13 ต.ค. 2023 เวลา 14:06 • ประวัติศาสตร์

ขุนโจรเหลียงซาน 21

หลินชง หัวเสือดาว (4) ดงหมูป่า
หลังจากหลินชงทำหนังสือหย่าภรรยาให้พ่อตาเก็บไว้แล้ว ผู้คุมทั้งสอง ต่งเชา 董超 เซวียป้า 薛霸 ก็นำตัวหลินชงไปฝากคุมตัวไว้ที่สำนักงานผู้คุม ระหว่างที่แยกย้ายไปเก็บสัมภาระเพื่อออกเดินทาง
ขณะที่กำลังเก็บของอยู่นั้น มีขุนนางผู้หนึ่งให้เสี่ยวเอ้อมาเชิญ ต่งเชาเซวียป้ามายังร้านอาหาร เมื่อมาถึง ขุนนางผู้นั้นก็ล้วงทองคำสิบตำลึงออกมาจากแขนเสื้อวางลงบนโต๊ะกล่าวว่า
“ตวนกงทั้งสองแบ่งกันคนละห้าตำลึง มีเรื่องจะรบกวนเล็กน้อย”
ตวนกง 端公 เป็นคำเรียกขานข้าราชการในสมัยซ่ง
“ข้าน้อยทั้งสองไม่รู้จักท่านขุนนาง เหตุใดจึงมอบทองคำให้”
“ท่านทั้งสองกำลังจะไปยังชางโจวมิใช่หรือ”
ต่งเชาตอบว่า “ผู้น้อยได้รับมอบหมายให้คุมตัวหลินชงไปส่งยังชางโจว”
“เช่นนั้นจึงมีเรื่องรบกวนท่านทั้งสอง ข้าคือลู่หวีโห้ว สังกัดจวนท่านเกาไท่เว่ย”
“พวกผู้น้อยจะบังอาจนั่งรวมโต๊ะกับท่านได้อย่างไร”
“ท่านทั้งสองคงรู้ว่าหลินชงนั้นเป็นคู่อริกับท่านไท่เว่ย บัดนี้ท่านไท่เว่ยมีบัญชาให้นำทองคำสิบตำลึงมามอบให้ท่านทั้งสอง หวังว่าพวกท่านจะยินยอมช่วยกำจัดหลินชงในที่เปลี่ยวสักแห่งหนึ่งโดยไม่จำเป็นต้องไปไกลนัก สำหรับเรื่องเอกสารรับมอบตัวนั้น ท่านหาเอาจากที่ไหนมาก็ได้ ทางท่านไท่เว่ยจะเจรจากับทางศาลไคเฟิงเองไม่ให้เกิดปัญหา”
ต่งเชาว่า “เกรงว่าจะทำไม่ได้ เอกสารราชการของศาลไคเฟิงจะทำลวกๆ เพียงเพื่อกำจัดคนไปได้อย่างไร คนผู้นั้นอายุยังน้อยจะอ้างว่าเสียชีวิตระหว่างทางด้วยสาเหตุอะไร ยังเป็นปัญหา เกรงว่าคงไม่สะดวก”
เซวียป้าว่า “เกลอต่ง ฟังนะ เกาไท่เว่ยให้เจ้าไปตาย เจ้าก็ต้องไป อย่าว่าแต่ยังให้นายท่านนำทองคำมาให้พวกเราด้วย เจ้าไม่ต้องพูดมาก แบ่งกันไปก็แล้วกัน ถือว่าเป็นสินน้ำใจ วันหน้าพวกเรายังมีท่านเป็นที่พึ่งได้ ทางข้างหน้ามีดงสนใหญ่ลับตาแห่งหนึ่ง ไม่ต้องเลือกมาก กำจัดเสียที่นั่นก็จบแล้ว”
ลู่หวีโห้วว่า “เซวียตวนกง 薛端公 ท่านตรงไปตรงมาดี จัดการหลินชงเสร็จแล้ว ลอกตราหนังข้างแก้มมาเป็นหลักฐาน ลู่เชียนยังมีทองคำอีกสิบตำลึงไว้สมนาคุณพวกท่านทั้งสอง”
วันแรกเริ่มออกเดินทาง มากันได้ราวสามสิบลี้
火轮低坠,玉镜将悬。
遥观野炊俱生,近睹柴门半掩。
僧投古寺,云林时见鸦归;
渔傍阴涯,风树犹闻蝉噪。
急急牛羊来热坂,劳劳驴马息蒸途。
กงอัคคีเคลื่อนคล้อย
คันฉ่องหยกลอยนภา
เห็นไกลไฟหุงหา
ดูใกล้ประตูไม้บัง
สงฆ์หวนสู่อาศรม
หมู่เมฆขรมกากลับรัง
ประมงกลับเข้าฝั่ง
แมกไม้ฟังจักจั่นเพลิน
แพะและวัวย่างลงเนิน รีบร้อนต้อนเดิน
ม้าลาสัญจรร้อนผ่อนคลาย
ตกเย็นเข้าพักยังโรงแรมแห่งหนึ่ง ในสมัยซ่ง ข้าราชการที่คุมนักโทษเดินทางหากเข้าพักแรมไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าห้องพัก
เช้าวันรุ่งขึ้น เป็นช่วงกลางเดือนหก อากาศร้อนจัด แผลโบยของหลินชงที่ไม่ค่อยเป็นอะไรในวันแรก พอผ่านมาสองวันเริ่มระบม เจ็บปวดจนขยับตัวก้าวเดินลำบาก เดินทางได้ช้าจนผู้คุมทั้งสองบ่นกันตลอดทาง “หนทางไปชางโจวสองพันกว่าลี้ เดินแบบนี้ เมื่อไรจะถึง พวกข้าซวยจริงที่มาเจอมารอย่างเจ้า”
คืนที่สองที่เข้าพักแรม หลินชงควักเศษเงิน วานเสี่ยวเอ้อช่วยซื้อเนื้อซื้อเหล้ามากินด้วยกันกับผู้คุม ต่งเชาเซวียป้าช่วยกันมอมเหล้าหลินชงจนเมาหลับไปทั้งคาอยู่กับคอ เซวียป้าไปต้มน้ำร้อนนำมาเทใส่อ่างน้ำล้างเท้าแล้วปลุกหลินชงขึ้นมา
“ครูฝึกหลิน ล้างเท้าเสียแล้วเข้านอน”
หลินชงลืมตาขึ้นมาแต่คาติดคออยู่ก้มล้างเท้าไม่ได้
“ข้าช่วยล้างให้” เซวียป้าบอก
หลินชงรีบบอกว่า “ไม่เป็นไร”
“คนเดินทาง ไม่ต้องเรื่องมาก” แล้วเซวียป้าก็จับเท้าหลินชงกดลงในอ่างน้ำร้อน
หลินชงร้อง “ไอ้หยา” แล้วรีบหดเท้า แต่เท้าพองแดงขึ้นมา “ไม่รบกวนท่านแล้ว”
“มีแต่นักโทษเอาใจผู้คุม มีที่ไหนผู้คุมเอาใจนักโทษ ข้าหวังดีเรียกให้ล้างเท้า ยังมาติร้อนติเย็น ทำคุณบูชาโทษชัดๆ” เซวียป้าว่า
หลินชงได้แต่เข้านอน ไม่กล้าต่อปากต่อคำ
ยามสี่เช้าวันรุ่งขึ้นหุงหาอาหารกันเสร็จ หลินชงตื่นมายังวิงเวียน กินไม่ลง เดินไม่ไหว ต่งเชาเอารองท้าคู่ใหม่ซึ่งหูและสายรัดทำจากปอหยาบมาให้แทนคู่เก่าที่หายไป เซวียป้าเอาไม้พลองน้ำไฟ 水火棍 กระทุ้งให้ลุกเดิน (ไม้พลองของผู้คุมนักโทษจะทาสีแดงครึ่งหนึ่งดำครึ่งหนึ่งจึงเรียกว่า สุยหั่วกุ้น 水火棍 พลองน้ำไฟ)
ยามห้าออกเดินทางมาได้สองสามลี้ แผลพุพองก็แตกจนเลือดออกซิบๆ เดินต่อไม่ไหวได้แต่ร้อง เซวียป้าด่าแล้วเอาพลองกระทุ้ง
ต่งเชาว่า “ข้าช่วยพยุงก็แล้วกัน” แข็งใจเดินมาได้อีกสี่ห้าลี้ก็ขยับไม่ไหว ก็พอดีมาถึงดงทึบแห่งหนึ่ง
枯蔓层层如雨脚,乔枝郁郁似云头。
不知天日何年照,惟有冤魂不断愁。
ไม้แห้งห้อยซ้อนซับดุจฝนห่า
กิ่งใบหนาครึ้มครือพยับฝน
มิรู้วันเดือนปีมืดมัวมน
ทุกแห่งหนซุกผีแค้นแน่นอุรา
ดงหมูป่า 野猪林 เป็นจุดคับขันแห่งแรกบนเส้นทางตงจิงชางโจว ในสมัยซ่งเต็มไปด้วยผีพยาบาทอาฆาตแค้น เพราะมีผู้ติดสินบนผู้คุมให้กำจัดนักโทษทิ้งเสียที่นี่นักต่อนัก
ต่งเชาว่า “เดินตั้งแต่ยามห้า เพิ่งมาได้ไม่ถึงสิบลี้ เมื่อไรจะถึงชางโจว”
เซวียป้าว่า “ข้าก็เดินไม่ไหว พักกันที่ป่านี่เสียหน่อยแล้วกัน”
ทั้งสามเดินเข้าดงมาปลดสัมภาระลง หลินชงลงนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่เตรียมล้มตัวลงนอน ต่งเชาเซวียป้าหรี่ตาแล้วเข้าจับหลินชง
หลินชงถามว่า “พวกท่านจะทำอะไร”
“พวกข้าจะนอนเสียหน่อย แต่แถวนี้ไม่มีกุญแจ หลับตาไม่ลง กลัวเจ้าหนีไป ต้องจับมัดไว้ก่อนจึงวางใจ”
หลินชงว่า “ข้าเป็นลูกผู้ชาย ทั้งยังเป็นขุนนาง ไม่หนีไปไหนหรอก”
“ใครจะไปเชื่อ ให้แน่ใจ ก็ต้องมัด”
“จะมัดก็มัด ผู้น้อยจะว่าอะไรได้”
เซวียป้าจับหลินชงมัดทั้งคาอย่างแน่นหนากับต้นไม้ แล้วทั้งคู่ก็ลุกขึ้นฉวยไม้พลองมองมายังหลินชงแล้วว่า
“ไม่ใช่ข้าอยากทำ แต่วันก่อนท่านลู่หวีโห้วรับบัญชาเกาไท่เว่ยมาบอกให้พวกข้ากำจัดเจ้าเสียแล้วเอาตราสักหน้ากลับไปรายงาน จะเดินทางอีกกี่วันก็ตายเหมือนกัน วันนี้ก็ลงมือเสียที่นี่ พวกข้าจะได้กลับไวหน่อย อย่าโทษกันเลย ผู้ใหญ่สั่งมาพวกเราก็ไม่เป็นตัวของตัวเองหรอก เจ้าก็รู้ วันนี้ปีหน้าคือวันครบรอบวันตายของเจ้า พวกเรามีเวลาจำกัด ต้องรีบกลับ”
หลินชงกล่าวทั้งน้ำตาว่า “ข้ากับพวกท่านไม่เคยมีความแค้นกันมาก่อน หากท่านทั้งสองปล่อยผู้น้อยไป จนตายก็จะไม่ลืม”
ต่งเชาว่า “พูดอะไรเรื่อยเปื่อย ช่วยเจ้าไม่ได้”
เซวียป้าเงื้อพลองหวดลงบนศีรษะหลินชง
พลันมีเสียงคำรามลั่นมาจากหลังต้นสน ไม้ฌานพุ่งออกมาปัดพลองกระเด็นไกล
ภิกษุร่างอ้วนใหญ่กระโดดออกมาตวาดลั่น
“ส่าเจียอยู่ในดง ฟังเจ้าพล่ามนานแล้ว”
หลินชงตาลุก จำหลู่จื้อเซินได้รีบตะโกนบอกว่า
“ศิษย์พี่อย่าได้ลงมือ ฟังข้าก่อน”
หลู่จื้อเซินยั้งมือไว้ สองผู้คุมยืนตัวแข็งขวัญหนีดีฝ่อ
หลินชงว่า “เกาไท่เว่ยให้ลู่หวีโห้วมาสั่งการให้สองคนนี้เอาชีวิตข้า พวกนี้จึงต้องทำ หากท่านฆ่าพวกเขาก็ออกจะไม่เป็นธรรม”
หลู่จื้อเซินชักมีดศีลออกตัดเชือก พยุงหลินชงให้ลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า
“น้องเรา นับแต่แยกกันเมื่อวันซื้อมีดเล่มนั้น ส่าเจียก็เป็นห่วงอยู่ พอรู้ว่าต้องคดี ถูกเนรเทศไปชางโจว ส่าเจียก็ตามมาศาลไคเฟิงแต่ไม่พบ พอเห็นเสี่ยวเอ้อมาตามสองคนนี้ไปพบขุนนางผู้หนึ่ง ส่าเจียก็สงสัยว่าจะมีการวางแผนคิดร้ายระหว่างทาง จึงตามมาเห็นเจ้านกเขาหัวทู่ (撮鸟 คำหยาบ) สองตัวนี้พาเจ้าเข้าพักแรม ส่าเจียจึงเข้าพักที่เดียวกัน
ตกกลางคืนเห็นพวกมันทำลับๆ ล่อๆ เอาน้ำร้อนลวกเท้าเจ้า ก็ว่าจะฆ่าเจ้านกเขาหัวทู่ทั้งคู่เสีย แต่เกรงคนเยอะ จะกลับช่วยเจ้าไม่ได้ ส่าเจียรู้ว่าเจ้าพวกนี้คิดร้ายแน่ พอพวกเจ้าออกเดินทางตอนยามห้า ส่าเจียก็รีบมาดักรอฆ่าเจ้านกเขาหัวทู่ที่ดงนี่ พวกมันก็พาเจ้ามาเล่นงานที่นี่เหมือนกัน งั้นก็ฆ่าพวกมันเสียทั้งคู่เลย”
หลินชงขอร้องว่า “ในเมื่อศิษย์พี่ช่วยข้าได้แล้ว ก็ไว้ชีวิตพวกเขาเถิด”
หลู่จื้อเซินตะคอกว่า “ไอ้พวกนกเขาหัวทู่ ถ้าไม่เห็นแก่หน้าน้องข้า ส่าเจียสับพวกเจ้าเป็นบะช่อไปแล้ว เห็นแก่น้องข้าไว้ชีวิตพวกเจ้า รีบพยุงน้องข้า ตามส่าเจียมา”
ผู้คุมทั้งสองช่วยกันพยุงหลินชงอีกทั้งยังแบกพลอง สัมภาระของตนเองและของหลินชงด้วย เดินออกจากดงตามกันมาได้สามสี่ลี้ มาถึงร้านอาหารปากทางเข้าหมู่บ้านแห่งหนึ่งจึงพากันเข้าไปนั่งพัก
ระหว่างกินดื่มกันนั้น ผู้คุมทั้งสองถามว่า
“ขอถามท่านอาจารย์พำนักอยู่วัดไหน”
หลู่จื้อเซินหัวเราะแล้วว่า “ไอ้พวกนกเขาหัวทู่ถามที่อยู่ทำไม จะไปฟ้องไอ้เกาฉิวให้มาเล่นงานส่าเจียรึ คนอื่นกลัวมัน ข้าไม่กลัว ถ้าส่าเจียเจอไอ้หมอนั่น ต้องฟาดมันสักสามร้อยไม้”
เท่านั้น สองผู้คุมก็ไม่กล้าถามอะไรอีก รีบกินรีบจ่ายเงิน แล้วออกเดินทางต่อ
หลินชงถามว่า “ศิษย์พี่ จากนี้จะไปไหนต่อ”
หลู่จื้อเซินว่า “ฆ่าคนต้องให้เห็นเลือด ช่วยคนต้องช่วยให้ตลอด ส่าเจียไม่ไว้ใจ จะไปส่งน้องเราให้ถึงชางโจว”
สองผู้คุมได้แต่ครวญในใจว่า “แย่แล้ว แล้วนี่จะกลับไปส่งงานอย่างไรล่ะทีนี้”
最恨奸谋欺白日,独持义气薄黄金。
迢遥不畏千程路,辛苦惟存一片心。
รังเกียจแผนสกปรกรกฟ้าใส
ยึดมั่นในคุณธรรมทองคำหยัน
หนทางไกลเพียงไหนไม่ไหวหวั่น
ลำบากนั้นก็เพียงอยู่ที่ใจ
หนทางต่อจากนี้ ก็ขึ้นกับหลู่จื้อเซิน นึกอยากเดินก็เดิน อยากพักก็พัก ชอบใจก็ด่า ไม่ขอบใจก็ไล่ทุบ สองผู้คุมก็ไม่กล้ามีปากเสียง เดินทางได้สักช่วง หารถได้เรียกให้หลินชงนั่ง สามคนเดินตาม พอซื้อเนื้อซื้อเหล้าให้หลินชง ทั้งคู่ก็ได้กินด้วย หากถึงที่พักต้องหุงหา ก็เป็นหน้าที่สองผู้คุม
ทั้งคู่แอบปรึกษากันว่า “พวกเราเจอพระนี่คุมเสียแจ จะกลับไปรายงานท่านเกาไท่เว่ยอย่างไร”
เซวียป้าว่า “ข้าฟังมาว่า มีพระมาอยู่ใหม่ที่สวนผักวัดต้าเซี่ยงกว๋อ เรียกว่า หลู่จื้อเซิน ดูท่าจะเป็นเจ้าพระนี่ พอกลับไปถึง พวกเราก็บอกตามตรงว่า จะลงมือกำจัดทิ้งที่ดงหมูป่าแล้ว แต่เจ้าพระนี่มาช่วยไว้แล้วตามมาส่งถึงชางโจว เอาทองคำสิบตำลึงคืนไป แล้วให้ลู่เชียนหาทางเล่นงานพระนี่เอาเอง”
เดินทางมากันได้สิบแปดวัน เหลือทางอีกเจ็ดสิบกว่าลี้ก็จะถึงชางโจว มีชุมชนตลอดทางไม่มีที่เปลี่ยวอีก หลู่จื้อเซินจึงบอกหลินชงว่าจะแยกทางกลับแล้วนำเงินมอบให้หลินชงยี่สิบตำลึงสำหรับใช้จ่าย อีกสามตำลึงให้แก่สองผู้คุม แล้วว่า
 “ไอ้พวกนกเขาหัวทู่ เดิมว่าจะตัดหัวพวกเอ็ง น้องข้าขอไว้ เลยไว้ชีวิตนกเขาของเอ็งทั้งคู่ นี่เหลือทางไม่มาก อย่าคิดไม่ซื่อ”
“ไม่กล้าแล้ว ที่ผ่านมาเป็นเพราะท่านไท่เว่ยใช้มา”
หลู่จื้อเซินมองหน้าทั้งสองแล้วถามว่า
“หัวไอ้นกเขาหัวทู่อย่างพวกเอ็ง กับต้นสนนี่อะไรแข็งกว่า”
“หัวของผู้น้อยมีแค่หนังหัวที่พ่อแม่ให้มาหุ้มกะโหลกเท่านั้น”
หลู่จื้อเซินเอาไม้เท้าฟาดไปยังต้นสนยุบเข้าไปสองนิ้วแล้วโค่นล้มลง
“ไอ้นกเขาหัวทู่ ถ้าคิดไม่ซื่อ หัวพวกเอ็งจะเหมือนไม้นี่” แล้วหลู่จื้อเซินก็แยกทางไป
หลินชงว่า “พวกเราไปกันต่อเถิด”
สองผู้คุมว่า “พระนี่ป่าเถื่อนจริง ฟาดทีเดียวต้นไม้ล้ม”
หลินชงว่า “แค่นี้เอง ที่วัดเซี่ยงกว๋อ ยังถอนขึ้นมาได้ทั้งต้นทั้งราก”
สองผู้คุมส่ายหัว ครานี้ก็รู้แน่แล้วว่าเป็นใคร
หลังจากหลินชงขายเพื่อน บอกไปเสียแล้วว่าหลู่จื้อเซินอยู่ที่วัดต้าเซี่ยงกว๋อ หลู่จื้อเซินก็ไม่อาจอยู่ที่วัดได้อีก ต้องเข้าสู่วงนักเลงเต็มตัว คาถาวรรคแรกที่หลวงพ่อจื้อเจินให้ไว้ก็เป็นจริงขึ้นมา
遇林而起  พบดงแล้วเริ่ม
林 อาจหมายถึง ดงหมูป่า 野猪林 (เหย่จูหลิน) หรือ อาจหมายถึง หลินชง 林冲 ก็ได้ หลังจากดงหมูป่าแล้ว ชีวิตในวงนักเลงของหลู่จื้อเซินก็เริ่มอย่างเต็มตัว
ตอนก่อนหน้า : หนังสือหย่า
ตอนถัดไป : พายุหมุนน้อย

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา