25 มิ.ย. 2023 เวลา 16:51 • บ้าน & สวน

ซ่อมแซมอาคารเก่า

จากบทก่อน เราได้เรียนรู้ถึงการสร้างอาคารใหม่ ว่าต้องใช้องค์ความรู้ จากหลักวิชาจำนวนมาก ในศาสตร์ตรีสัมพันธ์ โดยนอกจากจะใช้อย่างครบถ้วน ถูกต้องตรงตามแต่ละข้อกำหนด ที่ระบุไว้ในแต่ละหลักวิชา ก็ยังต้องประสานกลมกลืน หลักวิชาทั้งหมด ให้สอดคล้องเป็นหนึ่ง เพื่อให้อย่างน้อย จะส่งผลให้เกิดชะตาดินที่ราบรื่น จนไปถึงขั้นรุ่งเรือง
จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ผู้ใดจะคิดทำ หรือ จัดสร้างขึ้น ให้เกิดความสมบูรณ์แท้จริง จึงทำให้อาคารที่ได้รับการปลูกสร้าง ท่ามกลางสหสัมพันธ์ของทุกหลักวิชาดังกล่าว แสวงหาได้ยากยิ่ง ด้วยเหตุนี้ การเลือกสรรค์ อาคารเก่า ที่ถูกจัดสร้างไว้แล้ว จึงเป็นสิ่งที่ค่อนข้างเสี่ยงอันตราย คล้ายเป็นการล้อเล่นกับชะตากรรม ซึ่งผู้เขียนคงต้องขอบอกไว้ในที่นี้ว่า ไม่แนะนำ
ดังที่บรรยายไว้ข้างต้น การสร้างตัวอาคารทุกชิ้นส่วน และกระบวนการ จำเป็นต้องอาศัยหลักวิชาสำคัญทั้งหลาย เข้ามาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาออกแบบ ถ้าทำผิดพลาดก็จะเกิดผลร้ายแรงดังที่สาธายายมา ด้วยเหตุนี้ การไปเลือกตัวอาคาร ที่มีการปลูกสร้างไว้แล้ว ก็จะยิ่งสามารถสร้างปัญหาได้มากกว่า เพราะอาคารส่วนใหญ่ จะไม่ได้ปลูกสร้างขึ้น ด้วยหลักวิชาที่สมบูรณ์ดังกล่าว การเข้าไปเลือกอยู่อาศัย ในอาคารเหล่านี้ จึงเหมือนการเข้าไปอยู่ ในชะตาดินที่ป่วยไข้ ย่อมไม่อาจมีชะตาคนที่ดีได้
หากไม่จำเป็นจริงๆ แล้ว ก็จะไม่ขอแนะนำให้เลือกวิธีนี้ แต่ถ้าต้องเลือกจริงๆ ก็ขอเสนอแนะขั้นตอนวิธี ในการพิจารณาเลือกสรร ไว้พอเป็นหลักเกณฑ์เบื้องต้น อย่างน้อยก็ให้ได้อาคารที่มีปัญหาน้อยที่สุด และพอจะดำเนินการแก้ไข เพื่อผ่อนหนักเป็นเบาได้บ้าง และต้องขอย้ำไว้ตรงนี้ว่า อาคารเก่าส่วนใหญ่ จะผ่านยุคสร้างของตนไปแล้ว แม้จะเคยรุ่งเรืองในอดีต แต่โอกาสที่จะทำให้ กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก และไม่แนะนำให้เสี่ยง หากไม่มีองค์ความรู้ และหลักวิชาที่เพียงพอ
1. ขั้นตอนแรกถ้าเป็นไปได้ ควรสืบหาประวัติความเป็นมาของอาคารสถานที่ดังกล่าวว่า เคยใช้เป็นสถานประกอบการเกี่ยวกับเรื่องราวใดมา มีเรื่องของการใช้ความรุนแรง ความตาย หรือ ความวิบัติฉิบหายใดบ้าง แม้แต่ความรุ่งเรือง ก็ต้องนำมาพิจารณาด้วย เพราะอาจผ่านยุครุ่งเรืองของชะตาอาคารไปแล้ว เพื่อจะดูว่า จะปรับแก้ได้หรือไม่ ถ้าพอทำได้ คุ้มหรือไม่ที่จะลงมือทำ
2. ให้พิจารณาว่า อาคารสถานที่นั้น เหมาะที่จะนำมาใช้เป็นสถานประกอบการ ตามที่ตั้งใจไว้หรือไม่ เช่น จะทำเป็นบ้านอยู่อาศัย ร้านค้า หรืออื่นๆ กรณีอาคารเป็นโรงงานหรือโกดังเก่า ก็ไม่เหมาะจะนำมาทำเป็นที่อยู่อาศัย ถ้าเป็นอาคารบ้านเรือนปกติ ก็มักจะไม่อยู่ในทำเลที่มีปราณพลุกพล่าน ที่เหมาะกับการทำร้านค้า ดังนั้น การพิจารณาให้เหมาะกับประโยชน์ใช้สอยที่ต้องการ จึงเป็นเรื่องสำคัญ
3. ให้ตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยรอบ ที่ตั้งของอาคารสถานที่ ว่ามีสภาพดีร้ายอย่างไร มีสิ่งปลูกสร้าง หรือถนนหนทาง ที่เป็นพิฆาตคุกคามต่อตัวอาคารสถานที่ดังกล่าวหรือไม่ เช่น มีทางสามแพร่งพุ่งใส่ หรืออยู่ด้านโค้งถนนเชือดเฉือน ไม่โอบรัด หรือมีถนนหรือสะพานต่างระดับ คุกคามอยู่เหนืออาคาร รวมไปถึง ศาสนสถาน โรงพยาบาล สุสาน หรือ สถานที่ต่างๆ ที่เป็นแหล่งกำเนิดพลังปราณหยินที่รุนแรง เพราะสภาวะดังกล่าว จะไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัยสำหรับคนเป็น
4. รูปทรง และโครงสร้างภายนอกตัวอาคาร หากมีสภาพแหว่งเว้า หรือ ส่วนยื่นเกิน กว่าที่กำหนดไว้ในหลักวิชา จนยากที่จะปรับแก้หรือต่อเติมได้ ก็ไม่ควรเลือก ความต่างระดับของพื้นที่ ก็มีส่วนสำคัญ เพราะจะทำให้ปราณดินเคลื่อนไหวไม่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะความเก่าแก่ของตัวอาคาร ถ้ามีรอยแตกร้าวมาก ก็จะมีความชื้นซึมเข้าไปมาก แม้จะฉาบปูนและทาสีปิดภายนอก ก็ไม่สามารถลดทอนพลังพยินที่ถูกกักไว้ภายใน และจะทยอยซึมซาบออกมา ทำร้ายตัวอาคารและผู้อยู่อาศัยได้ต่อไป
ภายในอาคารที่มีห้องมากเกิน มีกระไดทางขึ้น-ลงผิดทาง หรือข้อบกพร่องอื่นๆ ต้องพิจารณาว่า หากต้องทำการปรับปรุง จะส่งผลกระทบกระเทือน ต่อโครงสร้างของตัวอาคาร ในภาพรวมมากน้อยเพียงใด 5. สภาพแวดล้อมภายในผืนที่ดิน ที่ตั้งตัวอาคาร ถ้าอยู่ในที่มีแมกไม้รกคลึ้ม ติดกับสถานที่รกร้างโดยรอบ มีกองขยะอยู่ใกล้ หรือ อยู่ติดสถานที่กำเนิดเสียงดังจอแจ ก็ไม่ควรเลือกมาอยู่อาศัย เพราะพิฆาตเหล่านี้ เป็นปัจจัยที่แก้ไขได้ยากมาก
กรณีมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่มาก ก็ต้องดูว่า ส่งผลกระทบตัวอาคารหรือไม่ แม้แต่การตัดต้นไม้ทิ้ง โดยไม่ได้ขุดตอไม้ออก ก็ยังเป็นพิฆาตซ่อนเร้นที่ยากแก้ไขเช่นกัน รวมไปถึงอาคารย่อยอื่นๆ หรือแม้แต่ตัวอาคารหลักเอง การทุบทิ้งสร้างใหม่ โดยไม่ได้รื้อฐานราก ก็ยังเป็นการตั้งหอคอยงาช้างไว้บนกองขยะอยู่ดี
บ่อยครั้งที่แม้จะตรวจสอบทุกอย่าง ตามที่ระบุไว้ข้างต้นแล้ว อาคารเก่าส่วนใหญ่ ก็มักจะมีส่วนชำรุดเสียหาย ไม่สามารถเข้าไปอยู่อาศัยได้ในทันที แม้อาคารบางหลัง จะยังมีสภาพที่ใหม่อยู่ แต่การเข้าอยู่ ก็ต้องตรวจสอบในรายละเอียดให้ถี่ถ้วน ก่อนจะตัดสินใจเลือก หากพบว่า ต้องมีการตกแต่งปรับปรุง ก็ต้องกระทำการอย่างรัดกุม ไม่ให้เกิดการล่วงละเมิด ทั้งชะตาฟ้า ชะตาดิน และ ชะตาคน
โดยในส่วนของชะตาฟ้า เบื้องต้น ก็ต้องเลือกสรรค์ฤกษ์ยามที่เป็นคุณไร้โทษ หากสามารถตรวจสอบได้ว่า มีปราณศักดิ์สิทธิ์ใดสถิตอยู่ ก็ต้องทำการวางตัวและเข้าหาอย่างเหมาะสม และสอดคล้องต่อคุณลักษณ์ ของปรานศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น ผ่านพิธีกรรม และการแสดงออกที่ถูกต้อง ตามความจำเป็น
ในส่วนของชะตาดิน ก็ต้องตรวจสอบให้ชัดเจนว่า ไร้พิฆาตซ่อนเร้นใดๆ ที่จะเป็นภัยคุกคามได้ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เนื่องจากกระบวนการตรวจสอบเบื้องต้น ตามที่กล่าวมา จะเป็นการพิจารณาตรวจหา พิฆาตเปิดเผย เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น หากแน่ใจว่า จะลองเสี่ยงเลือกใช้เป็นที่ประกอบการ หรือ อยู่อาศัย จริงๆ แล้ว ก็ควรตรวจสอบในระดับลึกอีกขั้นหนึ่ง เนื่องจากพิฆาตซ่อนเร้นส่วนใหญ่ จะเป็นสิ่งที่ถูกอำพราง เล็ดลอดไปจากสายตาที่ไม่ถี่ถ้วน
แม้แต่ผู้ที่รู้หลักวิชาสำคัญที่ต้องใช้ก็ตาม เพราะถ้าไม่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างเพียงพอ จนมีทักษะการตรวจสภาพ ที่ชัดเจนครบถ้วน พิฆาตซ่อนเร้นเหล่านี้ ก็อาจเล็ดลอดสายตา ของผู้ทำการพิจารณาไปได้อย่างง่ายดาย และถือเป็นอันตรายที่ใหญ่หลวงไม่น้อย ดังคำกล่าวที่ว่า “ประมาทมังกรซ่อนกาย จะตายเพราะภัยตน”
ด้านชะตาคน ถ้าล่วงละเมิดแล้ว จะส่งผลกระทบรุนแรง และ ฉับพลันได้ในทันที เนื่องจาก ชะตาคนถือเป็น ส่วนที่เปราะบางสุด ในสามชะตา หากไม่มีพื้นชะตาที่แข็งแกร่งเพียงพอ ไร้ดาวเทพสถิตในดวง ที่ช่วยปกป้องคุ้มครอง หากเจอผลกระทบเพียงเล็กน้อย ก็อาจซวนเซเสียสภาพได้ไม่ยาก ผลกระทบสำคัญที่ต้องกล่าวถึงก็คือ การเป็นอริระหว่าง ชะตาดินของอาคาร กับ ชะตาคน ที่จะเข้าไปอยู่อาศัย
เพื่อหลีกเลี่ยงการล่วงละเมิดชะตาคนดังกล่าว ผู้ตรวจสอบ จึงควรเช็คชะตาของทุกคน ที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาคารแห่งนี้ ให้หมดจดครบถ้วน หากพบว่า ชะตาใดไร้กำลังต่อต้าน หากจำเป็นต้องเข้าอยู่อาศัยจริงๆ ก็ต้องทำการเสริมชะตาของคนผู้นั้น ให้มีความแข็งแกร่งเพียงพอก่อน แล้วค่อยจัดหาตำแหน่งที่อยู่ที่เป็นคุณ หรือ ส่งผลเสียน้อยที่สุด ให้เข้าพักอาศัยต่อไป
ในกรณีที่ต้องทำการต่อเติม ปรับปรุงตัวอาคารเดิมนั้น ความจริงแล้ว ถือเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง ตามหลักวิชาเกี่ยวกับพลังปราณ ในศาสตร์ตรีสัมพันธ์ เพราะภาวะสมบูรณ์ของวิชา จะกล่าวถึงสิ่งที่เรียกว่า สมบูรณ์โดยกำเนิด หรือ เซียนเทียนเว่ย (先天位) ดังที่เคยพูดถึงไว้แล้วในบทก่อน ซึ่งถือเป็นสภาวะที่ดีสุด
ขณะที่การปรับแก้ใดๆ แม้จะทำให้ดูดีได้ ก็ถือเป็น สมบูณ์หลังกำเนิด หรือ โฮ่วเทียนเว่ย (後天位) ที่อาศัยหลักการของ ไม่เห็นคือไม่มี หรือ ปู๋เจี้ยนปู๋โหย่ว (不見不有) ซึ่งโดยสภาวะแท้จริงแล้ว ปัญหาทั้งหลายยังมีอยู่ และยังไม่ถูกกำจัด
ภาวะของหลังกำเนิดดังกล่าว จึงมักถูกใช้เป็นขั้นตอน ในการปรับเปลี่ยนเพื่อไปต่อ ไม่ใช่ การปรับเปลี่ยนเพื่ออยู่ต่อ คือ เปลี่ยนเพื่อไป ไม่ เปลี่ยนเพื่ออยู่ หรือ เปียนเหวยโจ่ว ปู๋ เปียนเหวยหลิว (變为走 不 變为留) จึงต้องพึงทำความเข้าใจให้กระจ่างชัด ทุกครั้งที่ต้องทำการปรับแก้อาคารเก่าที่มีอยู่เดิม
ไม่ว่าผลลัพธ์ออกมาจะดูดี ในเชิงกายภาพมากเพียงใดก็ตาม ต้องพึงตระหนักไว้ว่า ปราณร้ายทั้งหลาย ที่เป็นพิฆาตซ่อนเร้น ยังคงมีอยู่ และเป็นสิ่งที่ยากระวังมากที่สุด จึงพึงปรับเปลี่ยนเพื่อไปต่อเท่านั้น โดยหลักวิชาที่จะใช้ในการปรับเปลี่ยนนั้น พอจะจำแนกได้ดังนี้คือ
1. ซ่อมแซมรั้วรอบที่ดินให้มิดชิด ให้มีสัดส่วนความทึบ 70% โปร่ง 30% ตามข้อกำหนดในวิชาอาณาจักรปราณ แล้วย้ายประตูทางเข้า-ออก ที่ดินมาไว้ในตำแหน่งที่ดี ตามที่กำหนดไว้ในวิชาอัฐเรือนและดาวเหิน กำหนดเส้นทางเข้าสู่ตัวอาคาร รวมทั้งลานพลังต่างๆ ด้วยวิชาทางปราณ
2. ปรับสภาพพื้นที่ให้ราบเรียบ จัดแต่งแมกไม้ สระน้ำ อาคารย่อย และองค์ประกอบอื่นๆ ให้เกิดดุลยภาพ ตามข้อกำหนดในวิชาอาณาจักรปราณเป็นเบื้องต้น ก่อนจะพิจารณาในรายละเอียดให้สอดคล้องกับผังปราณ ที่ได้จากวิชาอัฐเรือน และดาวเหิน
3. ปรับเปลี่ยนสีของตัวอาคาร และหลังคา รวมทั้งสี และกระเบื้องปูพื้นภายในอาคาร ให้สอดคล้องกับหลักวิชาเบญจธาตุ และอัฐการ รวมทั้งการเคลื่อนย้าย หรือปรับเปลี่ยน เครื่องเรือน ของประดับทั้งหมด ก็ต้องให้สอดคล้องกับหลักวิชาอัฐเรือน ดาวเหิน และ อัฐการ เป็นสำคัญ
4. จัดหาเคล็ดวัตถุ ที่จำเป็นและเหมาะสม เข้ามาจัดตั้งไว้ในอาคารสถานที่ ตามข้อกำหนดในวิชา เคล็ดกำเนิดปราณ หากจำเป็นก็ต้องประกอบอาถรรพ์วิชา เพื่อกระตุ้นพลังปราณดี และ ควบคุมพลังปราณร้าย โดยผู้เชี่ยวชาญเป็นการเฉพาะ
5. จัดหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (เพื่อเชื่อมโยงกับชะตาฟ้า) เข้ามาไว้ในอาคารสถานที่ เพื่อให้ดึงดูดพลังปราณศักดิ์สิทธิ์ ให้เข้ามาสถิตภายในอาคารสถานที่ รวมไปถึงการดึงปราณฟ้ามาช่วยเสริมอีกแรง ตามหลักวิชาปราณศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงการเลือกสรรฤกษ์ยามที่เหมาะสม ในแต่ละขั้นตอน ตามหลักเกณฑ์ในวิชาฤกษ์ยาม อย่างเคร่งครัดด้วย
หลักการหรือข้อปฏิบัติสำคัญ อีกประการหนึ่ง ที่ต้องไม่ละเลย ภายหลังการปรับปรุง ตัวอาคารเดิม ทุกครั้ง ก็คือ การทำพิธีชำระล้างพลัง เนื่องจาก ในระหว่างการตกแต่งปรับปรุงตัวอาคาร และ อาณาบริเวณโดยรอบนั้น ย่อมมีกิจกรรม ที่สามารถส่งผลกระทบกระเทือน ต่อวงจรปราณ ภายในสถานที่ และ ตัวอาคาร อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ดังนั้น จึงต้องทำการชำระล้างพลัง ที่เป็นเหมือนการปรับผังวงจรปราณใหม่ทั้งหมด ให้กลับคืนสู่สภาวะที่เหมาะสมต่อการ เข้าใช้ประโยชน์
ไม่ว่าจะเป็นสถานประกอบการ หรือ อยู่อาศัย ก็ตามที ซึ่งการทำพิธีชำระล้างพลัง ก็จำเป็นต้องอาศัย ผู้รู้ที่มีทักษะความเชี่ยวชาญเป็นการเฉพาะ โดยหลักวิชาที่เกี่ยวข้องกับการชำระล้างพลังนั้น จะมีรายละเอียดอยู่ในวิชา เคล็ดกำเนิดปราณ หรือ ฝูเซิงชี่ (符生氣) และถ้าจะให้เกิดประสิทธิผล ที่ชัดเจนแท้จริง ผู้ประกอบพิธี ควรอยู่ในระดับที่สามารถ สัมผัสปราณภาวะได้ด้วย เพราะการทำความสะอาด
จำเป็นต้องมองเห็นได้ว่า บริเวณใดบ้าง สะอาดหรือสกปรกเพียงใด จึงจะเลือกใช้กระบวนการชำระล้างที่เหมาะสม และสามารถขจัด คราบสกปรก ออกไปได้อย่างแท้จริง หลังจากทำพิธีการชำระล้างพลังปราณ ให้สะอาดหมดจด จนดำรงอยู่ในสภาพ ที่เหมาะสมเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ต้องกระทำในขั้นตอนต่อไป ก่อนเข้าอยู่อาศัย หรือ ใช้ประโยชน์ อาคารดังกล่าว ก็ควรทำการเชื่อมโยงกับชะตาฟ้า
โดยการอัญเชิญ ปราณศักดิ์สิทธิ์ ตามคติความเชื่อของแต่ละบุคคล เข้าไปสถิตภายในบ้านก่อน โดยอาจปรากฏในรูปลักษณ์ ของศาลบูชา รูปเสมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ สัญลักษณ์มงคลต่างๆ โดยควรเลือกฤกษ์ยามที่ดี มีความเป็นสิริมงคลสูงสุด ในกรณีที่ต้องใช้ศาลบูชา ก็ต้องทำการเลือกสรร รูปแบบของศาลที่ถูกต้อง ตามหลักวิชาในศาสตร์ตรีสัมพันธ์เช่นกัน และเรื่องนี้ต้องถือเป็นสิ่งสำคัญ ที่ไม่ควรละเลยเป็นอันขาด ดังที่เคยกล่าวไว้แล้ว ชะตาฟ้า เป็นส่วนที่มีกำลังสูงสุดในสามชะตา
โดยเฉพาะกรณีของอาคารเก่าดังกล่าวนี้ ยิ่งต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพราะเราไม่อาจไว้ใจกับชะตาดิน ที่เป็นสมบูรณ์หลังกำเนิด ดังที่ได้สาธยายเหตุผลมามากแล้ว จึงจำเป็นต้องอิงอาศัย และ เชื่อมโยงกับชะตาฟ้า ที่มีกำลังเป็นสำคัญ อย่างน้อยจะได้ช่วย ผ่อนหนักผ่อนเบา จากผลกระทบทั้งหลาย ที่อาจอุบัติบังเกิดขึ้น
โดยในท่ามกลางสภาวะ ที่ยากประเมินนี้ การตั้งศาลใหม่ จะถือเป็นสมบูรณ์โดยกำเนิด เพียงหนึ่งเดียว ที่จะกระทำได้อย่างสมบูรณ์ ต่ออาคารเก่าดังกล่าว จึงต้องใส่ใจ และใช้ความพิถีพิถัน เป็นอย่างสูง อีกเหตุผลหนึ่ง ที่สำคัญมากในเรื่องนี้ ก็คือการอัญเชิญปราณศักดิ์สิทธิ์ จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่สอดคล้อง เข้ามาสถิตภายในศาล จำเป็นต้องใช้ความประณีตละเอียดอ่อน อย่างเต็มที่
โดยเฉพาะทางด้านของจิตใจ ที่จะต้องแสดงความจริงใจอย่างแท้จริง ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ ผู้ที่เคารพบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นได้เห็น ต้องพึงตระหนักรู้ไว้ในใจเสมอว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพา หรือ สนใจมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ การปฏิบัติตนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงต้องเป็นไปตามหลักการ ที่มีการกล่าวเอาไว้ในวิชา ปราณศักดิ์สิทธิ์ หรือ ตั้วเสินกง (奪神功) กล่าวคือ “เราจริงใจ ท่านจริงจัง” หรือ “หว่อเหมินจินเฉิง เสินเซิ่งเหยนจ้ง” (我們真誠 神聖嚴重)
โดยเฉพาะกรณีที่ต้องมีรูปบูชา ประกอบอยู่ด้วย การเลือกรูปบูชา ที่มีลักษณ์ปรากฏ ถูกต้องตรงตามรหัส ที่โบราณจารย์กำหนดไว้ จึงจะได้ผลอย่างแท้จริง อีกทั้งต้องแน่ใจได้ว่า การจัดส้างรูปบูชา ที่อัญเชิญมานั้น ถูกต้องตามหลักการของวิชา เคล็ดกำเนิดปราณ และ ปราณศักดิ์สิทธิ์ อย่างครบถ้วนจริงๆ มิเช่นนั้น ก็ขอแนะนำว่า ไม่ต้องมีรูปบูชาจะดีกว่า เป็นการตัดปัญหาความยุ่งยาก ออกไปอีกเรื่องหนึ่ง
ส่วนกรณีที่เป็นสัญลักษณ์มงคลนั้น ก็ต้องจัดเตรียมสถานที่ติดตั้งให้เหมาะสม ทั้งนี้ก็ให้ขึ้นอยู่กับ คติความเชื่อของแต่ละศาสนา หรือ ลัทธินิกาย เนื่องจากศาสตร์ตรีสัมพันธ์นั้น มีความเป็นสากล เหมือนกับการวางวงจรไฟฟ้า ซึ่งไม่อิงอยู่คติความเชื่อใด เพราะไม่ว่าศาสนสถานใด เมื่อเดินไฟฟ้าเข้าไป ได้อย่างถูกต้องแล้ว โคมไฟย่อมติดสว่าง เป็นธรรมดา โดยไม่มีการเลือกเฟ้นเฉพาะ ศาสนาปรัชญาใดๆ ทั้งสิ้น
ในกรณีเช่นนี้ ก็ให้ดำเนินการไปตาม ข้อกำหนดในปรัชญาความเชื่อของแต่ละคน เพียงแต่ถ้าจะให้เกิดความรอบครอบรัดกุม ก็ควรปรึกษากับผู้รู้ เพื่อให้สามารถจัดเตรียมสถานที่ ให้มีความเหมาะสม และสอดคล้อง ไม่ขัดแย้ง กับวงจรปราณที่วางไว้เดิม เป็นการหลีกเลี่ยงพลังร้าย ใช้พลังดี ให้บังเกิดประสิทธิผลสูงสุด
หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการ อัญเชิญปราณศักดิ์สิทธิ์ เข้าสถิตอย่างสมบูรณ์โดยกำเนิดแล้ว ทั้งนี้ขออนุมานว่า ได้ทำการพิจารณาองศาหลังอิงของตัวศาล รูปบูชา หรือ สัญลักษณ์มงคล อย่างถูกต้องแล้วเท่านั้น ในขั้นต่อไป ถ้าสามารถกระทำได้ ก็ควรทำพิธีการกระตุ้นพลังปราณของอาคาร ให้กระเตื้องขึ้น มีชีวิตชีวา
เหมือนการเปิดวงจรปราณให้เริ่มทำงานอย่างจริงจัง โดยพิธีการกระตุ้นพลัง ก็เป็นสิ่งที่ต้องกระทำ ให้ถูกต้องตามหลักวิชาเช่นกัน สิ่งสำคัญคือต้อง รักษาดุลยภาพของพลังเอาไว้ให้ได้ ไม่กระทำการเกินเลย จนกลายเป็นภาวะชิงสภาพ จนทำให้วงจรปราณเกิดความเสียหาย
ด้วยเหตุนี้ หากต้องการกระทำจริงๆ ก็ควรปรึกษาผู้รู้ให้กระจ่างก่อน แน่นอนว่า ไม่ทำก็ได้ แต่ทำยิ่งดี เพราะเป็นการปลุกให้กระแสปราณของอาคาร มีการตื่นตัวกระฉับกระเฉง ซึ่งย่อมส่งผลต่อชะตาคนที่อยู่อาศัย ได้ดียิ่งขึ้น และสิ่งสุดท้ายที่ต้องไม่ละเลยเป็นอันขาด ก็คือ การปฏิบัติตามกฏเหล็กของฉักกฐาน เพื่อให้ชะตาดินของอาคารเก่าดังกล่าว สามารถดำเนินไปใน ทิศทางที่ดีมีคุณประโยชน์ต่อทุกคน
(มิติทางเคหะสถาน ep.3 ซ่อมแซมอาคารเก่า)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา