3 ส.ค. 2023 เวลา 23:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ข้อควรรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ "พันธบัตร" สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ในโลกการลงทุน

พันธบัตร เป็นตราสารหนี้ชนิดหนึ่ง เป็นเงินกู้ที่นักลงทุนให้กับผู้กู้ (โดยทั่วไปคือบริษัทหรือหน่วยงานของรัฐ)
ผู้กู้ตกลงที่จะชำระเงินให้กับนักลงทุนใน "อัตราดอกเบี้ยคงที่ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง"
และจะชำระเงินต้นของเงินกู้เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาที่กำหนด
อธิบายง่ายๆ คือ ผู้กู้ต้องการเงินจึงออกตั๋วเงินขายนักลงทุนเพื่อนำเงินมาใช้ และมีการกำหนดวันที่คืนเงินต้นและมีการจ่ายดอกเบี้ยให้เป็นงวดๆ นั่นเอง
เพื่อให้นักลงทุนหน้าใหม่รู้จักและเข้าใจเกี่ยวกับ "พันธบัตร" ให้มากขึ้น
บทความนี้จะมานำเสนอรายละเอียด สาระสำคัญ และข้อควรรู้เบื้องต้น เมื่อนักลงทุนสนใจที่จะลงทุนในพันธบัตร แบบให้เข้าใจง่ายๆ
  • ข้อมูลพื้นฐานที่ควรทราบเกี่ยวกับพันธบัตร
1. ประเภทของพันธบัตร
พันธบัตรมีอยู่หลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะและความเสี่ยงที่แตกต่างกัน
- พันธบัตรรัฐบาล ออกโดยรัฐบาลแห่งชาติเพื่อเป็นทุนสนับสนุนโครงการต่างๆ หรือชดเชยการขาดดุลงบประมาณ
ตัวอย่างเช่น US Treasury Bonds (ออกโดยรัฐบาลสหรัฐฯ) หรือ German Bunds (ออกโดยรัฐบาลเยอรมัน)
- พันธบัตรเทศบาล พันธบัตรเหล่านี้ออกโดยเทศบาลของรัฐท้องถิ่น และใช้เป็นเงินทุนสำหรับโครงการสาธารณะ เช่น โรงเรียน ถนน หรือโครงสร้างพื้นฐาน
 
ตัวอย่างเช่น พันธบัตรภาระผูกพันทั่วไปของรัฐแคลิฟอร์เนีย
- พันธบัตรบริษัท ออกโดยบริษัทต่างๆ เพื่อระดมทุนสำหรับการขยายกิจการ ซื้อกิจการ หรือวัตถุประสงค์อื่นๆ ขององค์กร
ตัวอย่างเช่น Microsoft อาจออกหุ้นกู้เพื่อระดมทุนสำหรับการวิจัยและพัฒนาใหม่
- พันธบัตรหน่วยงาน ออกโดยหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล
ตัวอย่างเช่น Freddie Mac และ Fannie Mae ในสหรัฐอเมริกา เพื่อสนับสนุนภาคส่วนเฉพาะเช่นที่อยู่อาศัย
2. มูลค่าที่ตราไว้หรือที่นิยมเรียกกันว่า "ราคาหน้าตั๋ว"
สมมติว่าบริษัทออกพันธบัตรมูลค่าที่ตราไว้ตอนออกอยู่ที่ 1,000 ดอลลาร์และอัตราดอกเบี้ย 5%
ซึ่งหมายความว่าผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับดอกเบี้ยรายปี 5% ของ 1,000 ดอลลาร์ ซึ่งเท่ากับ 50 ดอลลาร์
การจ่ายดอกเบี้ยอาจชำระเป็นรายครึ่งปีหรือรายปี ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของพันธบัตร
ซึ่งจะมีระบุแจ้งไว้ในเอกสารหรือหนังสือชวนซื้อ
และราคาหน้าตั๋วอาจเปลี่ยนแปลงได้ในตลาดเปิด ขึ้นอยู่กับความต้องการของนักลงทุน ณ ช่วงเวลานั้น
3. วันครบกำหนดของพันธบัตร
วันครบกำหนดของพันธบัตร โดยทั่วไปมักมีระยะเวลาตั้งแต่ 1 3 7 10 15 20 และ 30ปี หรือขึ้นอยู่กับผู้ออกพันธบัตรกำหนด
สมมติว่ารัฐบาลออกพันธบัตรมูลค่าที่ตราไว้ $1,000 และมีอายุครบกำหนด 10 ปี
หลังจากผ่านไป 10 ปี ผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับเงินคืน 1,000 ดอลลาร์ โดยผู้ออกพันธบัตรจะมีการชำระเงินต้นคืนในวันครบกำหนด
ซึ่งจะมีระบุแจ้งไว้ในเอกสารหรือหนังสือชวนซื้อ
4. อันดับเครดิต
พันธบัตรได้รับการจัดอันดับโดยหน่วยงานต่างๆ เช่น Standard & Poor's, Moody's หรือ Fitch โดยพิจารณาจากความน่าเชื่อถือ
ตัวอย่างเช่น หุ้นกู้จากบริษัทที่มีความมั่นคงทางการเงินอาจได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือสูงเช่น AAA ซึ่งแสดงถึงความเสี่ยงด้านเครดิตต่ำ
ในทางตรงกันข้าม พันธบัตรจากบริษัทที่ประสบปัญหาอาจมีอันดับเครดิตต่ำกว่า เช่น B ซึ่งบ่งชี้ถึงความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงขึ้น
นักลงทุนที่สนใจลงทุนในพันธบัตรใดๆ ก็ตามควรมีการเช็คอันดับเครดิตจากหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือ ก่อนตัดสินใจลงทุน
5. สภาพคล่องของพันธบัตร
พันธบัตรที่มีสภาพคล่องสูง มีการซื้อขายอย่างแข็งขันและสามารถซื้อหรือขายได้ง่าย จะทำให้นักลงทุนสามารถปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนได้ง่ายเมื่อเผชิญกับความเสี่ยง
ตัวอย่างเช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐมีสภาพคล่องสูง เนื่องจากความต้องการและปริมาณการซื้อขายที่แพร่หลายทั่วโลก
6. ผลกระทบทางภาษี
พันธบัตรแต่ละประเภทมีความแตกต่างกันในเรื่องภาษี ตามเงื่อนไขของผู้ออกพันธบัตร
ตัวอย่างเช่น หากคุณซื้อพันธบัตรที่ออกโดยรัฐบาล ในพันธบัตรบางรุ่น รัฐบาลอาจจะกำหนดว่ารายได้จากดอกเบี้ยไม่ต้องนำมาเสียภาษี
ซึ่งสามารถเช็คหรือหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ในเอกสารชวนซื้อหรือเว็บไซต์ของหน่วยงานรัฐ เช่น เว็บไซต์ของกรมสรรพากรและธนาคารแห่งชาติ
7. รายละเอียดหรือเงื่อนไขของพันธบัตร
พันธบัตรจะประกอบด้วยรายละเอียดที่จำเป็นเกี่ยวกับพันธบัตร เช่น อัตราดอกเบี้ย วันครบกำหนดไถ่ถอน และคุณสมบัติพิเศษใดๆ ในบางพันธบัตร ผู้ออกอาจมีเงื่อนไขพิเศษเพิ่มเข้ามา
ตัวอย่างเช่น อาจระบุว่าสามารถเรียกเก็บพันธบัตรได้ (สามารถไถ่ถอนก่อนกำหนด) หรือมีกองทุนจม (การระดมทุนเพื่อวัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์หนึ่งในอนาคต)
นักลงทุนที่น่าสนใจลงทุนในพันธบัตรใดๆ ก็ตามควรตรวจสอบรายละเอียดในส่วนนี้ให้ครบถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุน
ซึ่งจะมีระบุแจ้งไว้ในเอกสารหรือหนังสือชวนซื้อเช่นกัน
8. ความสัมพันธ์ของราคาพันธบัตรและอัตราผลตอบแทน
- ในกรณีของพันธบัตรที่ออกโดยภาครัฐ ราคาและอัตราผลตอบแทน มักจะผันผวนสอดคล้องไปกับดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางแห่งชาติ และความต้องการของนักลงทุนในตลาด
ตัวอย่างเช่น หากดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้น อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรที่ออกโดยภาครัฐ ในรุ่นใหม่ๆ มักสูงขึ้นตามดอกเบี้ยนโยบายที่เพิ่มขึ้น
และอาจทำให้ราคาพันธบัตรรุ่นนั้นในตลาดเปิดสูงขึ้น จากความต้องการพันธบัตรที่อัตราผลตอบแทนสูงของนักลงทุน
ในทางกลับกัน หากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ราคาของพันธบัตรรุ่นเก่าๆ อาจลดลงเพราะนักลงทุนเทขาย เพื่อนำเงินทุนไปซื้อพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า
- ในกรณีของพันธบัตรประเภทอื่นๆ เช่น พันธบัตรที่ออกโดยบริษัท
อัตราผลตอบแทนจะสอดคล้อง ไปกับดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางแห่งชาติเช่นกัน แต่มักให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรที่ออกโดยภาครัฐ
เพื่อดึงดูดนักลงทุนให้มาซื้อพันธบัตรของบริษัทตน
ตัวอย่างเช่น หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอยู่ที่ 3% อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ออกโดยบริษัท A อาจให้ผลตอบแทนที่ 4% เพื่อดึงดูดนักลงทุน
แม้จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า แต่นักลงทุุนต้องพึงระลึกไว้เสมอว่าผลตอบแทนที่สูงตามมาด้วยความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน
นักลงทุนที่สนใจลงทุนในพันธบัตรที่ออกโดยบริษัท ต้องมีการวิเคราะห์งบการเงิน กระแสเงินสด รายได้ สภาพคล่อง สินทรัพย์ที่เทียบเท่าเงินสด และปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ด้วยเสมอ
เพื่อให้ทราบว่าบริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแรงพอที่จะทำตามพันธะผูกพันที่กำหนดได้
และปัจจัยที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ของราคาพันธบัตรและอัตราผลตอบแทนยังมีอีกมากมาย นักลงทุนต้องมีการประเมินความเสี่ยงในส่วนนี้ ก่อนตัดสินใจลงทุน
ข้อมูลที่กล่าวไว้ข้างต้นเป็นเพียงการยกตัวอย่างข้อที่ควรรู้ และเป็นเพียง"ข้อมูลเบื้องต้น" เท่านั้น
นักลงทุนที่สนใจต้องมีการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม และประเมินความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
และโปรดจำไว้ว่า ก่อนตัดสินใจลงทุน สิ่งสำคัญคือต้องปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อประเมินสถานการณ์ทางการเงินส่วนบุคคล การยอมรับความเสี่ยง และเป้าหมายการลงทุนของคุณ
พันธบัตรสามารถเป็นเครื่องมือที่มีค่าในการสร้างรายได้ และกระจายพอร์ตการลงทุน แต่ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน ดังนั้นการพิจารณาอย่างรอบคอบจึงเป็นสิ่งจำเป็น

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา