17 ต.ค. 2023 เวลา 14:14 • ประวัติศาสตร์

ขุนโจรเหลียงซาน 24

หลินชง หัวเสือดาว (7) ภูมิศาสตร์เหลียงซาน
หลินชงลุกเดินไปมองลอดช่องกำแพงก็เห็นไฟกำลังไหม้โรงฟางหญ้า หลินชงคว้าทวนจะรีบกลับไปดับไฟ ก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าคนสามคนเดินมาผลักประตูแต่เข้าไม่ได้เพราะติดหินที่ขัดอยู่ จึงหยุดคุยกันที่ใต้ชายคา
“แผนการนี้เป็นอย่างไร”
“ได้ผู้กำกับกับผู้คุมช่วยเป็นใจ กลับไปรายงานท่านไท่เว่ย รับรองว่าท่านทั้งสองคงได้เป็นขุนนาง คราวนี้เจ้าครูฝึกจางก็คงไม่มีข้ออ้างอีก”
“กำจัดหลินชงเสียได้ เกาหยาเน่ยก็คงหายป่วย”
“เจ้าครูฝึกจาง คอยแต่ปฏิเสธ ไท่เว่ยเห็นหยาเน่ยอาการหนักขึ้นทุกวัน จึงให้ข้าสองคนมาขอความช่วยเหลือจากท่านทั้งสอง”
“ข้าปีนเข้าไปดู เห็นโรงเก็บพังเสียเกือบทั่ว จุดไฟเผาไปสิบจุด จะหนีไปไหนรอด”
“ถึงหนีเอาตัวรอดได้ แต่โรงฟางของทหารไฟไหม้หมด ก็มีความผิดอยู่ดี”
“กลับกันเถิด”
“รอสักพัก เผื่อเก็บกระดูกสักท่อนสองท่อนกลับไปรายงานท่านไท่เว่ย”
หลินชงจำเสียงคนทั้งสามได้ว่า คือ ผู้คุม ลู่หวีโห้ว และ ฟู่อัน คิดในใจว่า “ฟ้าเมตตาหลินชง ถ้าโถงหญ้าไม่พังไป ข้าคงถูกพวกมันเผาตายไปแล้ว” หลินชงค่อยๆ เลื่อนหินที่ขัดประตูออก กำทวน เปิดประตูด้วยมือซ้าย ตวาดว่า
“โจรชั่ว จะหนีไปไหน”
สามคนตกใจ ก้าวเท้าไม่ออก หลินชงใช้ทวนแทงใส่ผู้คุมล้มลงเป็นคนแรก ฟู่อันวิ่งหนีไปไม่ถึงสิบก้าว หลินชงตามมาทันใช้ทวนแทงจากข้างหลังล้มลง กลับตัวมาเห็นลู่หวีโห้วเพิ่งหนีไปได้สามสี่ก้าว
หลินชงตวาด “โจรตัวดี จะหนีไปไหน” ฟาดทวนใส่หน้าอกจนล้มลง หลินชงปักทวนลงกับพื้น ก้าวเข้าไปใช้เท้าเหยียบอก ชักมีดออกมาพาดไปที่หน้าลู่เชียน ตะคอกว่า
“โจรชั่ว ข้าไม่เคยมีความแค้นกับเจ้า ทำไมต้องมาคอยให้ร้ายข้า”
“ไม่เกี่ยวกับข้า ไท่เว่ยสั่งมา ข้าไม่กล้าขัด”
“โจรทรยศ ข้ากับเจ้าคบกันมาแต่เด็ก วันนี้มาให้ร้ายข้า ไม่เกี่ยวกับเจ้าได้ไง เอามีดไปกินเสีย”
หลินชงฉีกเสื้อท่อนบนของลู่เชียนออก ใช้มีดแทงคว้านที่หน้าอกเลือดสดๆ ไหลทะลัก แล้วใช้มือซ้ายควักเอาหัวใจออกมา พอหันกลับมาเห็นผู้คุมจะลุกหนี ก็กดตัวไว้ใช้มีดตัดคอเสีย กลับมาตัดเอาหัวของลู่เชียนและฟู่อัน มัดรวมกันทั้งสามหัวหิ้วไปวางหน้าโต๊ะบูชาในศาลเจ้า
1
天理昭昭不可诬,莫将奸恶作良图。
若非风雪沽村酒,定被焚烧化朽枯。
自谓冥中施计毒,谁知暗里有神扶。
最怜万死逃生地,真是魁奇伟丈夫。
ลิขิตฟ้าแจ่มชัดเหลือขัดขืน
อย่าได้ฝืนวางอุบายให้ร้ายเขา
หากมิได้ฝ่าหิมะไปซื้อเหล้า  
คงมิแคล้วถูกเผาเป็นเถ้าผุ
แผนร้ายแอบแยบยลไร้คนเห็น
เทพก็เร้นองค์แอบแนบทำนุ
สงสารด้วยช่วยชีพรอดเพลิงระอุ
จึงบรรลุความเกรียงไกรใหญ่ยืนยง
หลินชงสวมเสื้อและหมวก ดื่มเหล้าในน้ำเต้าจนหมดแล้วโยนน้ำเต้าทิ้ง ทวนพาดบ่าเดินหนีมาทางตะวันออก
หิมะยิ่งตกยิ่งหนัก หลินชงเดินมาได้กว่าสองชั่วยามหนาวเหน็บจนทนไม่ไหว มาถึงดงทึบแห่งหนึ่งมีกระท่อมหญ้าอยู่หลายหลัง มีแสงไฟลอดออกมาจากกระท่อม หลินชงผลักประตูเข้าไปเห็นชาวบ้านชราผู้หนึ่งนั่งล้อมกองไฟอยู่กับหนุ่มชาวบ้านอีกห้าคน จึงขอเข้าไปผิงไฟด้วย
“เข้ามาสิ จะเป็นไรล่ะ”
หลินชงผิงไฟจนเสื้อที่ชื้นเริ่มแห้ง สังเกตเห็นข้างกองไฟมีไหเหล้าตั้งอุ่นอยู่ หอมกลิ่นเหล้าโชยมา จึงว่า
“ผู้น้อยพอมีเงินติดตัวอยู่บ้าง รบกวนขอแบ่งเหล้าสักหน่อยเถิด”
ชายชราว่า “พวกเราต้องมาผลัดเวรกันเฝ้ายุ้งฉาง นี่ก็ยามสี่หนาวก็หนาว จะกินกันเองยังไม่พอ เอาที่ไหนมาแบ่งให้เจ้า”
“เถอะน่า แบ่งให้ผู้น้อยคลายหนาวสักสองสามชาม”
“เจ้านี่ตื๊ออยู่ได้”
หลินชงหอมกลิ่นเหล้า ยิ่งกระหาย “ไม่เป็นไรน่า แบ่งมาหน่อย”
พวกหนุ่มชาวบ้านว่า “หวังดีให้มาผิงไฟ ยังมาขอเหล้ากินอีก จะไปไหนก็ไป ถ้าไม่ไปจะจับแขวนไว้เสียที่นี่”
หลินชงโมโห เห็นก้อนถ่านคุแดงจึงใช้ทวนเขี่ยกระเด็นใส่หน้าชายชราถูกเคราไหม้ไป พวกหนุ่มลุกขึ้นมา หลินชงใช้ด้ามทวนหวดไปมา พวกชาวบ้านสู้ไม่ได้ พากันหนีไปหมด
“ไปกันหมดแล้ว ดื่มได้สบายใจ”
หลินชงเห็นกระบวยกะลาอยู่สองอัน หยิบมาอันหนึ่งตักเหล้าในไหดื่มไปพักใหญ่ เหลือไว้ครึ่งหนึ่ง แล้วลุกขึ้นเอาทวนพาดบ่า เดินออกจากกระท่อมมา โซซัดโซเซได้ไม่ถึงหนึ่งลี้ ลมเหนือปะทะมา ล้มลงเมาหลับไปกลางหิมะ
พวกชาวบ้านที่หนีไปตามพรรคพวกมากว่ายี่สิบคน ถืออาวุธมากันที่กระท่อม ไม่เห็นหลินชง จึงตามรอยเท้ามาเจอล้มอยู่ ก็จับมัดพาตัวกลับมายังคฤหาสน์แห่งหนึ่ง จับหลินชงมัดแขวนไว้ที่ประตู
ยามฟ้าสาง หลินชงสร่างเมาลืมตามาเห็นตัวเองถูกมัดแขวนอยู่จึงร้องถามว่า “ใครมัดข้าไว้ที่นี่”
พวกชาวบ้านถือกระบองขาวพากันออกมาตวาดว่า “ไอ้นี่ยังปากดี”
ชายชราที่เคราไหม้ว่า “ไม่ต้องถามอะไร ฟาดมันก่อน รอนายท่านตื่นแล้วค่อยจับส่งทางการ”
หลินชงจึงโดนหวดไปเสียหลายที
“นายท่านมาแล้ว”
“พวกเจ้าทุบตีใครอยู่”
“เมื่อคืนจับขโมยลักข้าวได้คนหนึ่ง”
นายท่านเดินใกล้เข้ามาก็จำได้ว่าคือหลินชง จึงไล่พวกลูกบ้านให้ถอยไป เข้ามาแก้เชือกให้หลินชงเอง แล้วถามว่า
“ครูฝึก ทำไม มาถูกแขวนอยู่นี่เล่า”
นายท่านที่เรียกกันนี้ก็คือ พายุหมุนน้อยไฉจิ้น และคฤหาสน์หลังนี้คือ คฤหาสน์ตะวันออกของไฉจิ้น หลินชงเล่าเรื่องตั้งแต่แยกกันจนมาถึงถูกจับมัดให้ฟัง ไฉจิ้นจึงให้หลินชงพักอยู่ด้วยกันต่อมาอีกเจ็ดวัน
ทางด้านเมืองชางโจว ได้ออกประกาศจับหลินชงข้อหาฆ่าคนตายสามศพ และวางเพลิงเผาโรงฟางหญ้าทรัพย์สินของทางการเสียหาย มีรางวัลนำจับเป็นเงินสามพันก้วน
ข่าวประกาศจับเข้าถึงหูหลินชงจึงขออำลาไฉจิ้น เพื่อหลบหนีไปที่อื่น จะได้ไม่เป็นที่เดือดร้อนแก่ไฉจิ้น ไฉจิ้นจึงกล่าวว่า
“เมื่อพี่ท่านจะไปแล้ว ข้าก็มีสถานที่แห่งหนึ่ง จักทำหนังสือให้พี่ท่านถือไป”
หลินชงว่า “ได้รับความช่วยเหลือเช่นนี้จากท่าน ข้าคงมีที่หลบภัยรักษาชีวิต ทว่าไม่ทราบว่าเป็นที่ใด”
ไฉจิ้นว่า “เป็นตำบลชายน้ำเมืองจี้โจวที่ซานตง 山东济州 เรียกว่า เหลียงซานป๋อ 梁山泊 ความยาวโดยรอบแปดร้อยลี้ ตรงกลางมีเมืองป้อมหว่านจื่อ 宛子城 ตั้งอยู่กลางหนองเหลี่ยวเอ๋อ 蓼儿洼
บัดนี้มีผู้กล้าสามนายตั้งค่ายส้องสุมอยู่ที่นั่น หัวหน้าส้องคือ บัณฑิตชุดขาวหวางหลุน 白衣秀士王伦 ลำดับที่สองคือ ลูบคลำฟ้าตู้เชียน 摸着天杜迁 และลำดับที่สามคือ ปักหลั่นดั้นเมฆซ่งว่าน 云里金刚宋万 มีลิ่วล้อราวแปดร้อยคนเที่ยวตีชิงปล้นเสบียง ผู้ต้องอาญาทั่วแผ่นดิน พากันไปขอหลบราชภัยที่นั่น ผู้กล้าทั้งสามสนิทสนมกับข้าดี มีหนังสือไปมาหากันเสมอข้าจะเขียนจดหมายแนะนำให้แก่พี่ท่าน ไปขอเข้าเป็นพวกที่นั่น ท่านว่าอย่างไร”
1
หลินชงว่า “ได้รับการเกื้อหนุนเช่นนี้ ข้าพอใจยิ่ง”
豪杰蹉跎运未通,行藏随处被牢笼。
不因柴进修书荐,焉得驰名水浒中。
ถึงหาญกล้าแต่พลาดท่าชะตาเข็ญ
มิอาจเร้นหนใดคงต้องขัง
แม้นมิได้ไฉจิ้นเขียนฝากฝัง
มิอาจดังเลื่องระบือลือสุยหู่
เขาเหลียงซานเป็นสถานที่สำคัญในท้องเรื่อง บางครั้งก็เรียกว่าเขา บางทีก็เรียกว่าหนอง ตั้งรับง่าย เข้าโจมตียาก เขาเหลียงซานนี้มีสถานที่จริง แต่สภาพภูมิศาสตร์ในหนังสือนั้น จินตนาการเอาใหม่ตามหลักปรัชญาในคัมภีร์อี้จิง 易经 ที่มีอิทธิพลสูงในสังคมจีน ว่าทุกสิ่งกำเนิดจากไท่จี๋ 太极 หรือมีจุดกำเนิดเดียว 一元 แล้วแบ่งตัวออกไป
一元、两仪、三才、四象、五行、六合、七星、八卦 ...
อาคารสิ่งก่อสร้างต่างๆ บนเขาซึ่งจะพบต่อไปในท้องเรื่องก็จัดวางตามปรัชญานี้
กลางเขาอันเป็นเกาะลอยกลางน้ำมีแท่นบูชาหนึ่งแห่งอยู่หลังหอธรรมภักดิ์ 忠义堂 เป็นโถงตั้งป้ายวิญญาณเฉาไก้ คือ หนึ่งจุดกำเนิด 一元 หรือ 太极
สองข้างแท่นมีห้องที่พำนักของสองหัวหน้าค่ายเหลียงซาน คือ สองลักษณะ 两仪 ยินหยาง 阴阳
หน้าศาลาต้วนจิน 断金亭 มีสามด่าน คือ สามพลังอำนาจ 三才 ฟ้า ดิน คน 天 地 人
1
รอบหอธรรมภักดิ์มีห้องสองแถบ และสองแถว รวมเป็นตัวแทนสี่สัญลักษณ์ 四象 (มังกรเขียว เสือขาว หงส์แดง เต่าดำ)
สัญลักษณ์ทั้งสี่ คือ ตัวแทนธาตุ เมื่อรวมกับธาตุดินตรงกลางได้ ห้าธาตุ 五行 โลหะ ไม้ น้ำ ไฟ ดิน 金 木 水 火 土
รอบเขาเหลียงซานมีด่านอยู่หกด่าน คือ หกสมาน 六合
ธงทิวปักตามหลักหมู่ดาว คือ เจ็ดดาว 七星
1
รอบเขาเหลียงซานมีค่ายบกค่ายน้ำแปดค่าย เป็นแปดเหลี่ยม 八卦
1
ภูมิศาสตร์เหลียงซานตามจินตนาการก็คือ รูปยันต์แปดเหลี่ยม แต่ละด้านยาวหนึ่งร้อยลี้
จากคำบรรยายของผู้ประพันธ์ว่า เป็นตำบลชายน้ำเมืองจี้โจวที่ซานตง เรียกว่า เหลียงซานป๋อ 梁山泊 ความยาวโดยรอบแปดร้อยลี้ ตรงกลางมีเมืองป้อมหว่านจื่อ 宛子城 ตั้งอยู่กลางหนองเหลี่ยวเอ๋อ 蓼儿洼
1
ค่ายใหญ่ของเหลียงซานตั้งอยู่บนเกาะลอยกลางหนองน้ำไม่มีทางขึ้นทางบก จึงเรียกว่าเขาเหลียงซานบ้าง หรือหนองเหลียงซานบ้าง ต้องข้ามน้ำไปขึ้นยังหาดซึ่งมีอยู่สองหาด คือหาดทรายทอง 金沙滩 ทางใต้ และหาดปากเป็ด 鸭嘴滩 ทางเหนือ
เส้นทางหลักที่จะเข้าสู่เหลียงซานคือทิศใต้ จึงมีด่านทิศใต้สามด่าน ส่วนทิศอื่นมีเพียงหนึ่งด่าน จึงมีด่านรวมหกด่าน
ร้านอาหารสำหรับคัดกรองคนขึ้นเขาทั้งสี่ทิศนั้น เมื่อแรกสุดมีเพียงร้านเดียวจึงเป็นร้านทางทิศใต้ของตะเข้ดอนจูกุ้ย เมื่อจะข้ามน้ำขึ้นเกาะจึงต้องขึ้นที่หาดทรายทองที่ตั้งอยู่ทางใต้
กลับมาที่หลินชง เมื่อจะออกเดินทางมายังเหลียงซานนั้น ไฉจิ้นเห็นว่ายังมีอุปสรรคอยู่ ด้วยว่าเส้นทางออกจากชางโจวนั้นมีด่านตั้งสกัดคอยตรวจคนเดินทาง จำต้องหาอุบายให้หลินชงแอบผ่านไปให้ได้เสียก่อน
ไฉจิ้นจึงให้คนของตนคนหนึ่งนำสัมภาระของหลินชงออกไปรออยู่ที่นอกด่านเสียก่อน ส่วนหลินชงให้ปลอมตัวอยู่ในขบวนของตนซึ่งมีอยู่ราวสามสิบม้าติดธนูและอาวุธ มีเหยี่ยวและสุนัขล่าเนื้อ ทำทีออกไปล่าสัตว์
นายทหารสองนายที่มาประจำด่านนั้นก่อนเข้ารับราชการเคยมาอาศัยพึ่งพาไฉจิ้นมาก่อนจึงย่อมจำไฉจิ้นได้ เมื่อเห็นขบวนมาถึงจึงทักว่า “นายท่านจะออกไปเที่ยวหรือ”
ไฉจิ้นลงม้าเดินเข้าไปทักทาย “ท่านทั้งสองมาทำอะไรที่นี่”
“ท่านเจ้าเมืองชางโจวให้มาตั้งด่านสกัดจับผู้ต้องหาชื่อหลินชง”
ไฉจิ้นหัวเราะแล้วว่า “หมอนั่นอยู่ในขบวนของข้า ไม่ไปดูหน่อยหรือ”
นายด่านก็หัวเราะแล้วว่า “นายท่านรู้ข้อกฎหมายอยู่ คงไม่ซุกคนออกนอกด่าน เชิญขึ้นม้าเถอะ”
ไฉจิ้นว่า “เดี๋ยวได้อะไรมา จะเอามาฝาก”
แล้วไฉจิ้นก็นำขบวนออกมาจากด่านได้ราวสิบห้าลี้มาถึงจุดที่คนของตนนำสัมภาระของหลินชงล่วงหน้ามารออยู่ หลินชงเปลี่ยนชุดแล้วรับสัมภาระคว้าง้าวลาไฉจิ้นเดินทางต่อไป ส่วนไฉจิ้นล่าสัตว์ได้ก็นำกลับไปฝากนายด่านตามสัญญา
หัวหน้าส้องโจรเขาเหลียงซานในท้องเรื่องสุยหู่จ้วนมีอยู่ด้วยกันสามคน คือ หวางหลุน เฉาไก้ และ ซ่งเจียง ตามลำดับ โดยมีหวางหลุนเป็นผู้ก่อตั้งคนแรก
บัณฑิตชุดขาวหวางหลุน 白衣秀士王伦 เป็นบัณฑิตที่เข้าสอบจิ้นสื้อไม่ผ่าน กับเพื่อนอีกคนคือ ตู้เชียน ตกอับมาพึ่งพาไฉจิ้น ต่อมาตัดสินใจตั้งส้องอยู่ที่เขาเหลียงซาน มีซ่งว่าน และ จูกุ้ย มาสมทบ รวบรวมพวกที่ทำผิดอาญาแผ่นดินทำการเป็นโจรปล้นบ้านชิงสดมภ์
ลูบคลำฟ้าตู้เชียน 摸着天杜迁 กลุ่มมารดิน ตี้ส้าลำดับที่ 47 ลำดับรวมที่ 83 นับเป็นสมาชิกคนแรกสุดในพี่น้องเหลียงซานซึ่งขึ้นสู่เขาเหลียงซาน เพราะเป็นผู้บุกเบิกก่อตั้งร่วมกับบัณฑิตชุดขาว หวางหลุน
1
ปักหลั่นดั้นเมฆซ่งว่าน 云里金刚宋万 กลุ่มมารดิน ตี้ส้า ลำดับที่ 46 ลำดับรวมที่ 82 สมาชิกรุ่นบุกเบิกของเขาเหลียงซานพร้อมกันกับตู้เชียน มีลำดับอยู่หลัง แต่เมื่อถึงคราวซ่งเจียงจัดอันดับ 108 คน กลับแซงเพื่อนขึ้นมาได้หนึ่งอันดับ
สมาชิกยุคบุกเบิกเขาเหลียงซานยังมีอีกคนที่ไฉจิ้นไม่ได้เอ่ยถึงคือ จูกุ้ย
1
ตะเข้ดอนจูกุ้ย 旱地忽律朱贵 กลุ่มมารดิน ตี้ส้า ลำดับที่ 56 ลำดับรวมที่ 92 เป็นชาวเมืองอี๋โจวอำเภออี๋สุ่ย 沂州沂水县 รับผิดชอบดูแลร้านอาหารทางขึ้นเขาเหลียงซานด้านทิศใต้ ดูลาดเลาผู้ผ่านทาง หน้าที่นับแต่แรกขึ้นเขาจนปลายไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ฉายาตะเข้ดอน สร้างปัญหาในการตีความอยู่บ้าง
คำว่า หันตึ้ 旱地 หมายถึง บนบก นั้นไม่สู้เป็นปัญหานัก คำว่า ฮูลวี่ 忽律 หมายถึง จระเข้สายพันธุ์หนึ่ง
จระเข้นั้นเคลื่อนไหวคล่องแคล่วในน้ำ เมื่อขึ้นบกจะทำทีเฉยนิ่งไม่ค่อยขยับอาจจะหลอกให้ดูว่าไม่มีพิษสงทั้งที่หน้าตาดูดุร้ายไม่มีใครไว้ใจก็ตามที จูกุ้ยเปิดร้านอาหารอยู่ชายน้ำดูไม่มีพิษสง แต่พร้อมที่จะวางยาชิงทรัพย์ลูกค้าและจับมาเชือดเอาเนื้อทำเนื้อแห้งขาย สมฉายา ตะเข้ดอน หรือ จระเข้บนบก
ตอนก่อนหน้า : หลุมพรางกลางหิมะ
ตอนถัดไป : สัญญาสามิภักดิ์

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา