตัวอาคาร หรือที่เรียกว่า ประตูหน้า ก็ได้
ทั้งสองส่วนนี้ถ้าเป็นไปได้ ขอให้สงวนไว้เป็นลานโล่งแจ้ง ให้แสงแดดส่องถึง มีความราบเรียบและโล่งกว้าง ทั้งต้องดูแลให้สะอาดอยู่เสมอ เพื่อให้ได้พลังปราณที่มีคุณภาพดีที่สุด ก่อนจะโน้มนำเข้าสู่ภายในตัวอาคาร
ด้วยเหตุนี้บริเวณทั้งสอง ที่กล่าวมาจึงต้องงดเว้น ไม่ทำการปลูกต้นไม้ หรือแม้แต่ทำเป็นสนามหญ้า เพราะการมีต้นไม้ หรือสิ่งมีชีวิตอยู่บริเวณ ด้านหน้าตัวอาคาร โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นลานรวมพลัง ก็จะถูกดูดซับเอาพลังปราณ ไปใช้ในการเจริญเติบโตของชีวิตเหล่านั้น ทำให้ปริมาณปราณที่จะหลงเหลือ เข้าสู่ตัวอาคารลดน้อยลง ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นจริงๆ จึงไม่ควรมีต้นไม้ที่มีชีวิตใดๆ อยู่ที่บริเวณด้านหน้า
แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นข้อห้าม ที่เคร่งครัดแต่อย่างไร เอาเป็นว่าให้ดูขนาด ของลานรวมพลังเป็นเกณฑ์ในการตัดสิน หากว่าบริเวณด้านหน้าตัวอาคาร มีความกว้างขวางเพียงพอ หลังจากจัดสรรแบ่งเป็นพื้นที่ สำหรับลานรวมพลังเรียบร้อยแล้ว ส่วนที่เหลือก็สามารถทำเป็นสนามหญ้า หรือจัดเป็นสวนหย่อมเล็กๆ ได้ ส่วนขนาดของลานรวมพลัง ที่เหมาะสมนั้น ก็ให้กลับไปอ่านในบทความก่อนหน้า ที่พูดถึงเรื่องเกณฑ์การจัดทำลานรับและรวมพลัง เพราะหากนำมาพูดซ้ำในที่นี้ จะเปลืองพื้นที่โดยใช่เหตุอีก
ในกรณีที่ลานรวมพลัง มีพื้นที่กว้างขวางเพียงพอ การจัดวางกระถางต้นไม้เล็กๆ ที่มีดอกสีสันสวยงาม เอาไว้ประดับประดา ที่บริเวณด้านหน้าอาคาร ก็ถือเป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้ และก็ควรกระทำ เพียงแต่ท่านจะต้องแน่ใจก่อนว่า มีเวลาและกำลังทรัพยากรเพียงพอ ที่จะดูแลให้ดอกไม้เหล่านั้น มีความสดชื่นเบ่งบาน และสวยงามอยู่ตลอดเวลา
เพราะถ้าไม่สามารถ รับประกันเช่นนั้นได้ ก็ขอแนะนำไม่ให้ตั้งจะดีกว่า เพราะหากมันเกิดเหี่ยวเฉาซบเซา หรือร่วงโรยสกปรก จะกลับกลายเป็นการทำลาย คุณภาพของพลังปราณ ที่จะเข้าสู่ตัวอาคารไปโดยปริยาย ด้วยเหตุนี้การจัดวางต้นไม้ หรือจัดสวนด้านหน้าตัวอาคาร จึงต้องให้ความพิถีพิถัน และเอาใจใส่ดูแลเป็นพิเศษ ถ้าไม่สามารถกระทำได้ ผู้เขียนก็แนะนำให้ปล่อยว่างเอาไว้ จะสะดวก ต่อการบริหารจัดการพลังได้ง่ายกว่า
ส่วนบางอาคารที่มีอาณาบริเวณ ด้านหน้ากว้างขวาง และอยากปลูกไม้ยืนต้นไว้เป็นร่มเงา สำหรับใช้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ก็สามารถกระทำได้ ในเงื่อนไขที่ว่าจะต้องไม่เข้าไปล่วงล้ำ และทำให้ลานรวมพลังสูญเสีย คุณลักษณ์ที่เหมาะสม การจัดวางไม้ยืนต้น ในบริเวณด้านหน้า ให้ใช้เกณฑ์ร่มเงา 30% และแสงแดด 70% จึงจะพอยอมรับได้ ที่สำคัญต้องไม่ให้กิ่งก้าน ของไม้ยืนต้นเหล่านั้นยื่นยาว ไปสัมผัสต้องตัวอาคารเป็นอันขาด
เพราะนอกจากจะทำให้เกิด การขูดขีดกับผนังของตัวอาคาร เมื่อมีลมแรงพัดกรรโชกเข้าใส่ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้ ตัวอาคารสึกหรอ หรือเป็นรอยขีดข่วน ที่ลดทอนความสง่างาม ของด้านหน้าอาคารลงไป เพราะเมื่ออาศัยหลัก "สรรพสิ่งจัดกลุ่มตามสภาพ" พลังดีระดับสูงก็ย่อม เข้าสู่ตัวอาคารที่งามสง่า และสมบูรณ์แบบตามส่วน ดังนั้นการที่ด้านหน้าตัวอาคาร เกิดริ้วรอยไม่สวยงามเหมือนเคย ก็จะทำให้คุณภาพของพลัง ที่เข้ามาลดทอนลงไปด้วย
ที่สำคัญกิ่งใบที่มาสัมผัส ต้องตัวอาคารเหล่านั้น ก็จะดูดซับพลังปราณ ออกจากตัวอาคาร ออกไปได้อีกทางหนึ่ง ทำให้พลังที่มีอาจไม่เพียงพอ ต่อการใช้งานภายในตัวอาคาร
การปลูกต้นไม้ยืนต้นไว้ ที่ด้านหน้าตัวอาคาร จึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้อง เอาใจใส่ดูแลเป็นพิเศษ ไม่ต่างกับการปลูกดอกไม้ หรือจัดสวนหย่อมขนาดเล็ก ที่ด้านหน้าเช่นกัน ด้วยเหตุนี้หากไม่สามารถ รับประกันการดูแลให้ต้นไม้เหล่านั้น อยู่ในสภาพที่เหมาะสมได้ ก็ไม่แนะนำให้ปลูก เพราะต้นไม้ที่ไม่ได้รับการดูแล หากไม่เหี่ยวเฉาซบเซา ก็จะเติบโตจนไร้การควบคุม ก็ล้วนเกิดผลเสียทั้งสิ้น
เพราะไม่ว่าจะทำให้เกิดร่มเงา ที่รกคลึ้มหรือยืนต้นแห้งไร้ใบ ก็ล้วนส่งผลให้พลังหยางรุ่งเรืองที่เข้ามา ถูกแปรเปลี่ยนกลายเป็น พลังหยินซบเซาได้ นอกจากนั้นใบไม้ ที่หลุดร่วงลงมาเกลื่อนพื้น ก็อาจเน่าเหม็นเมื่อถูกฝน หรือน้ำที่ใช้รด ทำให้พื้นของลาน รวมพลังเกิดความสกปรก ไม่สามารถรองรับ พลังปราณที่มีคุณภาพได้ อุปมาดั่งภาชนะสกปรก ย่อมไม่สามารถเก็บน้ำที่ใสสะอาดได้ ที่สำคัญการหักโค่นของต้นไม้ขนาดใหญ่ ก็อาจทำลายโครงสร้างของตัวอาคารได้ด้วยเช่นกัน
สรุปความแล้วในบริเวณ ด้านหน้าของตัวอาคาร ถ้าไม่มีพื้นที่กว้างเพียงพอ ก็ไม่ควรที่จะปลูกไม้ยืนต้นใดๆ จะดีที่สุด สำหรับท่านที่ไม่แน่ใจว่าจะมีเวลาดูแลอย่าจริงจัง จึงควรที่จะยกเว้น และปล่อยพื้นที่ส่วนนี้ ให้โปร่งโล่งไว้ จะดูแลได้ง่ายกว่า แต่ผู้เขียนก็มิได้หมายความว่า บริเวณอื่นของตัวอาคารที่ไม่ใช่ด้านหน้า จะสามารถปล่อยปละละเลยไม่ดูแลได้ หากท่านรักที่จะจัดสวนปลูกแมกไม้แล้ว สิ่งเหล่านี้มีชีวิต และต้องเปลี่ยนแปลง ไปตามวัฎจักรของมัน
การเอาใจใส่ดูแล จะทำให้ชีวิตเหล่านี้ ได้รับปราณที่ดีเพื่อการเติบโต จากความรักความใส่ใจ ที่ท่านมีให้กับพวกมัน และนั่นก็จะทำให้พวกมัน ตอบสนองท่านด้วยพลังปราณ ที่มีคุณภาพเช่นกัน ตามธรรมดา เมื่อรอบอาคารของท่านดูสะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย ย่อมที่จะสร้างความเจริญหูเจริญตา และแถมเจริญใจอีกต่างหาก และสิ่งที่สร้างความรู้สึกดีๆ เหล่านี้ ก็คือตัวแทนของพลังปราณที่ดีมีคุณภาพนั่นเอง
นอกจากปัญหาเรื่อง การดูแลรักษาต้นไม้ด้านหน้าอาคาร ให้อยู่ในสภาพดีแล้ว ยังมีไม้บางจำพวก ที่ในหลักวิชาได้ระบุให้งดเว้น ไม่ให้นำมาปลูกไว้ด้านหน้า ตัวอาคารเป็นการเฉพาะด้วย ไม้ชนิดดังกล่าวนั้น ได้แก่ พันธุ์ไม้ที่มีใบแยกเป็นแฉก อาทิเช่น ต้นปาล์ม หรือ มะพร้าว โดยในหลักวิชาได้ให้เหตุผลว่า ไม้จำพวกนี้จะมีรูปทรงคล้ายกับ ไม้กวาดที่ยกเอาปลายชี้ขึ้นฟ้า
ซึ่งปรัชญาจีนโบราณ ท่านถือว่าไม่เป็นมงคล เป็นการขับไล่กระแสปราณที่จะเข้ามา เหมือนกับการใช้ไม้กวาด ไล่ผู้อื่นให้ออกไป จากบ้านประมาณนั้น ซึ่งจะรวมไปถึงพวกที่ใบ สานกันคล้ายกับพัดด้วย เช่น กล้วยพัด โดยอิงหลักเกณฑ์ของการขับไล่ กระแสปราณเช่นเดียวกัน ส่วนในแง่มุมบทบาทของกระแสปราณนั้น ไม้ที่มีใบแฉกเวลาลมพัด จะปะทะกับกระแสลม ทำให้เกิดความปั่นป่วนสับสนมากขึ้น
ซึ่งย่อมส่งผลให้กระแสปราณ ที่ไหลมาสู่ลานรวมพลังนั้น เกิดความยุ่งเหยิงโกลาหนไม่สม่ำเสมอ จึงยากที่จะควบคุม เพื่อโน้มนำเข้าสู่ภายในอาคาร และพลังหยางที่ถูกก่อกวนนี้ ก็สามารถเปลี่ยนสภาพเป็นพลังหยินได้ จึงเท่ากับเป็นการเปลี่ยนจากพลังรุ่งเรือง เป็นซบเซาไปอย่างน่าเสียดาย
ไม้อีกจำพวกหนึ่งที่ห้ามกัน ก็คือไม้ที่เติบโตเร็ว หรือไม้ที่อุ้มน้ำเอาไว้มาก เนื่องจากไม้ที่เติบโตเร็วนั้น จะมีอัตราการดูดซับ พลังปราณหยางเข้าไปมาก เป็นการแย่งชิงพลังปราณกับตัวอาคาร ส่วนไม้ที่อุ้มน้ำไว้มากนั้น ตามหลัก "ลมพัดพาน้ำเก็บกัก" กระแสปราณก็จะถูกน้ำ ภายในต้นไม้พวกนี้เก็บกักไว้ เพื่อใช้ในการเจริญเติบโตของมัน ทำให้เป็นการลดปริมาณ ของกระแสปราณ ลงไปได้ในอีกชั้นหนึ่ง
ไม้ประเภทสุดท้าย ที่ไม่ควรจะปลูกไว้ด้านหน้า ก็คือพวกบรรดาไม้ ที่มีหนามทั้งหลาย เพราะหนามแหลม จะทำให้กระแสปราณที่ไหลผ่าน เกิดการเสียเสถียรภาพที่ดีไป เหมือนกับน้ำที่ไหลผ่าน แง่หินที่แหลมคม ย่อมแตกกระจายออกไปได้หลายทิศทาง จนควบคุมได้ยาก ในขณะเดียวกันความแหลมคม ของหนามเหล่านี้ ยังส่งผลคุกคาม เป็นศรพิฆาตทิ่มแทงใส่ตัวอาคาร และพลังปราณที่จะเข้ามาได้รอบทิศ จึงถือกันว่าเป็นสิ่งที่อัปมงคลอย่างยิ่ง
นอกจากนี้หากจะมองในแง่มุม ของการใช้สอยพื้นที่แล้ว ไม้หนามนอกจากจะให้ความรู้สึกที่คุกคามแล้ว ยังยากต่อการดูแลรักษา และยังอาจก่ออันตราย ต่อผู้ที่ผ่านเข้าออกตัวอาคารได้ง่ายด้วย ไม้ประเภทนี้จึงควรที่จะงดเว้นโดยเด็ดขาดจะดีสุด
และจากบทความเกี่ยวกับ การประยุกต์หลักของอาณาจักร มาใช้จัดวางตำแหน่ง ภายนอกตัวอาคารนั้น ผู้เขียนก็ได้เกริ่นนำไว้ เป็นการเบื้องต้นแล้วว่า การปลูกต้นไม้ฝั่งซ้าย จะต้องสูงกว่าฝั่งขวาเล็กน้อย จึงจะเกิดความสมดุลย์ ระหว่างพลังหยินหยาง ของเสือขาวและมังกรเขียว คำว่าฝั่งซ้ายขวานี้ ก็ให้ถือว่าบริเวณที่ว่าง ของตัวอาคารที่อยู่นอกอาณาบริเวณ ของลานรับและรวมพลังดังกล่าว โดยฝั่งขวานั้นต้นไม้ ควรจะใช้ไม้เตี้ยและพุ่มยาว คล้ายเสือหมอบ
แต่จริงๆ แล้วต้องการให้เป็น เสือนอนมากกว่า เพราะบทบาทของเสือขาวนั้น ต้องสงบนิ่งจึงจะดี เสือที่ตื่นหรือถูกทำให้ตื่น จะดุร้ายและคุกคามผู้ที่อยู่ใกล้ได้ พลังของเสือขาวก็มีบทบาทดุจเดียวกัน ฝั่งเสือขาวหรือฝั่งขวาของตัวอาคาร จึงควรที่จะสงบนิ่ง ไร้การเคลื่อนไหว
ดังนั้นในหลักเบื้องต้น ฝั่งเสือขาวจึงเหมาะที่จะวางก้อนหิน หรือของที่มีน้ำหนัก และไม่ควรมีน้ำ ไม่ว่าจะเป็นสระน้ำ อ่างบัว หรือแม้แต่รางระบายน้ำ ถ้าจำเป็นต้องมีก็ให้ทำฝาปิดให้มิดชิด อย่าให้มองเห็นน้ำไหลได้ โดยถือหลักว่า "ไม่เห็นคือไม่มี"กล่าวคือ เมื่อไม่เห็นนานเข้าเรา ก็จะลืมเลือนไปเองว่ามันเคยอยู่ที่นั้น
สภาวะใจที่ไม่เข้าไปเชื่อมโยงนี้เอง จึงทำให้บทบาทของพลัง ไม่สามารถส่งอิทธิพลครอบงำเราได้ โดยจะใช้ได้ทั้งพลังดีและไม่ดี ดังนั้นในหลักวิชา สิ่งใดที่เป็นพลังมงคล จึงต้องเปิดเผยให้ โดดเด่นมองเห็นได้ชัด เพื่อกระตุ้นให้เกิดความตระหนักรู้ และสร้างการเชื่อมโยง กับพลังที่ดีนั้นไว้อย่างสม่ำเสมอ
ขณะที่พลังไม่ดีจะต้องปิดบังซ่อนเร้น หรือทำให้กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม ประมาณว่าไม่ให้มองเห็นหรือนึกถึง จึงจะสกัดการเชื่อมโยงกับบทบาท ของพลังดังกล่าวลงไปได้ เมื่อเข้าใจหลักการจัดฝั่งเสือขาวแล้ว ฝั่งมังกรเขียวหรือฝั่งซ้ายของตัวอาคาร ก็ไม่ใช่เรื่องยาก คือทำตรงกันข้ามนั่นเอง เมื่อเสือขาวต้องนิ่ง มังกรเขียวก็ต้องเคลื่อนไหว ดังนั้นฝั่งมังกรจึงไม่ควรวางก้อนหิน หรือสิ่งที่มีน้ำหนักมากๆ
ในขณะเดียวกันก็เหมาะ ที่จะจัดวางน้ำที่มีการเคลื่อนไหวได้ หรือที่เรียกกันว่าน้ำหยาง โดยสภาวะของน้ำหยางนั้น ส่วนใหญ่จะถือเอาน้ำ ที่มีการเคลื่อนไหวเป็นหลัก จึงมักจะเลี้ยงปลาตัวเล็กๆ ให้แหวกว่ายอยู่บนผิวน้ำไว้ แต่สำหรับท่านที่เข้าใจ ในหลักของพลังปราณ ก็จะรู้ได้ว่า น้ำที่มีชีวิตอาศัยอยู่ ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ ล้วนถือว่าเป็นน้ำหยางทั้งสิ้น เพราะหยางหมายถึงชีวิต และหยินหมายถึงความตายนั่นเอง
ดังนั้นการวางสระบัวหรือปลูกไม้น้ำไว้ ก็จะถือว่าเป็นน้ำหยางที่ใช้ได้แล้ว แต่การจะใส่ปลาเอาไว้ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดอะไร เพียงแต่สิ่งหนึ่งที่ต้อง ให้ความสำคัญก็คือ ความใสสะอาดของน้ำที่ใช้ แน่นอนว่าการเลี้ยงปลาไว้ ยิ่งต้องให้ความดูแลเป็นพิเศษ ถ้าน้ำเริ่มเสียก็จะต้องรีบเปลี่ยนใหม่ การปล่อยให้ปลาที่เลี้ยงไว้ตาย และเน่าเหม็นอยู่ในน้ำนั้น ก็จะเปลี่ยนพลังของน้ำ จากหยางเป็นหยินได้ ดังนั้นหากตั้งน้ำสกปรก หรือเน่าเสียไว้ฝั่งมังกร ก็จะทำให้มังกรที่ว่าเจ็บป่วย ไม่สามารถส่งผลในทาง ความรุ่งเรืองได้
ด้วยเหตุนี้ การตั้งน้ำก็ไม่ต่างกับการปลูกต้นไม้ คือต้องเอาใจใส่ดูแลให้น้ำ มีคุณภาพที่ดีไว้ตลอดเวลา ในกรณีที่มีการติดตั้ง ปั้มน้ำพุหรือน้ำตกไว้ ก็จะต้องดูแลสภาพของปั้มน้ำ ให้อยู่ในภาวะที่ใช้งานได้ ถ้าน้ำเริ่มไหลช้าติดขัด หรือมีเสียงดัง ก็ควรจะต้องรีบทำการปรับปรุงดูแล ให้อยู่ในสภาวะปกติโดยเร็ว เพราะความชำรุดเสื่อมสภาพ จะปลดปล่อยพลังหยิน หรือพลังอัปมงคล ออกมาสู่สถานที่แห่งนั้น
กรณีที่ท่านต้องการทำน้ำตกนั้น เนื่องจากฝั่งมังกรไม่ควรมีของหนัก หรือก้อนหินมาวางไว้ ดังนั้นจึงไม่ควรใช้หิน ที่มีน้ำหนักมากๆ มาทำ ที่สำคัญจะต้อง ไม่ใช้หินที่มีผิวหยาบ หรือขรุขระจนเกินไป โดยเฉพาะหิน ที่มีเหลี่ยมมุมที่แหลมคม เพราะจะเกิด สภาวะคุกคามต่อตัวอาคาร และรอบบริเวณได้ ในส่วนของน้ำตกนั้น ก็ควรที่จะทำให้มีน้ำพุผุดขึ้นมา ที่ยอดชั้นบนสุดสักเล็กน้อย ก่อนที่จะเลื่อนไหลลงมา ตามชั้นหินที่จัดเรียงไว้ ในที่นี้ก็เพราะว่า น้ำตกที่ไหลย้อยลงนั้น จะมีสภาพเหมือนกับหยาดน้ำตา ที่ไหลริน
ชาวจีนโบราณ จึงถือว่าเป็นความอัปมงคล จะทำให้เกิดเรื่องเศร้า การทำให้มีน้ำพุขึ้นมาก่อนจะตก ก็จะเป็นการแปรเปลี่ยนความหมายว่า มีเสียงหัวเราะคือน้ำพุขึ้นมาก่อน แล้วค่อยไหลเลื่อนลงไป ดังนั้นน้ำตาที่ว่านี้ ก็จะกลายเป็นน้ำตา แห่งความปลาบปลื้มปิติ และตื้นตันยินดีไป ในคติดังกล่าวนี้ ผู้เขียนให้ถือว่า เป็นเรื่องความหมายที่ดี แต่ในแง่ของบทบาทพลังแล้ว การมีน้ำพุขึ้นก่อนก็จะทำให้ช่วยเพิ่มสภาพ ที่ดึงดูดกระแสปราณรอบบริเวณ ได้ชัดเจนมากขึ้น
เอาเป็นว่า ไม่ถึงกับซีเรียสอะไร จะทำตามหรือไม่ก็ได้ แต่ถ้าเข้าใจความหมายแล้ว ก็น่าจะทำตามเพื่อความสบายใจ ที่สำคัญยังคงเป็นเรื่อง ของความใสกระจ่าง ของสายน้ำนั้น อีกจุดหนึ่งที่ต้องให้ ความสำคัญในการตั้งน้ำก็คือ ควรที่จะให้น้ำมีทิศทางไหล เข้าสู่ตัวอาคารอย่าไหลออก ยิ่งมีทิศทางพุ่งตรงไปสู่ ประตูหรือหน้าต่างจะยิ่งดี เพราะจะช่วยเร่งกระแสปราณ ให้เข้าสู่ตัวอาคาร และด้วยหลักนี้การขุดสระน้ำ
จึงควรหันด้านลึกเข้าสู่ ตัวอาคารเช่นกัน ในกรณีของน้ำพุ หรือน้ำตกนั้น จะต้องไม่แรงเกินไป จนทำให้น้ำที่ตกลงมากระฉอก ออกไปจากภาชนะที่รองรับ เพราะจะส่งบทบาท ต่อการสูญเสียหรือรั่วไหลได้ ในส่วนของบทบาทพลังนั้น น้ำที่กระเด็นออกไปจะทำให้ น้ำที่เก็บไว้เหลือน้อยลง ทำให้เก็บกักปราณ ได้น้อยลงตามส่วนไปด้วย อีกทั้งเสียงน้ำที่ตก กระแทกพื้นน้ำด้านล่างแรงไป จนทำให้เกิดเสียงดัง ก็จะกลายเป็นพิฆาตเสียงไปได้อีกกรณีหนึ่ง จึงควรให้เป็นเสียงน้ำแบบไหลเอื่ยยๆ ไม่ถึงกับเงียบ พอมีเสียงเหมือนธารน้ำไหลตามธรรมชาติ
เมื่อเข้าใจการประยุกต์ ใช้หลักของอาณาจักรมา ทำการจัดวางต้นไม้ หิน และน้ำแล้ว ต่อไปผู้เขียนก็จะขอ บรรยายถึงการใช้หลัก เบญจธาตุมาประยุกต์ใช้บ้าง โดยอาศัยหลักการนี้ จะทำให้เราสามารถเลือกพันธุ์ไม้ และสีสันมาปลูกได้อย่างเหมาะสม ดังที่ได้เคยบรรยายมา ในบทความก่อนหน้านี้แล้ว เบญจธาตุก็หมายถึงธาตุทั้งห้าคือ ดิน ทอง น้ำ ไม้ ไฟ เมื่อวางตำแหน่ง ของธาตุลงสัมพันธ์กับทิศ
แล้วก็จะได้ว่า ทิศเหนือเป็นธาตุน้ำ ทิศตะวันออก และตะวันออกเฉียงใต้ เป็นธาตุไม้ ทิศใต้เป็นธาตุไฟ ทิศตะวันตก และทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นธาตุทอง ขณะที่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ และทิศตะวันออกเฉียงเหนือ นั้นจะเป็นธาตุดิน เมื่อเข้าใจหลักของธาตุทิศนี้แล้ว ต่อไปเราก็จะทวนกัน เรื่องสีกับธาตุดูบ้าง โดยมีหลักว่า สีเหลืองแทนธาตุดิน สีขาวแทนธาตุทอง สีดำหรือน้ำเงินแทนธาตุน้ำ สีเขียวแทนธาตุไม้ และสีแดงแทนธาตุไฟ
จากหลักการของสีประจำธาตุ และความสัมพันธ์ของธาตุทิศนี้ ก็จะทำให้เราสามารถนำไป เลือกพันธุ์ไม้มาปลูกได้แล้ว เบื้องต้นท่านจึงต้องรู้ก่อนว่า รอบบริเวณของตัวอาคารบ้านเรือน ที่ท่านอาศัยอยู่นั้นมีทิศอะไร อยู่ทางด้านไหนบ้าง เมื่อรู้แล้วก็ให้ท่านแบ่งพื้นที่ตั้งอาคาร ของท่านออกเป็นส่วนย่อย 9 ช่องเท่าๆ กัน เมื่อเว้นช่องกลางไว้แล้ว อีกแปดช่องโดยรอบก็คือ อาณาบริเวณของทิศทั้งแปดนั้น
และนั่นก็คือตำแหน่ง ที่ท่านจะปลูกต้นไม้ ตามสีสันของธาตุที่ต้องการ แต่ถ้าจะให้ละเอียดมากขึ้น ท่านก็ต้องใช้หลักของวงจรธาตุส่งเสริม และธาตุทำลายมาช่วย ในการเลือกพันธุ์ไม้ได้ละเอียดขึ้น โดยวงจรส่งเสริมคือ ดินเสริมทอง ทองเสริมน้ำ น้ำเสริมไม้ ไม้เสริมไฟ และไฟเสริมดิน ส่วนวงจรทำลายคือ ดินข่มน้ำ น้ำข่มไฟ ไฟข่มทอง ทองข่มไม้ และไม้ข่มดิน
ด้วยหลักการของวงจรทั้งสองนี้ ก็จะทำให้ท่านมีเกณฑ์ เลือกสรรที่ละเอียดขึ้น ตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นทิศของธาตุดิน สีที่ท่านควรจะใช้ก็คือ โทนสีเหลืองและแดง เพราะเหลืองคือดิน และแดงคือไฟ ซึ่งส่งเสริมดิน สีที่ไม่ควรใช้คือสีเขียว เพราะไม้ข่มดิน ด้วยหลักนี้จึงสามารถ เลือพันธุ์ไม้ที่ไม่มีสีเขียวเด่นนัก ถ้าเลือกไม่ได้ก็ให้หาพันธุ์ ที่มีดอกมากกว่าใบ แต่ไม่ใช่ถึงกับไร้ใบ เหลือแต่กิ่งก้านอย่างเดียว เพราะจะเป็นบทบาทของพลังที่ซบเซา
ด้วยหลักเดียวกันนี้ จึงทำให้ไม่ควรเลือกพันธุ์ไม้ ที่มีฤดูกาลผลิใบหมดทั้งต้น เพราะมันจะเป็นช่วงที่พลัง ในด้านนั้นเกิดความเสียหาย ไม่ว่าจะอยู่ในทิศทางใดก็ตาม โดยเฉพาะด้านหน้าของตัวอาคาร เท่าที่บรรยายมานี้ ก็ต้องถือว่าเป็นแนวทางเบื้องต้น ในการจัดสวนดังกล่าว หากทำได้ตามนี้อย่างน้อยท่านก็จะได้พบกับความร่มรื่น และราบรื่นอย่างแน่นอน
(มิติทางเคหะสถาน ep.2 ร่มรื่นราบรื่น)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา