Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ฮวงจุ้ยเพื่อชีวิต
•
ติดตาม
24 มิ.ย. 2023 เวลา 19:10 • ไลฟ์สไตล์
ชะตาทั้งสาม
ก่อนจะเริ่มต้นทำความเข้าใจ เกี่ยวกับกรรมวิธีในการถอดรหัส ชะตาชีวิตของผู้คน ก็มีความจำเป็นที่จะต้องมาทำความเข้าใจ ร่วมกันเกี่ยวกับโครงสร้าง ของชะตากรรมทั้งหลาย เพื่อให้เกิดความรู้พื้นฐาน ที่สอดคล้องตรงกันก่อน และสามารถใช้เป็นข้อมูลอ้างอิง ในการเรียนรู้หลักเกณฑ์ และเรื่องราวทั้งหลายที่จะบรรยายต่อไป กล่าวกันว่า ในหนึ่งชะตาชีวิตนั้นจะประกอบไปด้วย 3 ชะตาย่อย คือ ชะตาฟ้า ชะตาดิน และชะตาคน
หลักการนี้สอดคล้องกับ แนวทางของทฤษฎีพื้นฐาน ในอารยธรรมของชาวจีนนับแต่โบราณกาล โดยดูได้จากตัวอักษร อ๋อง ที่แปลว่าผู้ยิ่งใหญ่ จะประกอบด้วยขีดนอนสามขีดวางขนานกัน และเชื่อมด้วยขีดตั้งหนึ่งขีดที่ตรงกลาง เป็นความหมายที่บอกให้รู้ว่า ผู้ใดที่สามารถทำความเข้าใจ ความสัมพันธ์ระหว่างฟ้า ดิน และคน ได้อย่างกระจ่างชัดและสามารถใช้ ความสัมพันธ์เหล่านั้นให้เกิดประโยชน์ ย่อมสามารถก้าวขึ้นสู่ความเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้
หลักการเดียวกันนี้ ยังสามารถนำมาใช้ได้จนถึงปัจจุบัน และยังสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่มีความสมบูรณ์แบบในโลก เพราะธรรมชาติมีสภาวะ ที่เป็นสหสัมพันธ์ระหว่าง สิ่งทั้งสามดังกล่าว จึงมีความแปรปรวนไม่หยุดนิ่ง สิ่งต่างๆ จึงล้วนก่อเกิด และดำรงอยู่เพียงชั่วคราว เป็นไปตามกฏแห่งไตรลักษณ์ในพระพุทธศาสนา ที่กล่าวว่า สรรพสิ่งไม่คงที่ ดำรงอยู่เพียงชั่วคราว จึงไม่ใช่สิ่งที่จะยึดถือเป็นจริงเป็นจังได้
ดังนั้นการทำความเข้าใจ ความเป็นไปของแต่ละชะตาชีวิต จึงต้องทำการถอดรหัส ของชะตาย่อยทั้งสามให้ครบถ้วน จะพิจารณาเพียงชะตาใดชะตาหนึ่ง แล้วให้คำพยากรณ์เลยไม่ได้ เพราะความไม่สมบูรณ์ จึงย่อมไม่มีสิ่งที่ดีงามชั่วนิรันดร์ หรือเลวร้ายตลอดกาล ในดีย่อมมีร้าย และในร้ายย่อมมีดีเป็นธรรมดา การวิเคราะห์ผังชะตา จึงต้องพิจารณาชะตาย่อยทั้งหมด แล้วทำการทอนคุณทอนโทษกันออกมา จึงจะบอกได้ว่า มีดีมากกว่าเสีย หรือเสียมากกว่าดีกันแน่
และหากจะวิเคราะห์กันให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ก็ต้องบอกว่า แม้แต่ในชะตาย่อยนั้นๆ ก็ต้องทำการตรวจสอบให้ละเอียดถี่ถ้วน ในทุกกรณีเท่าที่จะทำได้ เพื่อทำการคำนวณผลลัพธ์สุดท้าย ของแต่ละชะตาย่อยออกมาก่อน แล้วค่อยนำผลที่ได้ทั้งหมด มาทำการประมวลรวมกันเข้า เพื่อทำการวิเคราะห์ในขั้นตอนสุดท้าย ก่อนที่จะให้คำพยากรณ์ออกไป หลังจากนั้นก็ต้องทำการ เทียบเคียงกับเหตุการณ์จริง ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต
หากทุกอย่างสอดคล้องต้องกันหมด จึงจะนำไปใช้เป็นข้อมูล หรือเงื่อนไขพื้นฐาน ในการพิจารณาปรับแก้ผังชะตาต่อไป แต่หากยังมีส่วนที่ขัดแย้งกันอยู่ ทางที่ดีก็ควรทำการพิจารณาด้วยหลักวิชาอื่นๆ ให้ครอบคลุมมากขึ้น หรือตรวจทานผลการคำนวณ หรือการวิเคราะห์ที่ผ่านมาให้รอบครอบอีกครั้ง จนกว่าจะได้ผลลัพธ์ ที่ใกล้เคียงข้อเท็จจริงมากที่สุด จึงจะถือว่าเป็นข้อมูลที่จะผ่านไป สู่ขั้นตอนการปรับแก้ได้
คราวนี้เราก็จะมาลองพิจารณา ถึงชะตาย่อยทั้งสามในรายละเอียดกัน โดยขอเริ่มที่ชะตาฟ้าก่อน ในส่วนของชะตาฟ้านี้ มีขอบข่ายที่ค่อนข้าง กินความครอบคลุมกว้างขวาง นับตั้งแต่ศาสนธรรม ที่คนเหล่านั้นให้ความศรัทธา ซึ่งย่อมส่งผลต่อปรัชญาความคิด หรือคติความเชื่อที่พวกเขาใช้ เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต
รวมความไปถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่พวกเขาเคารพบูชาด้วย เพราะไม่อาจปฏิเสธได้ว่า พลังของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ที่ชาวพุทธอาจจะรู้จักกัน ในนามของเทพพรหม ก็ล้วนมีอิทธิพลและเป็นปัจจัยสนับสนุนช่วยเหลือ ทั้งในระดับของพลังเหนือ ธรรมชาติภาวะปกติของมนุษย์ จนไปถึงในเชิงของจิตวิทยา ที่ถูกใช้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ทางด้านจิตใจของผู้คน นอกจากนี้ชะตาฟ้ายังหมายถึงฤกษ์ยาม หรือช่วงเวลาที่คนเหล่านั้น ใช้ในการประกอบพิธี หรือกิจกรรมที่มีความสำคัญ
ในส่วนของฤกษ์ยามนี้ ด้านของอภิปรัชญาจะหมายถึง เวลาของฟ้าที่จะเอื้ออำนวย ต่อสภาวะการณ์ในแต่ละกรณี ทำให้การใช้ฤกษ์ยามที่ไม่เหมาะสมกับกิจกรรมที่ทำ อาจส่งผลกระทบในทางร้ายก็เป็นได้ ในด้านของกายภาพทั่วไป ฤกษ์ยามก็อาจจะกินความถึงฤดูกาล หรือช่วงเวลาที่เหมาะสม ต่อการประกอบกิจกรรมต่างๆ
จากที่กล่าวมาก็พอจะสรุปได้ว่า ชะตาฟ้า ก็คือเรื่องของคติความเชื่อ ที่เป็นแนวทางดำเนินชีวิต และสภาวะแวดล้อมทางธรรมชาติ ที่จะเอื้อต่อการดำเนินกิจกรรมต่างๆ มากน้อยเพียงใด ในส่วนของพลังที่เหนือธรรมชาติภาวะปกติทั่วไป ก็เป็นสิ่งที่ต้องนำมา เป็นข้อมูลประกอบในการพิจารณาด้วย แม้หลายคนจะอ้างว่าเป็นสิ่ง ที่พิสูจน์ได้ยากก็ไม่เป็นไร และจะไม่ขอนำมาถกเถียงในที่นี้ เพียงแต่จะยกตัวอย่างในบางสังคม
ซึ่งผู้คนมีความเชื่อถือ ในพลังของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่อยู่เหนือธรรมชาติขึ้นไป เมื่อพวกเขาต้องประสบ พบกับภาวะวิกฤตในชีวิต พวกเขากลับได้รับกำลังใจ จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขายึดเหนี่ยว จนกลายเป็นความมุ่งมั่น ที่จะดิ้นรนต่อสู้ไปข้างหน้า จนสามารถเอาชนะอุปสรรคปัญหา ที่เป็นวิกฤตการณ์ทั้งหลายไปได้ ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะเป็นพลังของสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงหรือไม่ก็ตาม แต่นั่นย่อมมีอิทธิพล ต่อบทบาทแห่งชะตากรรม ของพวกเขาเหล่านั้นอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
ชะตาย่อยที่จะกล่าวถึงในลำดับถัดไปก็คือ ชะตาดิน ในขณะที่ชะตาฟ้าจะค่อนข้าง กินความออกไปในมุมกว้าง ชะตาดินจะเริ่มตีกรอบแคบลงมา ใกล้ตัวผู้ที่เป็นเจ้าของชะตามากขึ้น โดยชะตาดินจะกินความ ในส่วนของอาคารสถานที่ หรือสิ่งปลูกสร้างทั้งหลาย ที่ติดอยู่กับผืนดิน และเจ้าชะตาเหล่านั้นเข้าไป มีส่วนผูกพันเกี่ยวข้องด้วย อาทิเช่น บ้านที่พักอาศัย สถานที่ทำงาน สถาบันการศึกษา โรงพยาบาลที่เกิด รวมไปถึงสุสานบรรพชน
ซึ่งเจ้าชะตาเหล่านั้นได้สร้างความผูกพันไว้ โดยการไปเซ่นไหว้เป็นประจำ และมีความเชื่อความผูกพันอยู่กับสุสานแห่งนั้น จึงจะบังเกิดผลเป็นส่วนหนึ่งของชะตาดิน ในกรณีที่ไม่เคยระลึกถึง จึงไม่เคยไปกราบไห้วบูชา เพื่อสร้างความผูกพันทางด้านจิตใจขึ้น ก็ย่อมไม่ได้รับผลจากชะตาดินในส่วนนั้น อีกกรณีหนึ่งคือ อาคารที่เจ้าชะตามีชื่อเป็นเจ้าของอยู่ แม้จะอยู่อาศัยหรือไม่ก็ตาม
กรณีนี้ก็ต้องถือเป็นหนึ่งในชะตาดิน ที่มีความผูกพัน และสามารถมีอิทธิพล ต่อชะตากรรมของคนผู้นั้นด้วย ดังนั้นการมีบ้านหลายหลัง แม้ไม่ค่อยได้ไปพักอาศัย แต่ชะตาดินเหล่านั้นก็ล้วนส่งผล ต่อผังชะตารวมด้วยเช่นกัน
ความผูกพันกับชะตาดินนี้ ความจริงก็ไม่ใช่สิ่งที่ยากต่อการทำความเข้าใจ เพราะทุกสถานที่ที่เรา ต้องเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ยิ่งต้องใช้เวลาอยู่ในสถานที่นั้นนานเพียงใด ก็จะต้องตกอยู่ภายใต้การครอบงำ ของสภาพแวดล้อมในสถานที่เหล่านั้น อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ตัวอย่างเช่น คนที่ต้องพักอาศัยอยู่ ในสภาพแวดล้อมที่มิสู้ดีนัก ย่อมส่งผลกระทบต่อ ทั้งร่างกายและจิตใจเป็นธรรมดา และพฤติกรรมที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าเหล่านั้น ก็ย่อมมีผลต่อภาพรวมของผังชะตาในที่สุด
ตรงกันข้ามกับคนที่ได้อยู่อาศัย ในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่า พวกเขาย่อมมีสุขภาพทางกายและสุขภาพจิตที่ดีกว่า การพิจารณาชะตาดิน จึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ไม่อาจละเลยไปได้ บ่อยครั้งที่ไม่ทราบข้อมูล ชะตาดินอย่างครบถ้วน มักจะทำให้การพยากรณ์ เกิดความผิดพลาด และเบี่ยงเบนไปจากความเป็นจริง จึงขอย้ำว่า ทั้งสองชะตาย่อยที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนเป็นสิ่งที่ต้อง ให้ความสำคัญไม่น้อยกว่ากัน เพราะล้วนสามารถส่งผลกระทบ ต่อผังชะตาในภาพรวมได้ทั้งสิ้น
ชะตาย่อยสุดท้ายที่จะกล่าวถึงนี้ก็คือ ชะตาคน ซึ่งเป็นสิ่งที่นักพยากรณ์ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกันมาก และค่อนข้างจะมีหลักวิชาที่หลากหลาย ในการวิเคราะห์ชะตาย่อยในส่วนนี้ แต่ยังคงต้องขอเน้นย้ำว่า การพิจารณาเพียงชะตาคนนี้ แม้จะสามารถอ่านความหมาย ของชะตากรรมได้อย่างหลากหลายเพียงใด แต่พฤติกรรมปัจจุบันของพวกเขา ย่อมมีผลกระทบมาจากคติความเชื่อ และสิ่งแวดล้อมที่พวกเขาอาศัยอยู่
บ่อยครั้งจึงอาจไม่ดำเนินไปตามแนวทาง ที่ปรากฏอยู่ในเกณฑ์ชะตาดังกล่าว การอ่านหรือพิจารณา เฉพาะชะตาคนเพียงอย่างเดียว จึงมักจะก่อให้เกิดความผิดพลาด ในการพยากรณ์ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการใช้ชะตาคน ในการปรับแก้ดวงชะตานั้น อาจไม่เกิดผลเท่าที่คาดหมายไว้ หรืออาจทำให้สถานการณ์ ย่ำแย่กว่าที่เป็นอยู่
รวมทั้งในบางกรณีการพิจารณา เฉพาะชะตาคนเพียงอย่างเดียว ก็อาจทำให้เจอทางตัน เพราะไม่มีช่องทาง ให้พลิกฟื้นแก้ไขให้ดีขึ้นได้เลย การอ่านหรือพิจารณาทั้งสามชะตาย่อยดังกล่าว จึงย่อมทำให้ได้เปรียบมากกว่า เพราะเป็นการเพิ่มช่องทางในการแก้ไขให้มีมากยิ่งขึ้น
ความหมายของชะตาคน จะเริ่มตั้งแต่วันเดือนปีเกิด และเวลาตกฟาก หรือเวลาเกิดของแต่ละคน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ล้วนเป็นตัวแปร พื้นฐานสำคัญในการคำนวณ หรือตั้งผังดวงชะตาโดยทั่วไป นอกจากนั้นยังมีในส่วนของรูปร่างหน้าตา บุคลิคท่วงท่า น้ำเสียงที่พูด อิริยาบถทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น การนั่ง การนอน การยืน การเดิน ล้วนสามารถนำมาพิจารณาร่วมได้ทั้งสิ้น
เรื่องของสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัว ของแต่ละบุคคลก็ล้วนมีส่วนสำคัญ อาทิเช่น ลายมือ ลายเท้า ไฝฝ้าหรือตำหนิต่างๆ บนร่างกาย บางวิชาอาจวิเคราะห์ไปถึง โครงกระดูกที่ภายในได้ด้วย การสอบถามด้วยไพ่ชนิดต่างๆ หรือการเสี่ยงทายในแต่ละวิธีนั้น ก็ล้วนอยู่ในคำนิยามของชะตาคนทั้งสิ้น เพราะเป็นปฏิสัมพันธ์ ที่ต้องเกี่ยวเนื่องกับตัวบุคคลเป็นหลัก
ในกรณีแรกๆ คงทำความเข้าใจได้ไม่ยาก เพราะเป็นเหมือนเอกลักษณ์ของแต่ละคน ส่วนการสอบถามหรือเสี่ยงทายนั้น คนที่กระทำก็ต้องเป็นผู้ลงมือ ในการเลือกสรรเงื่อนไข ที่จะนำมาทำการถอดรหัส ด้วยตัวของพวกเขาเอง เรียกได้ว่า เป็นการสร้างความเชื่อมโยงขึ้น จึงถือเป็นชะตาที่เกี่ยวเนื่อง จากคนเหล่านั้นเป็นการเฉพาะ
เมื่อสามารถทำความเข้าใจ เกี่ยวกับชะตาย่อยทั้งสามนี้แล้ว หลายท่านก็อาจจะพอตอบข้อข้องใจของตนเองได้บ้าง เกี่ยวกับกรณีที่คนสองคนเกิดในวันเวลาเดียวกัน แต่หากต่างสถานที่เช่นโรงพยาบาล ก็ย่อมไม่มีผังชะตาชีวิตเหมือนกันทั้งหมด เพราะชะตาคนอาจเหมือนกัน ในส่วนหนึ่งคือวันเวลาที่เกิด แต่รูปร่างหน้าตาก็อาจผิดแผกแตกต่างกันไป ตามพันธุกรรมของผู้ให้กำเนิด ขณะที่ชะตาดินแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
และแม้ว่าจะเกิดในโรงพยาบาลเดียวกันด้วย ซึ่งย่อมมีชะตาดินแรกกำเนิด ที่ตรงกัน แต่ผังชะตาชีวิตโดยภาพรวม ก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ส่วนหนึ่งคือหลังออกจากโรงพยาบาล กลับไปอยู่บ้านคนละแห่ง ชะตาดินที่สืบเนื่องมา ก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน แต่สิ่งหนึ่งที่อาจต่างกัน โดยสิ้นเชิงก็คือชะตาฟ้า เพราะคนทั้งสองครอบครัวนี้ อาจนับถือศาสนธรรม หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่เหมือนกัน ชะตาฟ้าจึงย่อมแปรเปลี่ยนตามไป
คราวนี้ลองมาพิจารณาในกรณีที่เป็นฝาแฝด เกิดวันเวลาเดียวกัน ในสถานที่เดียวกัน และยังอยู่ในครอบครัวเดียวกันด้วย จะเห็นได้ว่าในกรณีนี้ เด็กที่เป็นแฝดกันนี้ไม่ว่าจะกี่คนก็ตาม ก็ล้วนมีชะตาฟ้า ชะตาดิน และชะตาคนเหมือนกันหมด ในช่วงต้นของชีวิต เด็กเหล่านี้ย่อมมีวิถีชีวิต และบทบาทของชะตากรรม ที่ใกล้เคียงกันเป็นธรรมดา
จนกระทั่งเริ่มมีการแยกตัวออกไป ผูกพันกับชะตาดินหรือชะตาฟ้าอื่นๆ ในเวลาต่อมา ชีวิตของพวกเขาจึงจะเริ่มเหินห่างออก จากวิถีทางแรกกำเนิดทั้งหลายนั้นไปทีละน้อย การพิจารณาผังชะตาจึงต้องวิเคราะห์ให้ครบหมดทั้งสามชะตาย่อยดังกล่าว และต้องใช้ข้อมูลปัจจุบันที่เจ้าชะตาดำรงอยู่ในการพิจารณาด้วย จึงจะได้คำตอบที่ถูกต้องหรือใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด
สิ่งหนึ่งที่ต้องนำมาพิจารณาร่วมด้วยก็คือ สิ่งที่ศาสนาพุทธเรียกว่า อดีตกรรม หรือการกระทำในอดีต ซึ่งย่อมจะติดตามมาส่งผลในเวลาต่อมา ในกรณีที่เป็นฝาแฝดที่มีชะตาทั้งสาม ตรงกันหมดในช่วงแรกกำเนิด แต่ตัวอดีตกรรมนี้เอง ซึ่งแต่ละคนย่อมสร้างสมอบรมกันมาไม่เหมือนกัน และสิ่งนี้ก็จะเป็นปัจจัยสำคัญ ที่จะค่อยโน้มนำให้แต่ละคน ค่อยแปรเปลี่ยนผังชะตาของตนแยกออกจากกันไปในที่สุด
นอกจากอดีตกรรมแล้ว ผลกระทบของชะตาทั้งสาม ยังสามารถก่อเกิดมโนคติ หรือโลกทัศน์ใหม่ๆ ซึ่งย่อมส่งผลให้เกิดเป็นพฤติกรรม หรือกรรมในปัจจุบันขึ้น ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นส่วน ที่นับเป็นตัวแปรสำคัญ ในการกำหนดผังชะตาชีวิตในอนาคต ดังนั้นนอกจากชะตาทั้งสาม ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว พฤติกรรมการใช้ชีวิตในปัจจุบัน ของคนเหล่านั้น ก็เป็นสิ่งที่จะละเลยไม่ได้เช่นกัน
สำหรับกรรมวิธีในการตรวจสอบชะตาย่อยทั้งสามนั้น ย่อมมีความแตกต่างกันไป และอาจกล่าวได้ว่า ชะตาฟ้าเป็นสิ่งที่ตรวจสอบได้ยากที่สุด เพราะหลายปัจจัยล้วนเป็นสิ่งที่พ้นไป จากสามัญสำนึกปกติของมนุษย์ ที่จะก้าวขึ้นไปสัมผัสได้ อีกทั้งยังมีความหลากหลาย ในเนื้อหาและรูปแบบ อาทิเช่น หลักธรรมในแต่ละศาสนา ที่แต่ละบุคคลให้ความศรัทธาเลื่อมใส และนำมาเป็นแนวทางปฏิบัติในการดำรงชีพ เพราะเป็นสิ่งที่ยากที่จะเข้าไปโน้มน้าว
เพราะอาจไม่สามารถใช้เหตุผลความเป็นจริงในการพิจารณาได้ เนื่องจากเป็นเรื่องของจิตใจ ความเชื่อ และแม้กระทั่งความชอบ ซึ่งล้วนเป็นอุดมคติของแต่ละคน ซึ่งย่อมแตกต่างกันเป็นธรรมดา พลังของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เข้าไปผูกพันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ยากจะหาข้อพิสูจน์ได้ ด้วยระดับของเทคโนโลยีในปัจจุบัน แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ความเชื่อมั่นที่มีอย่างลึกล้ำนั้น สามารถก่อเกิดพลังอำนาจ และเบี่ยงเบนชะตากรรม ของแต่ละบุคคลอย่างไม่น่าเป็นไปได้
ส่วนหนึ่งของชะตาฟ้า ที่พอจะคำนวณตรวจสอบได้ก็คือ เรื่องของฤกษ์ยาม และด้วยหลักวิชานี้ก็สามารถ ช่วยให้ผู้ที่ต้องการปรับชะตาให้ผู้อื่น สามารถเลือกวันเวลาที่เป็นมงคล หรือวันที่มีพลัง รู้วงจรการเคลื่อนของดวงดาวต่างๆ ที่จะมาสถิตในสถานที่หรือตำแหน่ง ที่ต้องการประกอบพิธีปรับชะตา
การตรวจสอบชะตาดิน ค่อนข้างจะมีความชัดเจนมากกว่า เพราะเป็นเรื่องของอิทธิพล หรือผลกระทบจากสภาพแวดล้อม ซึ่งส่วนหนึ่งสามารถรับรู้ได้ ด้วยประสาทสัมผัสธรรมดาของมนุษย์ทั่วไป อีกทั้งยังมีเครื่องไม้เครื่องมือ หรืออุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์หลายอย่าง ที่สามารถตรวจจับ และให้ข้อมูลแก่ผู้วิเคราะห์ได้ อาทิเช่น เข็มทิศ หรือ จานองศาแดด ที่อาศัยการคำนวณทางสุริยะวิถีมาเป็นตัวกำหนด
นอกเหนือจากนั้น การเก็บข้อมูลเชิงสถิติ ของโบราณชนนานนับหลายพันปี จนสามารถสรุปเป็นกฏเกณฑ์ที่ชัดเจนบางประการ ก็สามารถนำมาใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาได้ โดยเฉพาะสาขาวิชาของภูมิพยากรณ์ หรือที่รู้จักกันทั่วไปในนามของ วิชาฮวงจุ้ย หรือฟงสุ่ยนั้น ก็ถือเป็นวิชาหลักในการตรวจสอบ ชะตาดินที่ได้ผลอย่างกว้างขวาง
ส่วนของชะตาคนนั้นมีความหลากหลายมากกว่า ดังได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการพิจารณาเป็นรายบุคคลไป ขณะที่ในความเป็นจริงนั้นยากที่จะปฏิเสธว่า ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลนั้น ล้วนมีอิทธิพลต่ออุดมคติ และแนวความคิดของคนอื่นๆ ได้ด้วย การจะพิจารณาชะตาคน ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้นั้น จะต้องไม่ละเลยปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ที่เจ้าชะตาผู้นั้นเข้าไป มีความสัมพันธ์ร่วมอยู่ด้วย
จึงจะได้ข้อมูลในการประเมิน อย่างครบถ้วนแท้จริง ในหลายสาขาวิชาที่ใช้อ่านชะตาคนนั้น ก็มีการให้ความสำคัญ ต่อปฏิสัมพันธ์ดังกล่าวอยู่แล้ว ผู้ที่เรียนรู้ศาสตร์แห่งการพยากรณ์ทั้งหลาย จึงควรให้ความสนใจในเรื่องนี้ เป็นองค์ประกอบสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่ประสงค์จะช่วยปรับชะตาให้ผู้อื่น ย่อมไม่อาจมองข้ามไปได้เป็นอันขาด
หลักวิชาดังกล่าวมาข้างต้นนี้ ต้องถือว่าเป็นเหมือนเกณฑ์ หรือจุดยืนในการพิจารณา ซึ่งมีความสำคัญไม่น้อย สาเหตุเป็นเพราะว่า หลายครั้งที่เราใช้ความรู้สึก เพียงอย่างเดียวในการตัดสินสิ่งต่างๆ อาจทำให้มีข้อมูลไม่เพียงพอ ที่จะช่วยสนับสนุนให้การตัดสินนั้นถูกต้องสมบูรณ์ ดังคำกล่าวที่ว่า ดวงดีคิดทำอะไรก็ดีไปหมด แต่พอดวงตกจับอะไรก็วิบัติล่มจม
นี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจละเลยได้เช่นกัน เพราะเมื่อชะตาชีวิตเหมือนดังกระแสน้ำ ที่มีการขึ้นลงเป็นธรรมดา จึงย่อมไม่มีอะไรดีตลอดกาล หรือชั่วตลอดไป และเมื่อใดก็ตาม ที่ดวงชะตาเดินเข้าสู่ขาลง ย่อมส่งผลต่อความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดด้วย จนอาจทำให้วินิจฉัยของคนผู้นั้น เกิดความผิดพลาดตามไป ตัวผู้ที่ทำการวิเคราะห์ และปรับชะตาให้ผู้อื่น
ก็พึงตระหนักไว้ในใจว่า ตนเองก็ไม่พ้นกฏเกณฑ์ข้อนี้เช่นกัน เมื่อใดที่ต้องไปปรับชะตาให้ผู้อื่น ในช่วงดวงของท่านเองอยู่ในขาลง หรือที่เรียกกันว่า ดวงตก ก็ต้องอิงอาศัยบนหลักวิชาให้จงหนัก เพราะลำพังเพียงวินิจฉัย หรือดุลย์พินิจของท่านในตอนนั้น ต้องยอมรับว่าอาจมีโอกาสผิดพลาดได้ค่อนข้างสูง
ในกรณีของเจ้าชะตา เมื่อผู้วิเคราะห์พบแล้วว่า ดวงของเจ้าชะตาอยู่ในขาลง บางครั้งจึงจำต้องตรวจสอบวินิจฉัย ของเจ้าชะตาให้ชัดแจ้ง โดยอาศัยหลักวิชาต่างๆ เป็นจุดยืนที่มั่นคงเช่นกัน หากพบว่าความคิดหรือดุลย์พินิจของเจ้าชะตา มีแนวโน้มที่จะพาตัวเองไปสู่ความวิบัติล่มจม ก็ควรที่จะให้คำชี้แนะเท่าที่จะทำได้ เพื่อชะลอให้ช่วงเวลาวิกฤตนั้นผ่านพ้นไปก่อน เพราะเมื่อดวงของเขาพ้น จากจุดต่ำสุดแล้วกำลังวกขึ้นอีกครั้ง
จะพบว่าแนวความคิด หรือวินิจฉัยของพวกเขา ก็จะเปลี่ยนแปลงตามไป และบ่อยครั้งเขาจะพบเองว่า สิ่งที่ตัวเองปรารถนาในช่วงดวงตกนั้น เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม ด้วยเหตุนี้จึงต้องย้ำเน้นว่า หลักวิชาทั้งหลายในศาสตร์สายพยากรณ์ จะเป็นจุดอ้างอิงที่ดี หากเราต้องการหาข้อมูลสนับสนุน ในการตัดสินใจทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และผู้วิเคราะห์จะต้องอิงอาศัย หลักการเหล่านี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่า บางครั้งการเกาะยึดติดในหลักวิชามากเกินไป ก็อาจทำให้ขาดความคล่องตัวในการตัดสินใจ จึงเอาเป็นว่า ให้ใช้ผลลัพธ์ที่ได้จากศาสตร์แห่งการพยากรณ์เหล่านั้น เป็นตัวตั้ง แล้วนำข้อเท็จจริงในเวลานั้นๆ มาร่วมเป็นองค์ประกอบในการพิจารณา หากพอจะอนุโลมกันได้ ก็สมควรยืดหยุ่นบ้าง ไม่ใช่จะยืนหยัดยืนยันแบบหัวชนฝาไปตลอดกาล
ต้องยอมรับว่า การพยากรณ์ไม่ว่าสาขาวิชาใด ล้วนเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ในตัว การแปลความหมายของรหัสนัย ที่ซ่อนอยู่ในผลลัพธ์ที่ได้จากสูตร หรือการคำนวณใดๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะวัดความสามารถ ในการทำนายของนักพยากรณ์แต่ละคน โดยเฉพาะสายงานที่เน้น การปรับชะตาชีวิตของผู้อื่น ยิ่งจะต้องมีความรอบรู้ที่กว้างไกล และครอบคลุมหลากหลายวิชา ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ จึงจะสามารถกำหนดแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนได้
ยกตัวอย่างเช่น นักพยากรณ์ที่มีความรู้เพียงห้าสาขา และเมื่อพิจารณาหมดครบถ้วนทุกวิชาแล้ว พบว่ามีดีถึงสี่ และเสียเพียงหนึ่ง จึงตัดสินใจแนะนำไปตามนั้น โดยหารู้ไม่ว่า หากเขารู้ครบถึงสิบวิชา ก็จะพบว่าความจริงแล้ว มีดีแค่สี่ แต่มีเสียถึงหก หากแนะนำไปตามข้างต้น จึงย่อมมีสิทธิ์ทำให้คนที่รับคำแนะนำ ต้องเกิดความสูญเสียอย่างคาดไม่ถึง แม้จะเป็นการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ตาม
เมื่อถามว่าแล้วจะต้องรู้ไปถึงกี่วิชา จึงจะถือว่าเจนจบได้ ก็ต้องขอตอบโดยการอิงภาษิต ของชาวจีนที่กล่าวกันว่า สามปีเรียนครบ สิบปีเรียนจบ แต่ชั่วชีวิตเรียนไม่หมด ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ธรรมชาติของโลกมีความ เป็นพลวัตรที่ไม่หยุดนิ่ง เต็มไปด้วยความแปรปรวน การเรียนรู้ศาสตร์ไม่ว่าสาขาวิชาใด จึงต้องทำการสังเกตุและปรับปรุง ให้มีความทันสมัยอยู่เสมอ
จึงขอสรุปในที่นี้เพียงสั้นๆ ว่า จงมีความจริงใจ และมองให้รอบด้านเข้าไว้ นี่อาจกล่าวได้ว่า เป็นจรรยาบรรณของนักพยากรณ์ทั้งหลาย เพราะหากทำอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่หวังเพียงเงินทองของตอบแทนเท่านั้น ศาสตร์หรือวิชาเหล่านี้ ย่อมสามารถช่วยแก้ทุกข์ให้ผู้คนได้ตามสมควร
(มิติทางหลักปรัชญา ep.2 ชะตาทั้งสาม)
1 บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
มิติทางหลักปรัชญา
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย