Joseph ลืมตาขึ้นมาดูโลกในอ้อมอกของมารดาที่เป็นทาสชาวผิวสีในไร่อ้อยแห่งหนึ่ง บิดาของเขาหาได้ใช่คนผิวสีด้วยกันไม่ หากแต่เป็นผู้มั่งคั่งจากฝรั่งเศสที่มีสถานะเป็นเจ้าของไร่แห่งนี้
แต่ถึงแม้ว่าเด็กชายจะเกิดมาจากแม่ผิวสีก็ตาม แต่ผู้เป็นพ่อก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์ มิหนำซ้ำยังเอ็นดูบุตรชายมูแลตโตของตนเป็นอย่างดี จนกระทั่ง Joseph อายุได้ 7 ขวบ พ่อของเขาก็ได้ส่งเขาไปใช้ชีวิตและรับการศึกษาอยู่บนแผ่นดินใหญ่ที่ "ฝรั่งเศส"
ผลงานเพลงของ Joseph ยังคงปรากฏให้เห็นเรื่อย ๆ โดยเขาเริ่มประพันธ์เพลงเองตั้งแต่ปี 1770 และเริ่มต้นชีวิตนักดนตรีของ Concert des Amateurs ทั้งในฐานะนักโซโล่ไวโอลินและวาทยากร ซึ่งเขาได้ทำให้วงนี้กลายเป็นวงคอนเซอร์โตที่เยี่ยมยอดที่สุดในฝรั่งเศสและในทวีปยุโรป
ซึ่งแน่นอนว่ากิตติศัพท์ของเขาเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว จนไปต้องตาราชินีแห่งฝรั่งเศส “พระนางมารีย์ อองตัวแนตต์” ผู้ที่จะมาเป็นผู้อุปถัมภ์เขาในด้านดนตรี และมอบหมายให้เขาไปกำกับโรงละครโอเปร่าแห่งปารีส แต่ด้วยปัญหาการเหยียดผิวทำให้ Joseph ไม่ได้ร่วมงานที่นั่น ซึ่งนอกจากวงดนตรีแล้ว Joseph ก็ยังแต่งโอเปร่าอีกหลายเรื่องด้วยกัน
ว่ากันว่าฝีมือของ Joseph นั้นสามารถเทียบชั้นกับอัจฉริยะนักดนตรีแห่งยุคอย่างโมสาร์ท (Mozart) ได้เลยทีเดียว ซึ่งทั้งคู่นั้นมีชีวิตอยู่ร่วมสมัยกัน แต่ทั้งคู่จะเคยเจอหน้ากันหรือไม่นั้นก็ไม่ได้มีหลักฐานชัดเจน แต่แน่นอนว่าทั้งคู่ย่อมเคยได้ยินชื่อเสียงของกันและกันอย่างแน่นอน
📌 ผู้ผลักดันการเลิกทาสในฝรั่งเศส
ท่ามกลางไฟปฏิวัติฝรั่งเศสที่กำลังลุกโซนขึ้นมา Joseph ซึ่งเป็นชาวผิวสีและถูกกดทับด้วยกฏหมายทาสเดิมในช่วงก่อนปฏิวัติ ก็ได้หันมาเข้าร่วมกับฝั่งปฏิวัติและได้รับยศเป็นผู้การควบคุมกองพันอเมริกัน ซึ่งเป็นกองพันทหารม้าที่มีแต่ทหารผิวสีจากอาณานิคมในแคริบเบียนโดยเฉพาะ
กองพันของเขามีส่วนร่วมในการรบและปกป้องเมืองลีลส์อยู่หลายครั้ง นอกจากหน้าที่ในฐานะทหารแล้ว Joseph เองก็มีหน้าที่ในฐานะนักปฏิวัติโดยมีส่วนสำคัญในการเลิกทาสทั้งในอังกฤษและฝรั่งเศส
โดยเขาทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มนักเลิกทาสที่นำโดย ฌาร์ค ปิแอร์ บริโซ (Jacque Pierre Brissot) ซึ่งทำให้ประสบความสำเร็จในการเลิกทาสฝรั่งเศสเมื่อปี 1795
Joseph รับใช้คณะปฏิวัติจนถึงช่วงยุคสมัยแห่งความสะพรึงกลัวที่ซึ่งเขาถูกจำคุกด้วยข้อสงสัยว่ามีความเกี่ยวข้องกับพระนางมารีย์ อองตัวแนตต์ แต่ก็นับว่าโชคดีที่เขาสามารถรอดพ้นจากคมมีดกีโยตินมาได้ แต่ในท้ายที่สุดเขาก็เสียชีวิตลงด้วยอาการป่วยในวัย 59 ปี
โดยการประกาศแบนผลงานเพลงของเขา รวมไปถึงการทำลายข้าวของและเผาบันทึกที่เกี่ยวข้องกับเขาด้วย โดยตัวตนของ Joseph ยังคงหลงเหลืออยู่ผ่านการซ่อนและจัดเก็บรักษาเอาไว้ของผู้คนที่นับถือเขาทั้งในฝรั่งเศสและกัวเดอลุป
โดยเรื่องราวของ Joseph ถูกพูดถึงอีกครั้งในปี 1840 ผ่านละครของ Roger de Beauvoir
เราก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่า Joseph Bologne เป็นอัจฉริยะที่เก่งในทุกด้าน นับว่าเป็นโชคดีของเขาที่พบเจอผู้คนมากมายที่ให้การยอมรับเขาโดยมองที่ความสามารถมากกว่ารูปลักษณ์ภายนอก
ความสามารถและอัจฉริยะภาพของ Joseph Bologne ได้ทำให้เขากลายเป็นบุคคลสำคัญและเป็นเพชรเม็ดงามที่ประดับวงการดนตรีและแวดวงประวัติศาสตร์สืบต่อไปอีกนานเท่านาน