23 ก.ค. 2023 เวลา 21:11 • ปรัชญา

พลังแห่งดุลยภาพ

ดังได้เคยกล่าวไว้ในบทข้างต้นแล้วว่า การปรับชะตานั้น จะต้องคำนึงถึงในเรื่องของความประสานกลมกลืน ทั้งภายในอาคารและสภาพแวดล้อม ภายนอกโดยรอบเป็นสำคัญ เพราะหลักความกลมกลืนนี้เอง ที่จะนำมาซึ่งดุลยภาพของพลัง และการที่พลังทั้งบวกและลบมีความสมดุลย์ซึ่งกันและกันนี้เอง ก็คือคุณลักษณ์ที่ดีของพลังมงคล ที่นักปรับชะตาทั้งหลายเฝ้าแสวงหา
ดังนั้นด้วยหลักการนี้ จึงต้องทำความเข้าใจ เกี่ยวกับนิยามของคำว่า พลังมงคลกันใหม่หมด เพราะพลังมงคลไม่ใช่เรื่องของพลังด้านบวกแต่ฝ่ายเดียว เนื่องจากทุกอย่างในโลก ล้วนประกอบขึ้นด้วยพลัง ทั้งสองส่วนที่ผสมผสานกันอยู่ พลังที่เด่นไปในทางด้านใดด้านหนึ่ง จึงย่อมไม่ใช่พลังที่ดี
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ความพอดีหรือสภาวะที่เหมาะสม ระหว่างพลังทั้งสองนั้นต่างหาก ที่ถือเป็นพลังงานที่มีความเหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น แสงสว่าง หากมากไปก็ย่อมเจิดจ้า และทำให้เสียสายตาได้ ขณะเดียวกันถ้าน้อยเกินไป จนทำให้เกิดสภาพที่มืดมัวแลสลัว ยากที่จะมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจน ก็ย่อมทำให้สายตาเสียได้เช่นกัน ดังนั้นจึงมีแต่แสงสว่าง อ่อนนวลกำลังพอดีเท่านั้น ที่จะทำให้การมองเห็น เป็นไปได้อย่างเหมาะสม และไม่สร้างความเสียหายให้แก่ดวงตา
ในสภาวะที่เหน็บหนาวก็เช่นกัน ผู้ที่ต้องทนความหนาวเย็นอยู่ตามป่าเขา ซึ่งไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกใดๆ พวกเขาย่อมต้องอาศัยไอร้อน จากเปลวไฟที่จุดขึ้นบนกองฟืน นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของความพอดี เพราะคนที่เหน็บหนาวนั้น ย่อมต้องอยู่ห่างจากกองไฟ ในระยะที่พอเหมาะพอควร จึงจะได้รับไอร้อนบรรเทาความหนาวได้ โดยไม่ถูกเปลวไฟแผดเผาทำร้าย การอยู่ห่างกองไฟเกินไป ย่อมไม่ได้ไอร้อนเพียงพอ และการอยู่ใกล้จนเกินไป ก็ย่อมเป็นอันตราย
พลังทั้งหลายในจักรวาล ก็ล้วนตั้งอยู่บนหลักการดังกล่าวนี้ มีแต่พลังที่มีความสมดุลย์ หรือความพอดีเท่านั้น จึงจะให้กำเนิดและสามารถหล่อเลี้ยงชีวิต ให้ดำรงคงอยู่ต่อไปได้
หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วสภาพที่เป็นบวกแบบสุดขั้วมีหรือไม่ ก็ต้องตอบว่ามี โดยทางหลักวิชาปรับชะตา ของจีนโบราณจะเรียก พลังส่วนนี้ว่า พลังหยางล้วน ซึ่งหมายถึงฟ้า ขณะที่พลังในซีกฝั่งตรงกันข้าม ที่เป็นพลังลบสุดขั้ว หรือหยินล้วนนั้น ก็คือดิน แต่ในที่นี้ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า มิได้หมายถึงท้องฟ้าหรือผืนปฐพี ที่เราคุ้นเคยแต่อย่างไร เนื่องจากในหลักวิชาของชาวจีนโบราณนั้น ได้แบ่งพลังงานในจักรวาล ออกเป็นสามระดับ ที่ดำเนินไปตามหลักแห่งเต๋า
โดยกล่าวว่า เดิมนั้นว่างเปล่า เรียกว่า ความสูญอันยิ่ง หรืออู่จี๋ และความว่างนี้เองที่ให้กำเนิดสภาพที่เรียกว่า ความสมบูรณ์อันยิ่ง หรือไท่จี๋ สาเหตุที่ทำให้ไท่จี๋ได้ชื่อว่า เป็นความสมบูรณ์อันยิ่ง ก็เพราะว่าไท่จี๋ประกอบไปด้วย พลังทั้งลบและบวก หรือหยินกับหยาง ที่สมดุลย์พอดี จึงกล่าวได้ว่า ความสมบูรณ์ก็คือดุลยภาพ หรือความกลมกลืนของพลังทั้งสองสายนั้น
จากนั้นไท่จี๋จึงให้กำเนิดหยินกับหยาง หรือพลังลบและบวก และหยินหยางนี้เอง ก็ให้กำเนิดตรีภาวะขึ้นคือ สภาพที่เป็นหยางล้วน หยินล้วน และสภาวะที่เป็นหยินหยางผสม จากนั้นตรีภาวะดังกล่าว จึงผสมผสานกัน ในสัดส่วนที่แตกต่างกันไป จนกลายมาเป็นสรรพสิ่งทั้งหลาย ในจักรวาลดังที่เราได้รับรู้อยู่ในทุกวันนี้ และด้วยหลักการกำเนิด และก่อเกิดเป็นขั้นตอนมานี้
จึงมีคำพูดที่สรุปให้ฟังง่ายๆ และใช้กันบ่อยครั้งว่า “ศูนย์ (อู่จี๋) ให้กำเนิดหนึ่ง (ไท่จี๋) และหนึ่งให้กำเนิดสอง (หยินหยาง) และสองให้กำเนิดสาม (หยินล้วน, หยางล้วน, หยินหยางผสม) จากนั้นสามจึงให้กำเนิดสรรพสิ่ง” ดังนั้นโดยอาศัยหลักการนี้ ก็จะขอวกกลับไปพูดถึง สภาวะหยางล้วนและหยินล้วน ที่หมายถึงฟ้าดินอีกครั้ง กล่าวคือ ฟ้าดินในความหมายดังกล่าว ย่อมไม่ใช่แผ่นฟ้า หรือผืนดินที่เรามองเห็นอยู่นี้
แต่หมายถึงสภาพแรกกำเนิด ที่อยู่คนละฟากข้าง และเป็นสภาพที่ไม่อาจดำรงอยู่ได้ เพราะเต็มไปด้วยพลัง ที่สุดขั้วทั้งสองสาย ขณะที่หยางล้วน จะสว่างเจิดจ้าแบบสุดๆ หยินล้วนก็จะมืดมนอนธการจนไม่ปรากฏแสงใดๆ เมื่อหยางล้วนคือสภาพ ที่ร้อนแรงแบบสุดขั้ว หยินล้วนก็จะเหน็บหนาวจนไร้ชีวิต
ดังนั้นชาวจีนจึงแบ่งจักรวาล ออกเป็นสามระดับ นั่นคือ ฟ้าอยู่เบื้องบน ดินอยู่เบื้องล่าง โดยมีมนุษย์หรือคนอยู่ตรงกลาง และมนุษย์นี้เองที่เป็นสัดส่วน ที่ผสมผสานอย่างลงตัว ของพลังหยินหยางทั้งสอง สภาพที่พอเหมาะดังกล่าวนี้ ก็คือดุลยภาพที่ก่อเกิดชีวิต และให้การบำรุงเลี้ยง จนชีวิตสามารถเติบโต พัฒนา และดำรงคงอยู่สืบต่อไป
ความผสมผสานกลมกลืนด้วยดุลยภาพ ที่เหมาะสมจึงเป็นความพอดี และความพอดีนี้เอง ที่เป็นนิยามของพลังที่เป็นมงคล คือเอื้อต่อชะตากรรมให้ดำรงอยู่ ในระดับหรือตำแหน่งที่เหมาะสม จนมีคำกล่าวว่า “สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนแต่ละคน ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เลอเลิศที่สุดในโลก แต่เป็นสิ่งที่เหมาะสมกับคนๆ นั้น”
ด้วยเหตุนี้การปรับชะตาชีวิต จึงต้องเน้นในเรื่องของดุลยภาพ และความกลมกลืน เหล่านี้เป็นหลักสำคัญ และความกลมกลืน ก็ไม่ใช่การเน้นไปในพลัง ด้านใดด้านหนึ่งเป็นการเฉพาะ แต่เป็นการทอนออกหรือเติมเข้า เพื่อให้พลังโดยภาพรวม มีความผสมผสานกลมกลืน ในอัตราส่วนที่พอเหมาะ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการปรับชะตาในระดับใด จะเป็นชะตาฟ้า ชะตาดิน หรือชะตาคน
ก็หนีไม่พ้นหลักเกณฑ์แห่งดุลยภาพ ของพลังที่กล่าวถึงอยู่นี้ การปรับชะตาฟ้า ในกรณีของฤกษ์ยาม ก็ไม่ใช่การคำนวณหาวันเวลาที่ดีที่สุด แต่ต้องคำนึงถึงว่า มันเป็นเวลาที่เหมาะสมกับ ผู้ที่ต้องอาศัยฤกษ์นั้น ประกอบกิจกรรมหรือไม่ เพราะบางครั้งฤกษ์ที่ดีและมีพลังแรงที่สุด กลับอาจเป็นโทษภัยต่อคน ที่ต้องการฤกษ์ดังกล่าวก็เป็นได้
ในส่วนของชะตาดินยิ่งต้องคำนึง ในเรื่องของดุลยภาพนี้ เป็นประเด็นสำคัญ เพราะการปรับชะตาดินก็คือ การปรับชะตาของสิ่งปลูกสร้าง หรืออาคารใดๆ ที่ตั้งติดอยู่บนผืนดิน ดังนั้นจึงเลี่ยงไม่พ้น ที่จะต้องคำนึงถึงผลกระทบ หรืออิทธิพลที่อาจจะมีต่อสภาพแวดล้อมโดยรวม ในทางตรงกันข้าม ยังต้องนำสภาพแวดล้อมทั้งหมด ที่เกี่ยวข้องมาทำการคำนวณร่วมด้วย
เพื่อดูว่า ภาพรวมของพลังในบริเวณนั้น โดดเด่นไปทางด้านใดด้านหนึ่งหรือไม่ เมื่อทราบแล้วก็ค่อยทำการปรับเปลี่ยน ด้วยการส่งเสริม หรือตัดทอนตามสมควร เพื่อให้ได้ภาพรวมของพลังงานที่ลงตัว มีความกลมกลืนเข้าหากันอย่างมีดุลยภาพที่พอเหมาะ
การปรับชะตาคนยิ่งเป็นเรื่อง ที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น นักปรับชะตาหลายคน จะให้ความสำคัญต่อเจ้าชะตาเป็นหลัก โดยมิได้คำนึงถึงชะตา ของคนรอบข้างที่เป็นสัมพันธ์ชน ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องและบางครั้ง อาจมีบทบาทอิทธิพล ต่อเจ้าชะตาอย่างรุนแรง ดังนั้นการปรับชะตาคนโดยคำนึง ในแง่มุมเดียวที่เกี่ยวข้อง กับเจ้าชะตาเท่านั้น บ่อยครั้งจึงอาจไม่เป็นผล เพราะสิ่งที่เรียกว่า การไม่เป็นตัวของตัวเอง เนื่องจากต้องตกอยู่ภายใต้การข่ม ของอิทธิพลจากผู้อื่นที่อยู่รายรอบ
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ การพิจารณาเพียงชะตาของคน ที่ต้องการจะปรับแก้เท่านั้น ทำให้ผู้ปรับชะตามีข้อมูล ที่ไม่ถูกต้องครบถ้วนเพียงพอ เพราะเป็นการคำนวณเพียงด้านเดียว บ่อยครั้งการปรับชะตา ของคนที่ต้องอยู่ในอาณัติ ของผู้อื่นเช่นนี้ จึงไม่เกิดผลในด้านใดๆ โดยตรง
เหมือนกับที่มีคำกล่าวถึงกันบ่อยครั้งว่า เด็กที่ยังเล็กมากๆ ต้องอาศัยพ่อแม่ในการเลี้ยงดู และประคับประคอง จึงไม่จำต้องนำดวงชะตามาคำนวณ เพราะแม้จะทำไปก็ไม่เกิดผลใดๆ ที่มีนัยสำคัญ เพราะชีวิตของเด็ก มิได้ดำเนินไปด้วยตนเอง แต่ยังต้องอาศัยการชี้นำ และอยู่ภายใต้ปกครองของพ่อแม่อยู่
ด้วยเหตุนี้หากต้องการปรับชะตาคน ให้ได้ผลอย่างแท้จริง จึงต้องนำทั้งส่วนของชะตาคน ที่อยู่รอบข้างมาร่วมพิจารณาไปพร้อมๆ กันกับชะตาฟ้าและชะตาดิน ที่เจ้าชะตาผู้นั้นมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือมีความสัมพันธ์อยู่ ในที่นี้เราจะลองพิจารณาเฉพาะ ในส่วนของชะตาคนด้วยกันก่อน จะขอพักเรื่องชะตาฟ้า และชะตาดินไว้ชั่วคราว เพื่อไม่ให้เนื้อหาเรื่องราว ที่ต้องใคร่ครวญทำความเข้าใจ มีความซับซ้อนและวุ่นวายจนเกินไป
ในส่วนของชะตาคนนั้น นอกจากจะตรวจดูเฉพาะชะตา ของผู้ที่ต้องการปรับเปลี่ยนแล้ว เรายังต้องลองหาข้อมูลเท่าที่จะทำได้ เช่น ข้อมูลชะตาเกิดของคนที่อยู่รอบข้างเจ้าชะตาผู้นั้น เพื่อนำมาพิจารณาร่วมว่า แต่ละคนมีความโดดเด่นไปทางด้านใด และพอจะมีหนทางปรับเปลี่ยน ให้เข้าสู่สมดุลย์ของพลัง ในภาพรวมได้หรือไม่
หลักการหนึ่งที่ใช้กันอย่างได้ผล ก็คือการคำนวณดูธาตุประจำของแต่ละคน เพื่อหาให้ได้ว่า ทั้งหมดมีภาพรวมของธาตุที่กลมกลืน หรือขัดแย้งกันมากน้อยเพียงใด เมื่อทราบแล้วก็ทำการนำเอาหลักการ ของวงจรธาตุประสาน มาช่วยปรับแต่งให้เกิดสภาพเกื้อกูลกลมกลืนเข้าหากัน และบ่อยครั้งจะพบว่าผลการพิจารณา
ในลักษณะของภาพรวมเช่นนี้ จะส่งผลไม่เพียงการปรับชะตา ของคนที่เป็นเจ้าชะตาเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยให้คนทั้งบ้าน หรือทุกคนที่เกี่ยวข้อง พลอยได้รับผลดีของดุลยภาพ แห่งพลังไปพร้อมๆ กันด้วย เรียกได้ว่า กระสุนนัดเดียวได้นกทั้งฝูง ก็ไม่ผิดนัก กล่าวโดยสรุปแล้ว การปรับชะตาที่ดีก็คือความพยายามในการปรับสมดุลย์ของพลังให้เกิดการผสมผสานอย่างลงตัว มีความกลมกลืนเข้าหากัน และถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น
จะต้องทำให้เกิดสภาพที่เรียกว่า วงจรเอื้อประสาน คือมีการส่งเสริมเกื้อกูลระหว่างกันอยู่ตลอดเวลา และถ้าสามารถทำได้ถึงขั้นตอนนี้ ก็ต้องบอกว่า นี่คือสภาพที่จะเอื้อให้เกิด ความยั่งยืนได้ระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็ตราบเท่าที่วงจร เอื้อประสานนั้นยังทำงานอยู่ และเป็นสิ่งที่นักปรับชะตา จะต้องหาทางถอดรหัสของพลังออกมา ให้ได้อย่างชัดแจ้งถูกต้องครบถ้วน จึงจะสามารถมองเห็นเหตุปัจจัย ที่จะก่อเกิดสภาพดังกล่าวนั้น ได้อย่างสมบูรณ์แท้จริง
เมื่อท่านผู้อ่านพอจะมองเห็นภาพลางๆ จากสิ่งที่ผู้เขียนบรรยายมาข้างต้นแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อไปก็คงเป็นความพยายาม ที่จะสร้างความตระหนักรู้ เกี่ยวกับหลักการดังกล่าวข้างต้น ให้บังเกิดขึ้นมีไว้ในใจอย่างสม่ำเสมอ และต้องนึกถึงทุกครั้งชนิดที่ว่า เป็นคติสำคัญประจำใจเลยยิ่งดี ไม่ว่าจะทำการปรับชะตาให้ตนเองหรือผู้อื่นก็ตาม โดยใช้หลักการนี้ผสมผสานไปกับหลักเกณฑ์อื่นๆ ที่เคยนำเสนอมาแล้วในบทต้นๆ หรือที่จะกล่าวถึงในบทต่อๆ ไป
ส่วนตอนนี้ผู้เขียนจะขอใช้เนื้อที่ ในบทความที่เหลืออยู่ พูดถึงปัญหาที่ได้พบเห็น มาจากหลายกรณีด้วยกัน ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ที่ไม่ได้ตระหนักรู้ ในเรื่องดุลยภาพแห่งพลัง ต้องสูญเสียเงินทองไปโดยไร้ความหมาย เพราะไม่เพียงไม่สามารถปรับเปลี่ยนหรือกอบกู้ ให้สถานการณ์ที่เกี่ยวเนื่อง กับชะตากรรมของตน ดำเนินไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว แต่กลับเป็นการซ้ำเติมให้วิกฤตการณ์ ในชีวิตของพวกเขาเลวร้ายลงไปอีก
ผู้เขียนได้มีโอกาสเฝ้าติดตามดู การทำงานของนักปรับชะตาหลายคน ซึ่งจะไม่ขออ้างอิงในเรื่อง ของชื่อเสียงเรียงนามใดๆ เพราะไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ที่บทความนี้ต้องการจะพูดถึง แต่จะขอนำเอาผลการปรับชะตา ของพวกเขาเหล่านั้น ที่กระทำให้ผู้อื่น มายกเป็นกรณีศึกษาแทน โดยผู้เขียนขอบอกว่า ไม่ใช่ว่าเขาเหล่านั้นไม่มีความรู้ความสามารถ แต่อาจจะมิได้ให้ความสำคัญ กับเรื่องสมดุลย์แห่งพลัง ที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี้มากพอ
จึงทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ออกมา ตกเข้าสู่สถานะที่เรียกกันว่า การชิงสภาพของพลัง ซึ่งล้วนส่งผลให้เกิดความโกลาหนยุ่งเหยิง และเข้าไปรบกวน สมดุลย์ดั้งเดิมของสถานที่ และสภาพแวดล้อม จนเกิดความเสียหาย และสุดท้ายก็วกกลับ ไปทำร้ายระบบพลังงาน ในภาพรวมของตัวอาคาร รวมไปถึงชะตากรรมของคน ที่ต้องอาศัยอยู่ในสถานที่นั้นโดยปริยาย
บ่อยครั้งที่ผู้เขียนจะพูดคุย กับเพื่อนฝูงที่เป็นศิลปิน โดยพยายามที่จะเรียนรู้ จากพวกเขาในแง่มุมของศิลปะ เพื่อที่จะหาหนทางมองให้เห็น ซึ่งความงามที่ผสานลงตัว เพราะพลังแห่งความงาม กับพลังแห่งดุลยภาพ แท้จริงแล้วก็คือสิ่งเดียวกัน ดังนั้นการปรับชะตาที่คำนึงถึงเรื่อง ของสมดุลย์แห่งพลัง และความงามนี้ เมื่อทำสำเร็จสมบูรณ์แล้ว ย่อมดูดีและบังเกิดความงาม ที่สมบูรณ์พร้อมในตัวเอง
ดังนั้นหากต้องทำการปรับชะตา ให้ผู้ใดหรือสถานที่ใด การมีมุมมองทางศิลปะหรือ ที่เรียกกันว่าทัศนศิลป์นั้น ก็เป็นศาสตร์สาขาหนึ่ง ที่ผู้ปรับชะตาควรจะเรียนรู้ หรือฝึกฝนให้เกิดมุมมองดังกล่าวไว้ เพราะมันจะเป็นประโยชน์มาก หลังจากที่นักปรับชะตา ได้ทำการคำนวณผลลัพธ์ ของชะตากรรม โดยภาพรวมทั้งหมดออกมา จนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
พวกเขาย่อมรู้ว่าจะต้องเพิ่มเติม หรือตัดทอนสิ่งใดออกไปบ้าง เพียงแต่การกระทำดังกล่าว ที่ดำเนินอยู่บนความงามแห่งทัศนศิลป์ ย่อมสร้างความกลมกลืน ได้อย่างดีเยี่ยม และเกิดดุลยภาพ ที่ยกระดับสูงขึ้นมากกว่า การปรับแต่งแบบดิบๆ หรือแบบไร้ศิลปะเป็นธรรมดา
จากหลักการที่กล่าวมาข้างต้นนี้เอง เราจึงสามารถนำมาประยุกต์ เพื่อทำให้เกิดพลังของสถานที่ ให้มีความรุ่งเรืองในระดับต่างๆ ตามที่ต้องการได้ โดยการจะทำให้เกิดบทบาทของพลังดังกล่าว นอกจากพลังโดยพื้นฐานของสถานที่แล้ว ก็ต้องยอมรับว่า ในปัจจุบันเรายังสามารถ ใช้ของประดับตกแต่งต่างๆ ที่เพิ่มเติมเข้าไป เพื่อทำการยกระดับของพลังในสถานที่นั้นๆ ให้เกิดสมดุลย์ที่สูงยิ่งขึ้นได้
ยกตัวอย่างเช่น มีห้างสรรพสินค้าสองแห่ง ที่หันหน้าไปในทิศทางเดียวกัน อยู่ในบริเวณที่ใกล้เคียงกัน จนเรียกได้ว่ามีผลกระทบ จากสภาพแวดล้อม ที่ไม่ต่างกันมากนัก ซึ่งจากเหตุปัจจัยพื้นฐานทั้งหมดนี้ เมื่อพูดในแง่ของพลังพื้นฐาน จึงย่อมมีชะตาดิน หรือชะตาอาคาร ที่คล้ายคลึงกัน และเพื่อให้การทำความเข้าใจชัดเจนขึ้น ผู้เขียนก็จะขอสมมติว่า เจ้าของอาคารก็มีดวงชะตาคน ที่ใกล้เคียงกันด้วย เพื่อเป็นการควบคุมตัวแปรในการพิจารณาโจทย์ดังกล่าวให้กระชับยิ่งขึ้น
ในกรณีทั้งสองห้างนี้ หากทำการปรับชะตาตามเงื่อนไขข้อกำหนด ที่มีส่วนคล้ายคลึงกันข้างต้นแล้ว ก็ต้องบอกว่า การลงมือปรับแก้ก็จะเหมือนกันโดยปริยาย แต่หากนำเอาทัศนะทางศิลปะ หรือความงามเข้าไปเป็นองค์ประกอบ โดยห้างหนึ่งเน้นในเรื่องของความงามเชิงศิลป์ แต่อีกแห่งเป็นการปรับแต่ง ตามหลักวิชาธรรมดาทั่วไป ผลที่ได้ก็ต้องบอกว่า พลังแห่งความงามจะสามารถ ยกระดับของดุลยภาพแห่งพลัง ให้สูงขึ้นได้มากกว่า
โดยอาศัยหลักการของ สรรพสิ่งจัดกลุ่มตามสภาพ ที่เคยอรรถาธิบายมา ในบทก่อนหน้านั้น เมื่อสถานที่หนึ่งมี ทั้งพลังของดุลยภาพ และความงามที่ประสานสอดคล้อง กลมกลืนอยู่ด้วยกัน พลังที่รุ่งเรืองย่อมเคลื่อนเข้าหา มากกว่าเป็นธรรมดา เพราะพลังที่มีสมดุลย์ชั้นสูง ก็ย่อมเข้าหาสถานที่ ซึ่งมีสมดุลย์พลังระดับเดียวกัน เหมือนกับคนรวย ก็มักจะชอบคบคนรวย อะไรประมาณนั้น
การคำนึงถึงความงามในการปรับแต่งชะตากรรม จึงเป็นสิ่งที่ควรจะให้คุณค่า และใส่ใจในทุกครั้งที่สามารถกระทำได้ เพราะนอกจากจะหลีกเลี่ยง สภาวะการชิงสภาพของพลังแล้ว ยังจะช่วยยกระดับของสมดุลย์แห่งพลัง ในภาพรวมได้มากขึ้นด้วย จากตัวอย่างห้างสรรพสินค้าที่ยกมาข้างต้น ท่านผู้อ่านจะพบเองว่า หากห้างไหนตกแต่งด้วยความสวยงามหรูหรา มีแสงสว่างที่พอเหมาะ สภาพแวดล้อมโดยรอบที่ลงตัว
ก็ย่อมดึงดูดความสนใจของผู้คน ให้แวะเวียนเข้าไปเลือกซื้อหาสิ่งของ ได้มากกว่าห้างที่ไม่ลงทุน ในเรื่องดังกล่าวเป็นธรรมดา ฉันใดก็ฉันนั้น การที่พลังมงคลจะเลือก เคลื่อนเข้าหาอาคารสถานที่ ซึ่งผ่านการปรับแต่งชะตากรรม มากน้อยเพียงใดนั้น ก็ต้องขึ้นกับสองปัจจัยดังกล่าว คือ หากชิงสภาพมากก็จะเข้าได้ยาก เพราะมีแต่สภาพสับสนยุ่งเหยิงแต่แรกเริ่ม และแม้จะไม่ชิงสภาพแต่ไร้ความงาม พลังก็จะเข้าเฉพาะระดับธรรมดาสามัญ ไม่สามารถดึงดูดพลังรุ่งเรืองระดับสูงได้
แต่ในการปฏิบัติจริงเพื่อปรับชะตานั้น ก็ยังต้องย้ำเน้นว่าให้ค่อยเป็นค่อยไป อย่างน้อยดึงดูดให้มีพลังงานที่ดีเข้ามาก่อน ยังไม่ต้องไปคำนึงครุ่นคิด ให้วุ่นวายมากความ อุปมาเหมือนกับว่า ขอให้มีไฟฟ้าต่อเข้ามาถึงบ้านก่อน แล้วค่อยมาดูว่าจะซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่ดีมากน้อยเพียงใดอีกที เพียงแต่ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นการพูดถึงกรณีที่พึงปฏิบัติ
หากสามารถกระทำได้ โดยไม่เกินกำลัง ก็ควรที่จะกระทำ เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด และด้วยหลักการนี้ การนำเคล็ดวัตถุต่างๆ มาติดตั้งเอาไว้ เพื่อปรับแก้ในเรื่องของพลังลบ หรือพลังพิฆาตรูปแบบต่างๆ นั้น ถ้าจะให้ดีก็ควรจะมีความพิถีพิถันเอาไว้บ้าง ไม่ใช่ติดตั้งหรือวางส่งๆ ไป โดยไม่สนใจในเรื่องของ ความงามหรือความกลมกลืน ผู้เขียนเคยพบเห็นอาคารสถานที่บางแห่ง ที่ตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมที่ทันสมัย แต่กลับนำเคล็ดวัตถุหลากสีสัน ไปห้อยแขวนเอาไว้ ที่ประตูทางเข้าด้านหน้า
จนแลดูรกรุงรังยุ่งเหยิงไปหมด ทำให้เกิดสภาพที่ขัดแย้งกันเอง ระหว่างรูปแบบของตัวอาคาร กับเคล็ดวัตถุเหล่านั้นอย่างรุนแรง ท้ายสุดก็กลับกลายเป็นการชิงสภาพ ของพลังอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ซึ่งไม่เพียงจะเป็นการทำลายความงาม และสมดุลย์ของทัศนียภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นการเพิ่มแรงเสียดทาน จากความขัดแย้งระหว่าง พลังของทั้งสองสิ่งคือ เคล็ดวัตถุกับตัวอาคารนั้น
ผลที่ได้จึงย่อมไม่อาจลงเอยในด้านที่ดี ประการแรกเคล็ดวัตถุเหล่านั้นจะสูญเสียพลัง ในการส่งเสริมหรือแก้ไข เพราะแรงเสียดทานของพลังดังกล่าว โดยเฉพาะคนที่ผ่านไปมา เมื่อมองดูจะรู้สึกว่า มันขัดแย้งไร้ความกลมกลืน ความคิดเหล่านี้นั่นเองที่มีส่วน ในการสร้างพลังด้านตรงข้าม มาสลายพลังของเคล็ดวัตถุเหล่านั้น อีกทั้งเมื่อมีคนพบเห็นและสอบถาม
ผู้ที่เป็นเจ้าของอาคารก็ต้องคอยตอบว่า นำมาติดด้วยจุดประสงค์ใด หากเป็นการแก้ไขพลังพิฆาต หรือสิ่งอัปมงคลต่างๆ ในทุกครั้งที่กล่าวถึง ก็ไม่ต่างจาการสาบแช่งตัวเองไปในตัว เพราะต้องพูดถึงสิ่งที่ไม่ดีนั้นซ้ำๆ อยู่บ่อยครั้ง ทำให้เกิดสภาพที่เป็นข้อห้าม ของการปรับชะตาข้อหนึ่ง คือ หลักของการไม่เห็นคือไม่มี ดังนั้นเมื่อยังเห็นอยู่ มันก็เหมือนเป็นการย้ำเตือน ให้ระลึกถึงพลังอัปมงคล เหล่านั้นอยู่ตลอดเวลา
หลักไม่เห็นคือไม่มีนี้ต้องถือเป็นหลักการสำคัญ ที่อิงอาศัยในสิ่งที่มีพลังที่สุด อย่างหนึ่งของจักรวาล นั่นคือความคิดของผู้คน ดังนั้นสิ่งใดที่ไม่ดี เมื่อต้องการปรับแก้ ก็ควรทำให้มันหายไป ยิ่งไม่เห็นได้เป็นดีที่สุด เพราะมันจะทำให้คนลืมเลือนสิ่งนั้น และไม่กล่าวถึงมันอีก ดังนั้นเมื่อต้องปรับชะตา
โดยการใช้เคล็ดวัตถุในกรณีดังกล่าว ก็ควรทำให้มันกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม จนคล้ายเป็นส่วนหนึ่งในของประดับอื่นๆ ยิ่งไม่มีใครสังเกตุเห็นได้เป็นดีที่สุด เพราะจะไม่มีการกล่าวถึงอีก ในทางตรงกันข้าม การนำเคล็ดวัตถุมาช่วยกระตุ้นพลังมงคล ก็ควรทำให้โดดเด่น มองเห็นได้ง่าย ยิ่งมีการกล่าวถึงอยู่ตลอดเวลาก็ยิ่งดี แต่ยังต้องไม่ละเมิดกฏแห่งความสมดุลย์ดังกล่าว
และด้วยหลักการนี้ ชาวจีนจึงชอบเขียนตัวอักษร เป็นข้อความที่มีความหมายมงคลต่างๆ แล้วนำมาประดับตกแต่งเอาไว้ ทั้งแบบที่เป็นภาพอักษรศิลป์โดยตรง หรือที่แซมซ้อนอยู่ในภาพวาดมงคลทั่วไป ซึ่งการกระทำลักษณะดังกล่าวนี้ แท้จริงก็คือหลักการกระตุ้นอย่างดีเยี่ยม เพราะทุกครั้งที่คนเห็นและได้อ่านข้อความนั้น ก็จะเท่ากับเป็นการอำนวยพรให้แก่สถานที่ และเจ้าของอาคารแห่งนั้นไปในตัว
(มิติทางปัจจัยสภาพ ep.7 พลังแห่งดุลยภาพ)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา