2 ส.ค. 2023 เวลา 13:03 • ท่องเที่ยว
โตเกียว

ออกไปแตะขอบฟ้าให้ราเมงที่ญี่ปุ่นเยียวยา EP3: ค้นฟ้าคว้าร้านติดดาว(มิชลิน)

เข้าสู่วันที่ 2 ของการตามล่าร้านราเมงในละแวกโตเกียวครับ
ตามแผนที่ทำไว้ วันนี้เป้าหมายของผมคือ 2 ร้านที่ได้ Michelin Star 1 ดวงกันทั้งคู่ เริ่มตั้งแต่ Ginza Hachigou ในรอบเที่ยง และ Konjiki Hototogisu ในรอบเย็นครับ
เป้าหมายของวันนี้ Ginza Hachigou (ขวามือ) และ Konjiki Hototogisu (ซ้ายมือ)
สำหรับ 2 ร้านนี้ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ใกล้กัน แต่เนื่องด้วยเวลาที่ต้องใช้ในการแคมป์เช้าของ Ginza Hachigou ครับ ก็เลยเป็นร้านแรกๆที่ผมตัดสินใจเอามาไว้ต้นทริป ส่วน Konjiki Hototogisu มีข้อดีอย่างหนึ่งคือเปิด 2 รอบ ก็เลยเป็นตัวเลือกที่ดีในการเอามาอุดรอบเย็นครับ
ไม่รู้ว่าด้วยความตื่นเต้นหรือกลัวหรืออย่างไร จากที่เห็นในรายการ "Sauce ยกซด in Japan" ไปรอที่ร้าน Ginza Hachigou ก่อนสัก 2 ชั่วโมงก่อนร้านเปิดแล้วมีคนมาต่อก่อนราว 5 คน ผมก็เลยตั้งเวลาปลุกไว้ที่ 6.30 น. ครับ เผื่อเวลาโดยกะว่า มาถึงหน้าร้านน่าจะซัก 8 โมงค่อยหากาแฟกินหาที่นั่งชิลๆก่อนมาต่อแถวก็น่าจะยังทันเป็นคิวแรกๆ
ที่ไหนได้ มาถึงหน้าร้าน 7 โมง 40 นาที มีลุงชาวญี่ปุ่น 1 ท่านมารออยู่หน้าร้านก่อนแล้วครับ 0.0
นี่ว่ามาเร็วจนคิดว่าน่าจะคิว 1 แต่ก็ยังมีคนมาเร็วกว่าอีกครับ...
ยอมใจเลยจริงๆครับ
แล้วก็เป็นไปอย่างที่คาดครับ หลังจาก 8.30 น. ก็จะมีคนมาทยอยต่อแถวเรื่อยๆ แม้ว่าอากาศจะร้อน แดดแรงจนต้องหยิบร่มขึ้นมากางก็ตาม
ป้าย Guideline สำหรับคนที่ต่อคิวครับ มีทั้งภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษ (เฮ้อ รอดตัวไป)
ทางร้านมีร่มให้นะครับสำหรับคนที่ไม่ได้พกมา
หลังจากที่รอไป 2 ชั่วโมง ทนแดดทนฝนกันไป ทางร้านก็เริ่มทยอยนับจำนวนคนและให้เข้าไปกดตั๋วครับ
ง่ายๆไม่ซับซ้อน ไม่กี่เมนูครับ แถมมีภาษาอังกฤษให้
โดยส่วนตัว ผมพยายามจะใช้เวลากับตู้กดให้น้อยที่สุดนะครับ แม้กระทั่งการถ่ายรูปตู้กด ก็พยายามถ่ายโดยใช้เวลาน้อยที่สุด หรือถ่ายตอนที่ทานเสร็จแล้วและไม่มีคนใช้ด้วย เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผู้อื่นครับ แต่ถ้าร้านไหนที่เข้มงวดมากๆ มีกฎชัดเจนว่าถ่ายได้แต่อาหาร ก็จะถ่ายแต่อาหารอย่างเดียวครับ
แน่นอนครับว่า มาแล้วก็ต้องสั่ง Tokusei (Special) แน่นอน
หลังจากนั้นทางร้านก็จะเอาตั๋วที่คุณกดไป แล้วก็กลับมารอที่แถวเช่นเดิมจนกว่าจะถึงคิวครับ
Tokusei Chuka Soba (1400 เยน)
กลิ่นแรกที่ได้หลังจากที่ชามนี้มาเสิร์ฟก็คือ กลิ่น aging แฮมในน้ำซุปครับ ตรงกับข้อมูลที่บอกว่าเป็นซุปที่ใช้การเอาแฮมพิเศษมาต้มเพื่อเอารสชาติและกลิ่น ซึ่งจะแตกต่างจากราเมงแบบญี่ปุ่นทั่วไปที่กลิ่นอาจจะเป็นกลิ่นจากไก่ กลิ่นของทะเลแห้งที่ใช้ต้มซุป หรืออาศัยกลิ่นจาก aroma oil ด้านบน เป็นต้นครับ
ส่วนของความเค็มก็จะเป็นความเค็มจากแฮม ไม่ได้เป็นความเค็มในแบบที่มาจากการปรุง Tare แบบที่ทำกันในราเมงญี่ปุ่นที่จะมี character ชัดว่าเป็น Shoyu หรือ Shio เป็นอะไรที่รู้สึกแปลกใหม่มากๆ ส่วนเส้นก็มีความแข็ง ค่อนข้างสู้ฟัน แต่ก็เข้ากันได้ดีกับซุป
ซุปที่ทานไปคำแรกแล้วมีความแฮม มีกลิ่น aging ชัดมาก แต่อร่อยครับ ไม่ได้รู้สึกแปลก
เส้นที่ว่าใช้ส่วนผสมจากแป้งดูรัม (ที่ใช้ทำพาสต้า) ก็ทานแล้วความรู้สึกยังเป็นราเมงอยู่ครับ
ส่วนของ Topping ที่เป็นหมูสามชั้นก็ไม่ได้ตุ๋นจนนิ่มครับ ยังมี Texture สู้ฟันอยู่บ้าง หน่อไม้ไม่มีกลิ่นดอง ปรุงรสอ่อนๆ ทุกอย่างไม่ได้ก่อกวนความโดดเด่นของซุปเลยครับ ถือว่าเป็นราเมงที่มีความน่าสนใจมากชามหนึ่งเลยทีเดียว สมกับดาวมิชลินที่ได้จริงๆครับ
Topping รสอ่อน แต่อร่อยแบบไม่ก่อกวนรสชาติซุปครับ
ซดซุปหมดชามเรียบร้อย
หลังจากที่ทานเสร็จ ผมก็เดินออกมานอกร้าน พบว่าแถวที่เดิมทีเริ่มต่อกันยาวแล้ว ก็ยังมีคนมาทยอยต่อเรื่อยๆครับ ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าชามสุดท้ายจะไปจบที่กี่โมง แต่ผมขอตัวก่อนละนะครับ อิอิ
คิวหน้าร้านตอนออกมา
หางแถวที่ต่อจากหน้าร้านในภาพที่แล้ว
ทั้งสองภาพมีจุดประสงค์เพื่อแสดงให้เห็นจำนวนคนเท่านั้น ก็เลยขอเซนเซอร์ใบหน้าของคนที่ติดอยู่ในภาพไว้นะครับ
หลังจากนั้นเป็นช่วงเตร็ดเตร่ครับ กว่าจะถึงช่วงเย็นที่จะไปที่ Konjiki Hototogisu ก็ยังเหลือเวลาอีกค่อนข้างเยอะ เลยถือโอกาสไปเดินเล่นแถวละแวก Ginza และตลาด Tsukiji ไปพลางๆ หากาแฟหาขนมกินไปพลางๆครับ
Blue Mountain เย็นๆสู้กับแดดร้อนๆครับ
ไดฟุกุไส้องุ่น Shine Muscat ครับ อร่อยแต่ราคาเอาเรื่อง
เดินเก็บบรรยากาศไปเรื่อยๆ
หลังจากที่เตร็ดเตร่เก็บบรรยากาศ (และอากาศร้อนๆ) กันสักพัก ก็ได้เวลาไปรอแคมป์ที่ร้านถัดไปครับ Konjiki Hototogisu
ตำแหน่งของร้านจะอยู่ระหว่างสถานี Shinjuku-sanchome กับ Shinjuku-gyoenmae ครับ แล้วแต่ว่าใครนั่งรถไฟสายไหนมา สำคัญคือร้านจะอยู่ในหลืบเล็กๆด้านหลังครับ
สำหรับวิธีการจอง จะเป็นการเข้าแถวรอรับบัตรคิว แล้วค่อยกลับมาทานตามเวลาที่อยู่ในบัตรคิวของตัวเองครับ
หน้าร้านครับ
รับบัตรคิวตอน 17.30 แล้วค่อยกลับมาใช้บริการตอน 18.30
รายละเอียดกฎต่างๆที่อยู่หน้าร้าน ทั้งภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษ
และหลังจากที่เราไปเดินไปเดินมาอีกเกือบ 1 ชั่วโมง ก็ถึงเวลาที่จะต้องเดินกลับมาที่ร้านเพื่อทานราเมงครับ
ป้ายภาษาอังกฤษสำหรับชาวต่างชาติเวลาที่จะกดตู้ครับ
และแน่นอนครับว่า ผมจะต้องสั่งเป็น Special Shio Soba ซึ่งเป็น No.1 recommend แน่นอน (ตำแหน่ง A4 บนตู้)
คำบรรยายของ Shio Soba ที่แปะที่หน้าร้านครับ
สำหรับ Shio Soba หรือจะเรียกว่า Shio Ramen ของที่นี่ ซุปเบสจะเน้นความเป็นทะเลมาแน่นๆครับ หนักไปทางหอยฮามากุริ รสเกลือที่ blend มากำลังดี ตัวเส้นขนาดเล็ก รูปทรงแบนเล็กน้อย Texture หนึบสู้ฟันและอร่อยมาก แค่เส้นกับซุปก็อร่อยแล้ว
หลังจากมาเสิร์ฟครับ กลิ่นทะเลผสมกับกลิ่น truffle oil ลอยมาเลย
เริ่มจากชิมซุปเปล่าๆ
ต่อด้วยเส้นครับ ซึ่งผมประทับใจมาก
นอกจากนี้ยังมีลูกเล่นอีก 2 ส่วนคือ duxelles ที่ทำจากเห็ด porcini เพื่อเพิ่มความ umami เพิ่มความลึก และซอสที่ทำจาก inca berry มีรสเปรี้ยวหวาน ตัดกันกับซุปได้ดี ยิ่งทานไปถึงท้ายๆชามจะยิ่งได้รสชาติที่มีความลึกและซับซ้อนขึ้นครับ
ลองชิมซุปที่ผสมกับ porcini mushroom duxelles ได้ความลึกและกลมกล่อมเพิ่มขึ้น
เปลี่ยนบรรยากาศมาลองซุป+ inca berry sauce มีรสเปรี้ยว+หวานมาตัดเล็กน้อย
หมูชาชูมีกลิ่นรมควันเล็กน้อย Texture สู้ฟัน
ทานจนซอสต่างๆผสมกับซุปที่ท้ายชามครับ รสชาติมีความซับซ้อนขึ้นมาก ทานได้สนุกทีเดียวครับ
หมดชามอีกเช่นเคย
ถือว่าเป็นอีกร้านที่สมกับดาวมิชลินที่ได้รับครับ และวันนี้ก็เป็นไปตามแผน เก็บได้ครบ 2 ร้านตามที่คิดไว้ ยังไม่มีอะไรหลุดจากแผน
ส่วนในวันพรุ่งนี้ ถือว่าเป็นวันสำคัญที่จะได้ออกไปแสวงบุญถึงร้านอันดับ 1 ของโลกอย่าง Iida Shoten ครับ มาลุ้นกันว่า เดินทางไกลขนาดนี้จะเจออุปสรรคหน้างานหรือไม่ และสมดีกรีหรือไม่ครับ (โปรดติดตามใน EP ต่อไป...)
โฆษณา