iPhone 15 และ iPhone 15 Plus นั้นมีการอัปเกรดเป็นชิป A16 Bionic เป็นชิปเดียวกับที่ใช้ใน iPhone 14 Pro แต่ยังไม่รองรับฟีเชอร์ Always on Display ที่มีในเฉพาะรุ่น Pro ขึ้นไปเท่านั้น
ซึ่งหากต้องการการเปลี่ยนแปลงหน่อย คงค้องไปดูในส่วนของ iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max ที่มีการอัปเกรดเป็นชิป A17 Bionic ขนาด 3nm ที่ Apple ได้เคลมว่า แรงขึ้น 10% ในด้าน CPU และ 20% ในด้าน GPU
และมีขอบเครื่องที่บางลง เปลี่ยนวัสดุเป็น Titanium ผสมโลหะที่มักใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ มีการอัปเกรดเซนเซอร์ของกล้องให้ดีกว่าเดิม และปุ่มเปิด-ปิดเสียง ที่ใช้เทคโนโลยีเหมือนกับใน Apple Watch Ultra
และกล้อง Telephoto ที่สามารถซูมได้เพิ่มขึ้น 5x ในส่วนของ iPhone 15 Pro Max และสามารถซูมได้เพิ่มขึ้น 3x ในส่วนของ iPhone 15 Pro
แต่อย่างที่รู้กันว่าการอัปเกรดที่เหมือนกับการกักนี้ Apple นั้นได้ทำอะไรแบบนี้มานานแล้ว
อย่างเรื่องการเปลี่ยนมาใช้พอร์ตชาร์จ USB-C ที่หลายๆคนก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่เปลี่ยนมันสักที ถ้า Apple ไม่ได้โดน EU กดดันเรื่องนี้พวกเขาจะเปลี่ยนมาใช้ พอร์ตชาร์จ USB-C มั้ย
ซึ่งไม่ใช่ว่า Apple ไม่รู้ว่าพวกเขาควรที่จะมีการอัปเกรดใหม่ๆ ตลอด
แต่มันก็คือกลยุทธ์การตลาดของพวกเขาเอง เพราะหากเราสังเกตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม้ iPhone จะไม่ได้มีการอัปเกรดครั้งใหญ่บ่อยนัก แต่ Apple ก็ยังคงขาย iPhone ได้อย่างมากมายมหาศาลอยู่ดี
จุดแข็งหนึ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้เลย นั่นก็คือ "Brand Loyalty หรือ ความภักดีที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์" ที่เรียกได้ว่าหากเราจะหาแบรนด์อะไรที่จะมาสู้เรื่องนี้กับ Apple แล้ว คงจะหาได้ยากเลยทีเดียว
ความแข็งแกร่งนี้ Apple ได้มันมาได้ยังไงคงต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ในปี 1984 ที่ Apple ได้เปิดตัว Macintosh ที่เป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องแรกที่ใช้กราฟิกแบบจุดหรือกราฟิกแบบแรสเตอร์ (Raster graphics) เป็นกราฟิกที่เกิดจากการเรียงตัวของจุดสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่เรียกว่า พิกเซล (Pixel) จนกลายเป็นภาพ
Macintosh ยังเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องแรกที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลและบริการจากทั่วโลกได้อีกด้วย
หรือจะเป็นในปี 2001 ที่ได้เปิดตัว iPod เครื่องเล่นเพลงดิจิทัลเครื่องแรกของ Apple ที่ได้ออกมาท้าชนกับเจ้าตลาดอย่าง Sony Walkman ของ Sony และได้ชนะไปอย่างสวยงามในตลาดสหรัฐฯ
และในปี 2007 ซึ่งหลายๆคนยกให้เป็น "ปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่" ของ Apple
สิ่งที่ส่งเสริม Brand Loyalty ของ Apple ยังรวมถึงการที่ผลิตภัณฑ์ของ Apple สามารถที่จะเชื่อมต่อกับผลิตภัณฑ์อื่นๆของ Apple และใช้งานร่วมกันได้อย่างราบรื่น
หากสังเกตคนรอบตัวที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของ Apple หากเขามี iPhone และ iPad ถ้าเขาคนนั้นจะซื้อโน๊ตบุ๊ค Macbook ก็คงอยู่ในตัวเลือกของเขาแน่นอน