5 ต.ค. 2023 เวลา 13:57 • ประวัติศาสตร์

ขุนโจรเหลียงซาน 16

หลู่จื้อเซิน สงฆ์ลงลาย (9) เผาวัดหว่าก้วน
หลู่จื้อเซินเข้าไปภายในวัดหว่าก้วนซึ่งมีสภาพทรุดโทรมพอกับภายนอก ตะโกนว่า “ภิกษุผ่านทางมาขอบิณฑบาต” เรียกอยู่นานก็ไม่มีเสียงตอบ
เดินไปดูในโรงครัว หม้อก็ไม่มีแล้ว เตาก็พัง หลู่จื้อเซินปลดห่อสัมภาระลงตรงหน้าพระโภชนปาลโพธิสัตว์ 监斋使者 ถือไม้เท้าเดินสำรวจมาถึงห้องเล็กหลังโรงครัว พบภิกษุชรากลุ่มหนึ่งนั่งพื้นอยู่ แต่ละรูปซูบผอมหน้าเหลืองซีด จื้อเซินตวาดว่า
“พวกหลวงพ่อนี่ ไร้เหตุผลสิ้นดี ส่าเจียเรียกอยู่นาน ไม่มีใครตอบสักคน”
ภิกษุนั้นโบกมือว่า “อย่าเสียงดังไป”
จื้อเซินว่า “ข้าเป็นสงฆ์ผ่านทางมาขอข้าวกินสักหน่อย มีอะไรน่ากลัว”
ภิกษุชราว่า “พวกเราไม่มีข้าวรองท้องมาสามวันแล้ว จะหาอะไรให้ท่านทาน”
จื้อเซินว่า “เหลวไหล วัดใหญ่ขนาดนี้ ไม่เชื่อว่าไม่มีอะไรกิน”
ภิกษุชราว่า “วัดเราไม่เล็ก เดิมก็มีภัตตาหารอุดมสมบูรณ์ แต่ถูกภิกษุสัญจรรูปหนึ่งกับนักพรตรูปหนึ่งมาตั้งตัวเป็นเจ้าอาวาสเอาข้าวของไปใช้เสียหมด พวกเขาก่อกรรมสารพัด ขับไล่พวกสงฆ์ไปจากวัด เหลือพระแก่ๆ อย่างพวกเราไปไหนไม่ได้ต้องทนอยู่ที่นี่ จึงไม่มีข้าวกิน”
“เหลวไหล แค่พระกับนักพรต จะเท่าไรกัน ทำไมไม่ไปแจ้งทางการ”
“อาจารย์ ท่านไม่รู้อะไร ที่ทำการก็ไกล ถึงจะมาก็สู้พวกเขาไม่ได้ พระกับนักพรตนี่ไม่ธรรมดา ฆ่าคนวางเพลิง ตอนนี้ก็พักอยู่หลังกุฏิเจ้าอาวาส”
จื้อเซินถามว่า “เจ้าสองคนนี้เรียกชื่อว่าอะไร”
ภิกษุชราตอบว่า “สงฆ์นั่นแซ่ชุย 崔 ฉายาธรรมเต้าเฉิง 道成 ฉายาว่า พุทธาเหล็กหล่อ 生铁佛 ส่วนนักพรตแซ่ชิว 丘 ลำดับ เสี่ยวอี่ 小乙 ฉายา ยักษาเหินฟ้า 飞天夜叉 ทั้งสองถึงจะเป็นนักบวชแต่ก็โจรดีๆ นี่เอง”
จื้อเซินพลันหอมกลิ่นบางอย่าง หมุนตัวกลับหลังก็เห็นเตาปิดด้วยฝาหญ้ามีควันโขมง พอเดินมาเปิดฝาดูก็เห็นเป็นหม้อเม็ดข้าวโพดต้ม จึงด่าว่า
“ไอ้พวกพระแก่ไร้เหตุผล ไหนว่าไม่ได้กินข้าวมาสามวัน แล้วข้าวต้มนี่มาจากไหน เป็นนักบวชแต่ริมุสา”
พวกภิกษุชราเห็นจื้อเซินเจอหม้อข้าวต้มจึงรีบแย่งเอาจานชามหม้อทัพพีมาเสีย จื้อเซินกำลังหิวอยากกินข้าวต้ม เห็นข้างเตามีหน้าโต๊ะพังอยู่มีฝุ่นเกาะ จึงถอนหญ้ามาเช็ดฝุ่นออก ใช้สองมือยกหม้อข้าวต้มเทลงบนหน้าโต๊ะ พวกภิกษุชรารีบกรูกันเข้ามาแย่งข้าวต้มกิน จื้อเซินทั้งผลักทั้งดันพวกภิกษุชราล้มกันไปคนละทาง
จื้อเซินใช้มือโกยข้าวต้มกินไปได้ไม่กี่คำ พวกภิกษุชราจึงว่า
“พวกเราอดข้าวมาสามวัน เพิ่งหาข้าวโพดมาต้มข้าวต้มได้เท่านี้ เจ้ามาแย่งไปกินเสียหมดแล้ว”
หลู่จื้อเซินกินไปได้หกเจ็ดคำ พอได้ยินก็ไม่กินต่อ พลันได้ยินเสียงคนร้องเพลง จื้อเซินล้างมือเสร็จคว้าไม้เท้าเดินออกมามองลอดกำแพงร้าวดูก็เห็นนักพรตผู้หนึ่งหาบตะกร้าไม้ไผ่ ใบหนึ่งเห็นมีปลาอยู่หลายตัวกับเนื้อรองด้วยใบบัว อีกใบมีเหล้าหนึ่งไหใช้ใบบัวคลุม เดินร้องเพลงมา
你在东时我在西,你无男子我无妻。
我无妻时犹闲可,你无夫时好孤凄。
ข้าอยู่ประจิมเจ้าอยู่บูรพา
ข้าไร้ภรรยาเจ้าไร้สามี
ข้าไร้ภรรยานั้นแสนสุขี
เจ้าไร้สามีว้าเหว่เอกา
1
พวกภิกษุชรารีบพากันมาโบกไม้โบกมือและชี้เป็นสัญญานให้หลู่จื้อเซินรู้ว่านักพรตผู้นี้ก็คือ ยักษาเหินฟ้า หลู่จื้อเซินแอบตามหลังไปไม่ให้รู้ตัว นักพรตมัวแต่เดินจนเลี้ยวผ่านกำแพงหลังกุฏิเจ้าอาวาสไป จื้อเซินตามเข้าไปดูก็เห็นภิกษุร่างอ้วนคิ้วดกหนาเหมือนขนแปรงใบหน้าดำคล้ำ ด้านข้างมีหญิงสาวนางหนึ่งนั่งอยู่ใต้ต้นไหวย บนโต๊ะมีจานอาหาร จอกสามใบ ตะเกียบสามคู่ นักพรตวางหาบลงแล้วเข้าร่วมวงด้วย
หลู่จื้อเซินเดินไปปรากฏตัวด้านหน้า พระอ้วนสะดุ้งผุดลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “ศิษย์พี่เชิญนั่ง มาดื่มกันสักจอก”
หลู่จื้อเซินเงื้อไม้เท้าขึ้นถามว่า “พวกเจ้าสองคนมาสร้างความเสียหายให้วัดเพื่ออะไร”
“ศิษย์พี่เชิญนั่ง ฟังผู้น้องว่าก่อน”
หลู่จื้อเซิ้นถลึงตาว่า “มีอะไร ก็ว่ามา”
“เดิมทีวัดนี้ก็เป็นวัดที่สวยงาม ไร่นากว้างขวาง พระสงฆ์จำพรรษาก็มาก แต่เป็นด้วยพวกสงฆ์ชราที่ริมระเบียงพวกนั้นเอาแต่เมาสุราผิดกาเมถลุงเงินวัด เจ้าอาวาสห้ามก็ไม่ฟัง กลับใส่ความฟ้องขับไล่เจ้าอาวาส วัดจึงอยู่ในสภาพทรุดโทรม พวกสงฆ์พากันหลีกลี้หนีหาย ไร่นาก็นำออกขาย ผู้น้องกับนักพรตท่านนี้มาเป็นเจ้าอาวาสใหม่ ก็กำลังคิดจะบูรณะวัดอยู่”
“แล้วสีกาผู้นี้ ทำไมจึงมาดื่มเหล้าอยู่นี่”
“สีกาท่านนี้เป็นบุตรสาวของประสกหวังมีเงิน 王有金 หมู่บ้านข้างหน้านี่ เป็นผู้อุปถัมภ์วัดแต่ปัจจุบันอยู่ในสภาพลำบาก สามีก็ป่วยหนัก จึงมาขอยืมข้าวสารจากทางวัด ผู้น้องจึงให้ดื่มเหล้าสักเล็กน้อย ไม่มีอะไรอื่น ศิษย์พี่ก็อย่าได้ฟังความจากพวกสงฆ์ชราพวกนั้นฝ่ายเดียว”
หลู่จื้อเซินฟังแล้วพอมีเหตุผลจึงว่า “พวกพระเฒ่านั่นคงเล่นตลกกับส่าเจีย” ว่าแล้วก็แบกไม้เท้าเดินกลับไปยังโรงครัว
พวกภิกษุชรากำลังกินข้าวตัมอยู่เห็นหลู่จื้อเซินเดินกระฟัดกระเฟียดกลับมาชี้หน้าว่า “ที่แท้ก็พวกเจ้าที่ทำให้วัดเสียหาย ยังมีหน้ามาหลอกข้า”
พวกภิกษุชราว่า “หลวงพี่อย่าได้เชื่อพวกเขา ท่านก็เห็นว่าเขาเลี้ยงดูสีกาอยู่ ท่านมีอาวุธครบมือแต่เขาไม่มีอาวุธ เขาจึงยังไม่กล้าตอแย หากไม่เชื่อก็ลองเดินกลับไปดูใหม่อีกรอบสิ อีกอย่างท่านก็เห็นว่าเขามีกินทั้งเนื้อทั้งเหล้า พวกเรากระทั่งข้าวต้มยังกลัวท่านแย่งกิน”
จื้อเซินว่า “นั่นก็จริง” แล้วก็เดินแบกไม้เท้ากลับไป ปรากฏว่าประตูปิดสนิทเสียแล้ว
หลู่จื้อเซินถีบประตูด้วยความโมโหแล้วพรวดพราดเข้าไป พุทธาเหล็กหล่อชุยเต้าเฉิงถือดาบพอเตา 朴刀 ในมือปราดออกมา ทั้งสองประมือกันสิบห้าเพลง ชุยเต้าเฉิงสู้ไม่ได้ คอยแต่หลบหลังชั้นวางของเตรียมหาช่องหนี นักพรตชิวเห็นเพื่อนสู้ไม่ได้ก็ถือดาบพอเตาเข้าโจมตีทางด้านหลัง รุมเล่นงานหลู่จื้อเซินได้สิบกว่าเพลง
หลู่จื้อเซินนั้น หนึ่งหิว สองเดินทางมาไกล สามถูกรุม จึงฉวยจังหวะเกิดช่องโหว่ลากไม้เท้าหนี สองนักบวชโจรกวดมาจนพ้นประตูวัด สู้กันได้อีกสิบเพลง จื้อเซินก็วิ่งหนีข้ามสะพานหินมา สองคนนั่นไม่กวดต่อ นั่งมองอยู่บนราวสะพาน
หลู่จื้อเซินหนีมาได้ไกลแล้วพักหอบจนหายเหนื่อยจึงคิดว่า “ข้าวของของส่าเจียก็ทิ้งอยู่หน้าพระโภชนปาลโพธิสัตว์ มัวแต่หนีไม่ได้ติดมือมาด้วย เงินค่าเดินทางก็ไม่เหลือติดตัว หิวก็หิว ทำอย่างไรดี จะกลับไปเอา คงถูกรุม สู้ไม่ได้ เอาชีวิตไปทิ้งเปล่า”
คิดพลางเดินพลางมาได้หลายลี้จนถึงดงสนแห่งหนึ่ง ต้นสนล้วนเป็นสีแดงดังเลือดอาบ
虬枝错落,盘数千条赤脚老龙;
怪影参差,立几万道红鳞巨蟒。
远观却似判官须,近看宛如魔鬼发。
谁将鲜血洒林梢,疑是朱砂铺树顶。
ดังเขามังกรปักเกลื่อนกระจาย
นับพันสายทางสัญจรมังกรวาด
เงาเปลือกต้นพิกลระคนประหลาด
เกล็ดแดงคาดงูยักษ์สักหมื่นมี
แลแต่ไกลเหมือนหนวดเคราตุลาการ
ผ่านใกล้เข้าเหมือนผมเผ้าภูตผี
ใครนำเลือดสดสาด ราดดงนี้
ฤามีผงชาดหก ปรกยอดไม้
หลู่จื้อเซินเห็นแล้วรำพึงว่า “ป่าดูน่ากลัวทีเดียว” แล้วก็เห็นเงาคนผลุบโผล่อยู่ในเงาไม้ มองมองมา ถ่มน้ำลาย แล้วเดินหายไป
“ข้าว่ามันต้องเป็นโจรคอยดักปล้นคนเดินทาง พอเห็นส่าเจียเป็นพระไม่น่ามีให้ปล้น เลยถ่มน้ำลายใส่ เจ้ามันโชคร้ายเอง ส่าเจียกำลังอารมณ์เสียรอระบายอยู่”
แล้วก็แบกไม้เท้ากวดตามเข้าป่ามาตวาดว่า
“เฮ้ย ไอ้นกเขาในดงนั่นออกมานี่”
ชายฉกรรจ์ในดงหัวเราะแล้วว่า “ข้ากำลังอับโชคอยู่ เจ้ากลับมาหาเรื่องแหย่ข้า” แล้วพลิกตัวกลับ ถือดาบพอเตาในมือกระโจนออกมา ตวาดลั่นว่า
“ลาหัวเถิก ถึงที่ตายเอง ไม่ใช่ข้ามาหาเจ้า”
“ต้องสั่งสอนให้รู้จักส่าเจีย”
ก่อนจะประมือ ชายในดงก็คิดว่า พระนี่เสียงคุ้น จึงถามว่า “เฮ้ย ไอ้พระ เสียงคุ้นหู เจ้าแซ่ไร”
“ข้าสั่งสอนเจ้าสามร้อยเพลงก่อน จึงค่อยบอก”
สู้กันได้สิบกว่าเพลง ชายฉกรรจ์ก็แอบคิดว่า “ไอ้พระบ้านี่เก่งแฮะ” สู้กันได้อีกสี่ห้าเพลง ชายฉกรรจ์นั่นก็ตะโกนว่า “หยุดก่อน ข้ามีเรื่องจะพูด”
ทั้งคู่กระโดดผละออกจากกันแล้วชายฉกรรจ์ก็กล่าวว่า
“บอกชื่อแซ่มาเสียที เสียงคุ้นมาก”
พอหลู่จื้อเซินบอกชื่อเสร็จ ชายฉกรรจ์ผู้นั้นโยนดาบทิ้ง ก้มทำเจี่ยนฝูกล่าวว่า “ยังจำสื่อจิ้นได้ไหม”
(เจี่ยนฝู 剪拂 คารวะในวงนักเลง)
หลู่จื้อเซินหัวเราะร่วน “ที่แท้ก็สื่อต้าหลาง”
ทั้งคู่ก้มทำเจี่ยนฝูอีกคำรบ แล้วพากันนั่งลง จื้อเซินถามว่า
“พี่สื่อ นับแต่แยกกันที่เว่ยโจวแล้ว ไปอยู่เสียที่ไหน”
“นับแต่แยกกันที่ภัตตาคาร วันรุ่งขึ้นก็ฟังว่าพี่ท่านฆ่าเจิ้งถูตายแล้วหนีไป ทางการก็มีหมายจับจะสอบสวนเรื่องที่สื่อจิ้นและพี่ท่านให้เงินกับเฒ่าจินคนขับร้องนั่น ผู้น้องเลยออกจากเว่ยโจวไปตามหาอาจารย์หวางจิ้นที่หยันอันแต่ไม่พบ จึงกลับมาอยู่ที่เป่ยจิงได้ไม่กี่วัน เงินก็หมด เลยมาหาค่าเดินทางเอาแถวนี้ ไม่คิดว่าจะเจอพี่ท่าน แล้วอย่างไรกลายเป็นพระได้”
หลู่จื้อเซินจึงเล่าเรื่องแต่ต้นจนปลายให้ฟัง
สื่อจิ้นว่า “พี่ท่านคงหิวแล้ว ข้ามีเนื้อแห้งกับแป้งทอด” แล้วก็หยิบมาส่งให้หลู่จื้อเซินพร้อมกล่าวว่า “พี่ท่านยังมีสัมภาระทิ้งอยู่ที่วัด เดี๋ยวเราไปเอาด้วยกัน ถ้าไม่ยอมคืน ก็เก็บพวกมันเสีย”
พอกินกันอิ่มแล้ว ก็พากันย้อนกลับมายังวัดหว่าก้วน
เมื่อมาถึงวัดนั้น ชุยเต้าเฉิงและชิวเสี่ยวอี่ยังคงนั่งกันอยู่บนราวสะพาน หลู่จื้อเซินตวาดก้องว่า
“พวกแก มา มา สู้กันให้ตายกันไปข้างหนึ่ง”
พระอ้วนหัวเราะ “แกมันก็แค่ลูกไก่ในกำมือ ยังกล้ากลับมาท้า”
หลู่จื้อซินควงไม้เท้าด้วยแรงโมโหวิ่งข้ามสะพานไป พุทธาเหล็กหล่อเงื้อดาบพอเตาวิ่งลงสะพานมา
หลู่จื้อเซิน หนึ่งได้สื่อจิ้นเป็นกองหนุน กำลังใจกลับมา สองอิ่มท้องแล้ว กำลังฟื้นคืน พันตูกันได้แปดเก้าเพลง ชุยเต้าเฉิงกำลังเริ่มตก มองหาทางหนี ด้านยักษาเหินฟ้านักพรตชิวเห็นเพื่อนตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ จึงเงื้อดาบร่ามาช่วย สื่อจิ้นกระโจนออกจากแนวไม้ตวาดลั่น “ไม่ต้องหนี” ถอดหมวกทิ้ง ชูดาบพอเตาปราดเข้าใส่ชิวเสี่ยวอี่ ฟาดฟันกันเป็นสองคู่สี่คน
หลู่จื้อเซินที่กำลังสู้ติดพันกับชุยเต้าเฉิงอยู่นั้น พลันตวาดก้อง “เสร็จ !” หวดไม้เท้าเข้าใส่พุทธาเหล็กหล่อตกสะพานไป
1
นักพรตเห็นหลวงจีนตกสะพานไปแล้ว ไม่เป็นอันสู้ พอสบช่องโหว่ก็รีบวิ่งหนี สื่อจิ้นตวาดว่า “หนีไปไหน” กวดเข้าฟันใส่กลางหลังเสียงดังฉับ นักพรตล้มลง สื่อจิ้นก้าวขึ้นเหยียบพลิกปลายดาบลงแทงเข้าใส่
หลู่จื้อเซินลงสะพานตามมาฟาดใส่กลางหลังชุยเต้าเฉิง นักบวชโจรทั้งคู่ดับอนาถ
จื้อเซิน สื่อจิ้น นำร่างทั้งสองมัดแล้วโยนทิ้งลำธาร แล้วพากันกลับเข้าในวัด เห็นพวกภิกษุชราพากันผูกคอตายหมดแล้ว ตั้งแต่เห็นหลู่จื้อเซินพ่ายแพ้ไปแต่แรก ด้วยกลัวถูกล้างแค้น
จื้อเซิน สื่อจิ้น เดินมายังหลังกุฏิเจ้าอาวาสก็พบว่าหญิงสาวที่ถูกจับตัวมาได้กระโดดบ่อตายไปแล้วเช่นกัน พอค้นดูตามห้องต่างๆ ก็ไม่พบใคร หลู่จื้อเซินเห็นห่อสัมภาระของตนยังไม่ถูกแกะ ก็สะพายขึ้นหลัง ค้นต่อไปพบห่อผ้าอีกสามสี่ห่อ เปิดออกดูเห็นเป็นเสื้อผ้าและเงินทองจำนวนหนึ่ง สื่อจิ้นคัดเอาของต้องใช้มัดเป็นหนึ่งห่อสะพายขึ้นหลัง ในครัวยังพบเหล้าและเนื้อ จึงพากันกินจมอิ่มหนำแล้วคว้าคบเพลิงจุดไฟจากเตา ไล่เผาจากเรือนหลังวัดไล่มายังหน้าวัด ได้ลมช่วยกระพือ ไฟโหมลามจนกระทั่งทั้งวัดมอดไหม้
1
ทั้งคู่เดินกันมาตลอดคืนจนฟ้าสาง มาถึงหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งมีร้านเหล้าอยู่เชิงสะพาน จึงชวนกันเข้าไปนั่งกินดื่ม คุยกันถึงเรื่องที่ผ่านมาของแต่ละคน ที่สุดจื้อเซินก็ถามว่า
“จากนี้เจ้าจะไปหนใด”
สื่อจิ้นตอบว่า “ข้าคงกลับไปยังเขาเส่าฮว่า สมทบกับพวกจูอู่ทั้งสาม แล้วค่อยคิดกันใหม่”
หลู่จื้อเซินเปิดห่อผ้าหยิบเอาเครื่องเงินเครื่องทองส่วนหนึ่งมอบให้สื่อจิ้น เก็บข้าวของ จ่ายค่าอาหาร แล้วถืออาวุธเดินทางกันต่อจนมาถึงทางสามแยก หลู่จื้อเซินว่า
“น้องเรา คงได้เวลาแยกทางกันแล้ว ส่าเจียจะไปยังตงจิง เจ้าก็ไม่ต้องมาส่ง เจ้าจะไปฮว่าโจวก็ต้องแยกไปทางนี้ วันหน้าคงได้พบกันอีก ถ้าสะดวกก็หาทางส่งข่าวให้กันบ้าง” สื่อจิ้นคารวะอำลา แล้วแยกย้ายกันไป
ตอนก่อนหน้า : เขาดอกท้อ
ตอนถัดไป : ก้มถอนต้นหยางหลิ่ว

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา