และ E ใน PE นั้นคือ กำไรต่อหุ้น ที่หาโดยเอากำไรสุทธิของบริษัทมาหารจำนวนหุ้นสามัญที่ออกจำหน่ายทั้งหมด หมายความว่า ยิ่งบริษัทมีกำไรสูง กำไรต่อหุ้นก็จะสูงตาม
กำไรต่อหุ้นที่ลดลง บวกกับราคาของหุ้นที่เพิ่มขึ้น เมื่อรวมกันแล้วทำให้หุ้นของบริษัท A มี "PE ที่สูง"
เวลาผ่านไปเศรษฐกิจของประเทศกลับมาดีอีกครั้ง ส่งผลให้กำไรของบริษัท A กลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ทำให้กำไรต่อหุ้นสูงขึ้นด้วย แต่ด้วย PE ที่สูงอยู่แล้ว ทำให้นักลงทุนบางคนไม่กล้าเข้าซื้อ
แม้ PE ของหุ้นที่สูงอยู่แล้วตั้งแต่ตอนเศรษฐกิจไม่ดี แต่เมื่อกำไรต่อหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ "PE ของหุ้นนั้นต่ำลง" ได้
กล่าวคือ กรณีที่ยกตัวอย่างนี้ ถ้าหากเราซื้อหุ้นบริษัท A ที่ PE สูง เพราะเศรษฐกิจไม่ดี แล้วถือไว้จนเวลาผ่านไป กำไรต่อหุ้นของบริษัท A กลับมาดีอีกครั้ง
ทำให้ PE ของหุ้นต่ำลง เมื่อ PE ของหุ้นต่ำลง สิ่งนี้อาจสามารถดึงดูดนักลงทุนรายอื่น กลับเข้ามาซื้อหุ้นได้ เพราะเห็นว่า PE ต่ำลงแล้ว กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้น และอยู่ในช่วงเศรษฐกิจดี
การกลับเข้ามาซื้อของนักลงทุน "ผลักดัน" ให้ราคาหุ้นของบริษัท A สูงขึ้น และจังหวะนี้เอง เราก็สามารถที่จะขายหุ้นที่ถืออยู่ เพื่อทำกำไรได้นั่นเอง
นักลงทุนหลายคนมักเรียกว่า "ซื้อหุ้นตอน PE สูง ขายตอน PE ต่ำ" หรือที่เรียกกันติดตลกอย่างขำขันว่า "ซื้อแพงแล้วแต่ขายแพงกว่า"
อย่างไรก็ตาม แม้นักลงทุนอาจจะสามารถซื้อหุ้นที่ดีใน PE ที่สูงได้ในบางกรณี แต่เทคนิคนี้มีข้อควรระวังหลายอย่าง
อย่างเช่น พอกำไรต่อหุ้นของบริษัท A ที่มี PE สูง กลับมาดีอีกครั้งแต่มีนักลงทุนบางส่วนเข้ามาซื้อหุ้นเป็น "จำนวนมาก" เพราะเห็นว่าเศรษฐกิจดีและกำไรต่อหุ้นของบริษัท A เพิ่มขึ้น
สิ่งนี้อาจผลักดันราคาหุ้นให้สูงขึ้นไปอีก พอเป็นแบบนี้แล้วถึงแม้กำไรต่อหุ้นของบริษัท A จะเพิ่มขึ้น แต่ PE ก็จะไม่ต่ำลง เพราะว่าราคาหุ้นที่สูงขึ้นจะทำให้ PE สูงขึ้น ซึ่งจะหักล้างกับส่วนของกำไรต่อหุ้น ทำให้ PE ไม่ลดลง
บทความนี้เป็นเพียงแค่การยกข้อมูลปัจจัยบางส่วนมานำเสนอ และเทคนิคนี้ก็เป็นแค่ หนึ่งในวิธีประเมินบริษัทเมื่อนักลงทุนคิดที่จะซื้อหุ้นใน PE ที่สูง
จริงๆแล้วหากคิดที่จะซื้อหุ้นใน PE ที่สูง ยังมีวิธีในการประเมินอื่นๆอีกมากมาย