2 ส.ค. 2023 เวลา 12:55 • ท่องเที่ยว
โตเกียว

ออกไปแตะขอบฟ้าให้ราเมงที่ญี่ปุ่นเยียวยา EP2: เปิดหูเปิดตา และเปิดโลก

อย่างที่เคยพูดถึงใน EP ก่อนหน้าครับ ว่า แผนแรกที่วางไว้คือการไล่เก็บให้ได้จำนวนร้านมากที่สุด ถ้าไม่จำเป็นจะไม่ยอมเสียเวลาเดินทางออกนอกตัวเมืองไกลๆ
ดังนั้น แม้จะเป็นร้านอันดับ 1 อย่าง Iida Shoten ผมก็ตัดใจว่าจะไม่เอาตั้งแต่แรกด้วยซ้ำครับ ทั้งเรื่องของตำแหน่งที่ตั้งร้านที่อยู่ในเมือง Yugawara เมืองเล็กๆที่ตั้งแต่อยู่ค่อนข้างไกลจาก Tokyo (อีกนิดเดียวถึง Hakone), ความยากในการจองที่แข่งกันยิ่งกว่าบัตรคอนเสิร์ตที่หมดและเต็มกันในหลักนาที แถมเป็นการจองสัปดาห์ต่อสัปดาห์ ทำให้เป็นอุปสรรคต่อแผนการเที่ยวของชาวต่างชาติอย่างมากครับ
แต่ด้วยดีกรีและการการันตีจากทุกสำนักไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่นหรือคนไทยที่เคยไปทานมาแล้ว จะไม่ลองมันสักตั้งก็ยังไงอยู่ครับ ถึงจองไม่ได้แต่ก็ได้ลองทำดูแล้ว จะได้ไม่เสียใจทีหลัง
สำหรับหน้าเว็บ Omakase.in ของร้าน Iida Shoten จะเปิดให้เข้ามาจองในทุกๆวันอังคาร เวลา 12.00 ตามเวลาท้องถิ่นที่ญี่ปุ่น (ซึ่งก็คือ 10 โมงเช้าบ้านเรานี่เอง) ดังนั้น ผมจึงได้มาเตรียมตัวรอกดตั้งแต่ 15 นาทีก่อนหน้าครับ กลัวลืม
ตัวอย่างหน้าเว็บในการจองนะครับ
แล้วก็มาถึงช่วงเวลาสำคัญครับ หลังจากที่กด refresh ในช่วงกำลังจะ 10 โมงเพื่อให้ปุ่มจองขึ้นมา และพยายามที่จะ book เข้าไปหลายที ก็ไม่สำเร็จครับ ไม่ว่าจะพยายามเปลี่ยนวัน เปลี่ยนรอบขนาดไหนก็ยังไม่สำเร็จ จนกระทั่งหน้าเว็บแจ้งว่า ไม่มี slot ว่างแล้ว...
ช่วง No Name Noodle เริ่มใช้การจองหน้าเว็บใหม่ๆยังไม่ดุเดือดขนาดนี้เลยนะ ให้ตายเถอะ
ผมที่นั่งบ่นอยู่ที่หน้าจอ
แต่แล้ว เหมือนฟ้ามีตาครับ มีอีเมลเข้ามาจากทางเว็บ ว่ามี Cancel slot ว่างสำหรับ 1 ที่
เมลเข้ามาขนาดนี้ รีบกดสิครับ
ผลการจอง รู้สึกเหมือนได้รับชัยชนะตั้งแต่ยังไม่ได้ไป (ฮา)
ในที่สุดก็ทำได้ครับ จองได้เสียที
ถ้าเทียบใน 3 ร้านที่เป็นระดับ Top และให้จองผ่าน Omakase.in นั้น Iida Shoten ถือว่ายากที่สุดแล้วครับ ส่วน Tomita แม้ว่าจะต้องจองเช่นเดียวกัน แต่ก็ยังไม่ได้เต็มเร็วขนาดนี้ ส่วน Tsuta นี่ชิลมากๆ เผลอๆไม่ต้องจองยังได้ครับ
ทำให้ได้แผนสุดท้ายก่อนบิน (4 กรกฎาคม) เป็นตามนี้ครับ
วางแผนไว้ได้สุดๆเท่านี้ ส่วนของจริงจะตามแผนหมดหรือไม่ก็มาลุ้นกันครับ
ซึ่ง โดยส่วนใหญ่แล้ว ร้านใน list จะเป็นสายชินตัน หรือน้ำใส โดยเน้นไปที่ Shoyu Ramen ซึ่งเป็นสายหลักที่มีชื่อเสียงที่สุดสำหรับ Tokyo ครับ ส่วนร้านอื่นๆที่ไม่ได้มี Shoyu Ramen เป็นหัวหอก แต่มีเมนูอื่นที่น่าสนใจ ก็จะลองไปเก็บ ลองไปทานให้รู้ครับ ซึ่งจะค่อยๆลงรายละเอียดให้ทีละร้านตอนไปถึงจริงนะครับ มาดูกันว่า 20 ร้านใน 9 วัน จะประสบความสำเร็จหรือไม่
แต่ยังไม่ทันจะไปถึงร้านแรก ไฟลท์บินเช้ามืดก็เล่นผมซะแล้วครับ...
เดิมทีผมเองก็ค่อนข้างจะมั่นใจครับว่าเป็นคนที่ค่อนข้างจะอยู่ง่าย หลับง่าย นอนบนเครื่องไป ถึงแล้วก็เที่ยวต่อได้เลยไม่น่ามีปัญหาอะไร...
แต่ก็ไม่ได้นึกครับว่าจะเจอเด็กร้องบนเครื่องบินจนนอนไม่หลับ ได้หลับๆตื่นไปสองสามงีบเท่านั้น จะเหลือสติพอให้ตะลุยร้านแรกเลยไหวไหมนะ...
พยายามข่มตานอนแล้วแต่ไม่หลับ ได้แค่ถ่ายริมหน้าต่างไปพลางๆ
มิหนำซ้ำ พอ Landing แล้วยังเจอความยาวของตม.ญี่ปุ่นอีกครับ ส่วนตัวผมทำ Visit Japan มาแล้ว แป๊บเดียวผ่านจริง แต่ตอนต่อคิวจะเห็นว่ามีหลายคนหลายกลุ่มก่อนหน้าผม ที่กรอกเอกสารแล้วข้อมูลไม่ครบ ต้องแก้นู่นแก้นี่กันหลายคนจนกินเวลาไปเกือบชั่วโมง ชวนให้อารมณ์เสียเหมือนกันครับ กาแฟก็ยังไม่ได้กิน นอนก็น้อย ยังมาเจออะไรแบบนี้อีก
แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้ครับ ไม่รอช้าลงไปจัด Americano ประคองชีวิตทันที
Americano ของ Doutor ที่ชั้นล่างของสนามบิน Narita ครับ ขอเติมก่อนจะนั่งรถไฟเข้าเมือง
หลังจากนั้นก็เป็นการนั่ง Narita Sky Access เข้าเมืองครับ ไปลงที่ Oshiage Station แล้วค่อยต่อรถไฟมาที่สถานี Ningyocho เพื่อเอากระเป๋าไปเก็บที่ที่พัก
ด้วยความที่เป็นการไปคนเดียว สัมภาระไม่เยอะ และไม่ต้องเปลี่ยนเมืองย้ายที่พัก ผมก็เลยเลือกเป็น Nine Hours Ningyocho ที่เป็น Capsule Hotel เปิดใหม่ไม่นานมานี้ครับ (ด้วยความที่เคยนอน Capsule แล้ว และค่อนข้างมั่นใจในความ"หลับง่าย"ของตัวเองอีกนั่นแหละครับ ฮา)
หลังจากที่ Check-in และเอาของฝากไว้ที่ Locker ก็ได้เวลาลุยอย่างเป็นทางการครับ ร้านแรกที่ผมจะไปตามแผนคือ Ramen Shibata ซึ่งเป็นหนึ่งใน Shoyu Ramen ที่พี่ปิ๊ปโป้ review ไว้ และพี่โจเองก็แนะนำครับ ว่าอร่อย
เหตุผลในการจับร้านนี้ขึ้นมาเป็นร้านแรกของทริปก็คือ เป็นร้านที่ค่อนข้างไกลจากร้านอื่นรวมถึงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญครับ ถ้าเอาไปปนกับวันอื่นอาจจะทำให้เสียเวลาในการเดินทางหรือเวลาชนกับร้านอื่นได้
เส้นทางการเดินทางจากที่พักไปยัง Ramen Shibata
ด้วยความที่ไม่ได้มาญี่ปุ่นหลายปีตั้งแต่ก่อนมี Covid รวมถึงไม่ได้แตะภาษาญี่ปุ่นเลย มันก็จะแอบ panic เล็กๆครับ ยังดีที่มี Google Translate และ Google Maps ช่วยให้สามารถเดินทางมาถึงที่ร้านได้โดยสวัสดิภาพ (แม้ว่าจะต้องกด Calibrate ที่ Google Maps เพื่อปรับทิศทางค่อนข้างบ่อยก็ตามเพื่อไม่ให้หลงทิศ)
ทางเดินญี่ปุ่นนี่มันเรียบเดินสบายจริงๆ
หน้าร้าน Ramen Shibata มีคนรอก่อนหน้าอยู่ 2 คน
สำหรับ Ramen Shibata เป็นร้าน 1 ห้องเล็กๆครับ เป็นที่นั่งแบบบาร์ 7 ที่นั่ง (แทบทุกร้านที่ไปในทริปนี้จะเป็นห้องเดียวบาร์นั่งแบบนี้หมด สำหรับท่านที่เคยชินกับการนั่งโต๊ะเป็นครอบครัวแบบร้านอาหารที่ไทยอาจจะไม่ชินครับ) ส่วนการต่อคิวก็คือ นั่งรอหน้าร้านตามลำดับครับ
วิธีการ order คือ กด order ที่ต้องการจากตู้ แล้วนำตั๋วที่ได้ไปยื่นให้ที่ counter ครับ (แทบทุกร้านใช้วิธีแบบนี้ในการจัดการออเดอร์หมดเช่นกัน ซึ่งบางร้านก็จะมีภาษาอังกฤษให้ แต่ส่วนใหญ่จะไม่มีครับ)
ตู้กดตั๋ว ซึ่งผมสั่งแบบ Special ไปครับ (1480 เยน)
มาเสิร์ฟแล้วครับ กลิ่นหอมน้ำมันไก่มากๆ
จะเรียกว่าเป็นชามเปิดโลกเลยก็ไม่ผิดครับ ตอนอยู่ไทยเวลาทาน Shoyu Ramen หาได้น้อยร้านมากที่จะใส่ใจและทำให้ Shoyu เป็นพระเอกของชามนั้นจริงๆ ทั้งกลิ่นทั้งรสถือว่าดีมาก รู้สึกฟินและคุ้มแล้วที่นั่งรถออกมาไกลๆ
ซุปอร่อยมากๆ ความเป็นโชยุอัดแน่นแบบกำลังดี
เส้นมีความหอม สัมผัสนุ่ม ลื่น
เครื่อง Topping แต่ละส่วนปรุงรสมาดี อร่อยแต่ไม่แย่งซีนเส้นกับซุป
ซดหมดชามไม่มีเหลือ
หลังจากที่เติมพลังกายพลังใจเรียบร้อย ก่อนจะกลับไปพักร่าง ผมก็ถือโอกาสแวะไปเยี่ยมหนึ่งในสถานที่ที่ไม่ได้ไกลจาก Ramen Shibata นัก และเป็นที่ที่คนที่เคยดูอนิเมะเรื่อง Bocchi the Rock จะต้องคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างแน่นอน กับร้าน Shelter ที่เป็นต้นแบบของ Starry ในเรื่องครับ
วันที่ไป (5 กรกฎาคม) เหมือนจะมีโชว์ด้วย แต่บัตรน่าจะหมดแล้วครับ
น่าจะด้วยความโด่งดังของ Bocchi ทำให้ทางร้านต้องแปะป้ายห้ามลงบันไดมาถ่ายรูปอย่างเดียวครับ
หลังจากที่จบไปกับชามแรกซึ่งประทับใจมากๆ ในวันถัดไปก็จะต้องตื่นเช้าเพื่อไปแคมป์ร้าน Michelin 1 ดาวอย่าง Ginza Hachigou ครับ จะตื่นทันหรือไม่ ไปแล้วจะได้คิวที่เท่าไหร่ มาลุ้นกันครับ (โปรดติดตามใน EP ต่อไป)
โฆษณา