4 พ.ย. 2023 เวลา 13:41 • ประวัติศาสตร์

ขุนโจรเหลียงซาน 34

เจ็ดดาวร่วมธรรม (7) ชิงของขวัญด้วยปัญญา
พวกหยางจื้อพักกันอยู่ไม่ถึงครึ่งชามข้าว ก็เห็นชายผู้หนึ่งหาบอะไรมาสองถังเดินร้องเพลงมาแต่ไกล
赤日炎炎似火烧,野田禾稻半枯焦。
农夫心内如汤煮,公子王孙把扇摇。
สุรีย์แดงแรงร้อนดังฟอนไฟ
ต้นข้าวในนาแล้งกึ่งแห้งเฉา
ในหัวอกชาวนารุ่มร้อนเร่า
ลูกเจ้าลูกนายโบกพัดคลายร้อน
พอขึ้นมาถึงบนเนินก็วางหาบลง ไปนั่งหลบแดด พวกทหารถามว่า “ในถังคืออะไร”
ชายผู้นั้นว่า “เหล้าขาว”
“หาบไปไหนล่ะ”
“ไปขายที่หมู่บ้าน”
“ขายถังละเท่าไร”
“ห้าก้วน”
พวกทหารคุยกันว่าจะรวมเงินซื้อเหล้ามาดับกระหาย หยางจื้อจึงตวาดไปว่า “พวกเจ้าจะทำอะไร”
ทหารตอบว่า “ซื้อเหล้าไง”
หยางจื้อเอาด้ามดาบหวดเข้าให้กล่าวว่า “ไม่ได้ยินส่าเจียบอกหรือไง หลับหูหลับตาซื้อเหล้า  บังอาจ”
“หาเรื่องกันอีกแล้ว พวกเราออกเงินซื้อเหล้ากันเอง เกี่ยวอะไรกับท่านถึงมาเที่ยวตีคน”
“ไอ้พวกหัวนกเขา ยังจะมาเถียงอีก ไม่รู้หรือไงว่า คนร้ายมักวางยา เจอดีกันไปเท่าไรแล้ว”
คนหาบเหล้ามองหน้าหยางจื้ออย่างยิ้มเยาะกล่าวว่า  “นายท่านผู้นี้ ข้าไม่ขายให้ท่านหรอก พูดมากปากไม่ดี”
ระหว่างทุ่มเถียงกันอยู่ พวกคนขายพุทราที่อยู่ในดงสนก็พากันออกมาถามว่า “เอะอะอะไรกัน”
คนหาบเหล้าว่า “ข้าจะหาบเหล้าไปขายที่หมู่บ้าน แวะนั่งหลบร้อน พวกนี้จะมาขอซื้อเหล้า ข้ายังไม่ทันได้ขาย ท่านนี้ก็หาว่าข้าวางยาในเหล้า ตลกไหมล่ะ พูดมาได้”
พวกเจ็ดคนว่า “เรื่องแค่นี้เอง นึกว่ามีคนร้าย กำลีงนึกอยากเหล้าอยู่ เมื่อพวกเขาระแวงก็เอามาขายพวกข้าละกัน”
“ไม่ขาย ไม่ขาย”
“ไม่แยกแยะเลย พวกข้าไม่ได้ว่าเจ้า จะหาบไปขายที่หมู่บ้านก็เพื่อแลกเงิน ขายให้พวกข้าก็ได้เงินเหมือนกัน ได้ช่วยแก้คอแห้งด้วย”
“ขายให้ถังหนึ่งก็ได้ แต่ไม่มีกระบวย”
“กระบวยพวกข้ามี”
สองคนไปหยิบกระบวยกะลาที่รถมาสองอัน คนหนึ่งกอบเอาพุทรามาหนึ่งกำ ทั้งเจ็ดยืนล้อมถังเหล้า เปิดฝาออกผลัดกันตักดื่มแกล้มกับพุทรา พักเดียวเหล้าก็หมดถัง
พวกเจ็ดคนจึงว่า “ยังไม่ได้ถามราคาเลย”
คนหาบเหล้าว่า “ข้าไม่ขึ้นราคาหรอก ถังละห้าก้วน หาบละสิบก้วน”
“ห้าก้วนก็ห้าก้วน แต่ขอแถมกระบวยหนึ่ง”
“แถมไม่ได้ ราคาขาดตัว”
คนหนึ่งนำเงินจ่ายให้ อีกคนหนึ่งเปิดฝาอีกถังตักเหล้ากระบวยหนึ่งยกดื่ม คนขายเหล้าจะรีบแย่งคืน ชายผู้นั้นถือเหล้าครึ่งกระบวยหนีเข้าป่าไป คนขายเหล้าจะตามไป อีกคนก็ถือกระบวยกะลาออกมาจากดงตรงไปตักเหล้า คนขายเหล้าหันมาตบใส่มือ ชิงกระบวยกะลามาเทเหล้ากลับลงในถังแล้วรีบปิดฝา ทิ้งกระบวยลงพื้นบ่นว่า
“ลูกค้าอย่างพวกท่านนี่ใช้ไม่ได้ หน้าตาดูดี มาทำเป็นเล่น”
พวกทหารนั่งดูอยู่เห็นแล้วคันหัวใจนัก อยากเหล้าเต็มแก่ คนหนึ่งจึงบอกกับตูก่วนผู้เฒ่าว่า
“นายท่านช่วยพูดแทนทีเถิด พวกขายพุทราดื่มกันหมดไปถังหนึ่งแล้ว พวกเราก็ขอซื้อถังที่เหลือมาดับกระหายบ้าง คอแห้งจะเป็นผงแล้ว บนเนินนี้ก็ไม่มีแหล่งน้ำอื่นอีก นายท่านช่วยทีเถิด”
ตูก่วนเองก็อยากดื่มเช่นกันจึงบอกหยางจื้อว่า
“พวกขายพุทราซื้อไปถังหนึ่งแล้ว อีกถังก็ให้พวกเขาซื้อดื่มดับกระหายเถิด บนเนินนี่ก็ไม่มีน้ำที่ไหนอีก”
หยางจื้อจึงคิดว่า “ข้าเห็นพวกนั้นดื่มกันแต่ไกล เหล้าอีกถังก็มีคนตักดื่มไปครึ่งกระบวยแล้วก็ไม่เห็นเป็นอะไร ให้พวกเขาดื่มก็แล้วกัน” จึงกล่าวว่า “เมื่อท่านตูก่วนขอแล้ว ก็ขอซื้อเหล้ากับหมอนั่นเถิด แล้วค่อยเดินทาง”
พวกทหารจึงรวบรวมเงินกันได้ห้าก้วนไปขอซื้อเหล้าถังที่เหลือ คนขายเหล้าบอกว่า “ไม่ขาย ไม่ขาย เหล้าข้าใส่ยาเบื่อไว้”
พวกทหารจึงว่า “พี่ท่านก็ยอกย้อนนะ”
“ไม่ขายไง อย่าวุ่นวาย”
พวกขายพุทราช่วยพูดบ้างว่า “เจ้านี่ อย่าจริงจังไปหน่อยเลย พวกเขาไม่ได้เป็นคนพูดว่าท่าน ก็ขายให้เขาเถิด”
“ไม่มีอะไร แล้วมาเที่ยวระแวงกันทำไม”
พวกขายพุทราจึงกันตัวคนขายเหล้าไว้ แล้วยกเหล้าถังนั้นให้พวกทหาร พวกทหารไม่มีอะไรจะตักเหล้าจึงขอยืมกระบวยใช้ พวกขายพุทราจึงว่า “เอาพุทราไปแกล้มเหล้าด้วย”
“จะดีเหรอ”
“ไม่เป็นไรหรอก แค่พุทราไม่กี่ลูก”
พวกทหารกับตูก่วนหวีโห้วก็ผลัดกันดื่มจนหมดถัง หยางจื้อเองก็ได้ดื่มด้วยครึ่งกระบวย
คนขายเหล้าว่า “เหล้าถังนี้ถูกพวกโน้นขอแถมไปกระบวยหนึ่ง เหล้าไม่เต็มถัง ข้าลดให้ครึ่งก้วน” พอรับเงินแล้วก็หาบถังเปล่าเดินร้องเพลงลงเนินไป
พวกขายพุทรายืนรอกันอยู่ข้างดงสน ชี้มือมายังพวกสิบห้าคนแล้วพูดว่า “ล้มสิ ล้มสิ”
ทั้งสิบห้าคนหัวเริ่มหนัก ทยอยล้มลงกับพื้น พวกเจ็ดคนจึงเข็นรถเจียงโจวออกมาจากดงสน เทพุทราทิ้งแล้วเอาของทั้งสิบเอ็ดหาบแบ่งใส่รถเจ็ดคัน มัดคลุมอย่างแน่นหนาแล้วตะโกนว่า
“กวอเจ้า 聒噪” คำขาน “ขอบคุณขออภัยที่รบกวน” ใช้กันในวงนักเลง
แล้วพากันเข็นรถลงเนินไป
พวกหยางจื้อทั้งสิบห้าคนได้แต่มองตาปริบๆ เห็นเขาปล้นไปต่อหน้าแต่ขยับตัวไม่ได้ พูดก็ไม่ได้
诛求膏血庆生辰,不顾民生与死邻。
始信从来招劫盗,亏心必定有缘因。
งานวันเกิดขูดเลือดเนื้อเพื่อฉลอง
ไม่สนผองประชาชีพเจียนสลาย
เชื่อแต่เดิมเริ่มแรกมีโจรร้าย
สำนึกผิดเมื่อสายหลายสาเหตุ
พวกขายพุทราทั้งเจ็ดก็คือพวกเฉาไก้ ส่วนคนหาบเหล้าขายคือหนูกลางแดดไป๋เสิ้ง เหล้าสองถังที่หาบขึ้นมาแต่แรกนั้นไม่มียาเบื่อ พอดื่มกันหมดถังแรก หลิวถังก็เปิดฝาถังที่สองขอตักเหล้าแถมหนึ่งกระบวย แล้วดื่มให้พวกหยางจื้อเห็นเสียครึ่งกระบวย ถืออีกครึ่งกระบวยวิ่งหนีไป อู๋ย่งก็ใช้อีกกระบวยตักเอายาสลบจากในดงสนแล้วถือมาทำทีขอตักแถมอีกกระบวย แต่เทยาเบื่อใส่ลงในถัง แล้วทำทีตักขึ้นมาจะดื่ม ไป๋เสิ้งตบใส่มือแล้วเทเหล้ากลับลงไป นี่เรียกว่า ชิงของขวัญด้วยปัญญา
หยางจื้อดื่มน้อยกว่าเพื่อนจึงฟื้นลุกขึ้นมายืนโงนเงนได้ก่อน พอมองไปเห็นอีกสิบสี่คนนอนน้ำลายยืดกันอยู่เช่นนั้นก็ได้แต่คิดว่า
饶你奸似鬼,吃了洗脚水。
ต่อให้เล่ห์ร้ายเช่นผี
ก็มีวันกินน้ำล้างตีน
หยางจื้อทั้งโกรธทั้งมึน “เสียทีถูกเขาปล้นของขวัญไปเสียแล้ว จะมีหน้ากลับไปพบเหลียงจ้งซูได้อย่างไร หนังสือนำส่งนี้จะมีประโยชน์อะไร ฉีกทิ้งเสียดีกว่า ตอนนี้ข้ามีบ้านก็ไม่อาจกลับ มีเมืองก็ไม่อาจพึ่ง จะไปที่ไหนได้ โดดเนินดินเหลืองตายเสียดีกว่า”
จึงก้าวเท้าไปยังขอบผา
断送落花三月雨,摧残杨柳九秋霜。
ปล่อยดอกไม้ร่วงโรย
ยามฝนโปรยเดือนสาม
ทำหยางหลิ่วสิ้นนาม
กลางน้ำค้างเดือนเก้า
โอกาสสร้างฐานะ และชื่อเสียงนั้นปล่อยผ่านไปเสียสิ้น
หยางจื้อก้าวถึงริมเนิน พลันฉุกใจได้คิด
“ร่างกายนี้พ่อแม่ให้มา วิชาก็ร่ำเรียนมาแต่เล็ก ไยจะต้องมาตายเสียเปล่า รอวันหน้ายังมีโอกาสกอบกู้กลับมา”
หยางจื้อหันมามองสิบสี่คนที่ยังนอนตัวชาลืมตาอยู่ ชี้หน้าพวกนั้นแล้วด่าว่า
“เป็นเพราะพวกเจ้าไม่ฟังข้า ส่าเจียจึงตกที่นั่งลำบาก” แล้วก็ถอนดาบของตนจากพื้น เดินลงเนินไป
ถึงยามสอง พวกสิบสี่คนจึงเริ่มขยับตัวได้ ทยอยกันลุกขึ้นมา
ตูก่วนเฒ่าว่า “พวกเจ้าไม่ฟังคำหยางถีเสีย ทำให้ข้าต้องลำบากไปด้วย”
พวกทหารว่า “นายท่าน เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว มาหารือกันดีกว่า”
ตูก่วนเฒ่าว่า “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร”
พวกทหารว่า “โบราณว่า
火烧到身,各自去扫;
蜂虿入怀,随即解衣。
ไฟไหม้ถึงตัว ต่างคนต่างปัด
ต่อแตนมุดอก ต้องรีบถอดเสื้อ
ถ้าหยางถีเสียยังอยู่ตรงนี้ คงพูดไม่ได้ แต่เมื่อหยางถีเสียไม่อยู่แล้ว เราก็โยนเรื่องให้เขาไปเสียทั้งหมด รายงานไปว่าหยางจื้อเอาแต่เฆี่ยนตีต้อนให้พวกเราเร่งเดินทาง พอพวกเราไม่พอใจ หยางจื้อก็หันไปสมคบกับโจรวางยาพวกเรา แล้วปล้นเอาของไป”
ตูก่วนเฒ่าว่า “เช่นนั้นก็ดีอยู่ พรุ่งนี้เราไปแจ้งทางการที่อยู่ใกล้แล้วให้หวีโห้วทั้งสองอยู่ตามเรื่องออกจับโจร พวกเราที่เหลือกลับไปรายงานที่เป่ยจิง ขอให้ทำหนังสือแจ้งท่านราชครู และให้บอกมายังเมืองจี้โจวให้ตามจับโจรกลุ่มนี้”
หยางจื้อเดินลงเนินดินเหลืองมุ่งหน้ามาทิศใต้โดยไม่มีจุดหมาย ตกค่ำก็นอนพักยังชายป่า ตื่นมาก็คิดว่า
“เงินติดตัวก็ไม่มี แถวนี้ก็ไม่รู้จักใคร จะทำอย่างไรดี”
เห็นฟ้าใกล้สว่าง จึงลุกขึ้นเดินทางต่อขณะที่อากาศยังเย็นอยู่ เดินมาเรื่อยๆ ได้ยี่สิบกว่าลี้
面皮青毒逞雄豪,白送金珠十一挑。
今日为何行急急,不知若个打藤条。
ใบหน้าครามน่าครั่นคร้ามตามสำแดง
เสียแรงเปล่าส่งทรัพย์สิบเอ็ดเข่ง
วันนี้ไยจึงต้องเดินรีบเร่ง
ไม่รู้ใครเล็งหวายลงไล่หวด
เดินจนเหนื่อยมาถึงหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่งจึงคิดว่า “ถ้าไม่หาอะไรกิน คงไปไหนต่อไม่ได้”
หยางจื้อเดินเข้าไปนั่งในร้าน เอาดาบพิงกับโต๊ะ หญิงเจ้าของร้านมาถามว่าจะรับอะไร
หยางจื้อว่า “เอาเหล้ามาก่อนสองเจี่ยว ข้าวและเนื้อมาด้วย แล้วค่อยคิดเงิน”
หญิงเจ้าของร้านเรียกชายหนุ่มคนหนึ่งยกเหล้ามาให้ แล้วก็ไปผัดเนื้อ หุงข้าว
หยางจื้อกินจนอิ่ม ลุกขึ้นคว้าดาบเดินออกจากร้าน
หญิงเจ้าของร้านว่า “เงินค่าอาหารยังไม่ได้จ่ายเลย”
หยางจื้อว่า “ข้าขอติดไว้ก่อน ขากลับค่อยมาจ่าย” แล้วก็เดินหนีมา
หนุ่มรินเหล้าวิ่งตามมาจับตัวหยางจื้อ หยางจื้อชกเข้าให้หมัดหนึ่งจนล้ม หญิงเจ้าของร้านตะโกนให้คนช่วย หยางจื้อจ้ำเดินหนี ได้ยินคนตะโกนอยู่ด้านหลังว่า “เจ้าจะหนีไปไหน”
หยางจื้อหันกลับมามองก็เห็นชายคนหนึ่งถลกแขนเสื้อถือกระบองวิ่งตามมา จึงว่า “เจ้าโชคร้ายยังไม่รู้ตัว ตามมาหาเรื่องส่าเจีย” แล้วหันกลับมายืนปักหลักมองไปเห็นหนุ่มรินเหล้าถือสามง่ามกับอีกสองคนถือกระบองวิ่งตามมาสบทบด้วย
หยางจื้อจึงคิดว่า “เล่นงานเจ้าคนแรกนี่ก่อน ที่เหลือก็ไม่กล้าตามมาเอง” แล้วก็ปราดเข้าปะทะกับชายคนแรกที่ถือกระบอง สู้กันไปได้ราวสามสิบเพลง ชายผู้นั้นสู้หยางจื้อไม่ได้ ได้แต่ตั้งรับปัดป้อง พวกที่วิ่งตามมาสมทบก็ยังได้แต่จดจ้องรอจังหวะจะเข้ารุม
ชายใช้กระบองกระโดดออกจากวงตะโกนว่า “ทั้งหมดหยุดมือก่อน เจ้าคนใช้ดาบ บอกมาชื่ออะไร”
หยางจื้อเอามือตบอก “ส่าเจียยืนไม่เปลี่ยนชื่อ นั่งไม่เปลี่ยนแซ่ สัตว์หน้าครามหยางจื้อ”
“คงมิใช่หยางจื้อสื่อกององครักษ์แห่งตงจิงกระมัง”
“ทำไมเจ้าจึงรู้ว่าส่าเจียคือหยางจื้อสื่อ”
ชายผู้นั้นทิ้งกระบองแล้วกระทำคารวะกล่าวว่า “ผู้น้อยมีตาหามีแววไม่”
หยางจื้อพยุงให้ลุกขึ้นถามว่า “ท่านเป็นใคร”
ชายผู้นั้นตอบว่า “ผู้น้อยเป็นชาวเมืองไคเฟิง เป็นศิษย์ท่านครูฝึกทหารองครักษ์แปดสิบหมื่นหลินชง แซ่เฉา 曹 ชื่อเจิ้ง 正 บรรพบุรุษมีอาชีพฆ่าสัตว์ ผู้น้อยจึงมีฝีมือการเชือดชำแหละแล่เนื้ออันเชี่ยวชาญ คนเรียกผู้น้อยว่า ภูตชาญมีด 操刀鬼
มีเศรษฐีท่านหนึ่งให้เงินทุนห้าพันก้วนมาค้าขายที่ซานตงนี่ มิคาด ขาดทุนหมดสิ้น มิอาจกลับไปได้ แต่ได้มาแต่งเป็นเขยเข้าบ้านที่นี่ สตรีที่ท่านพบก่อนหน้าคือภรรยาผู้น้อย ส่วนหนุ่มถือสามง่ามเป็นน้องเมีย
เมื่อครู่ได้ประมือกับท่านจื้อสื่อ เห็นว่าฝีมือเทียบได้กับท่านอาจารย์หลินชง จึงรู้ว่าไม่อาจรับมือได้”
“ที่แท้ก็เป็นลูกศิษย์ของครูฝึกหลิน อาจารย์ของท่านโดนเกาฉิวใส่ความ ตอนนี้กลายเป็นโจรอยู่ที่เขาเหลียงซาน”
“ผู้น้อยก็ได้ยินมาเช่นนั้น แต่ไม่แน่ใจว่าจริงไหม เชิญท่านจื้อสื่อไปพักในบ้านก่อนเถิด”
ภูตชาญมีดเฉาเจิ้ง 操刀鬼曹正 กลุ่มมารดิน ตี้ส้า ลำดับที่ 45 ลำดับรวมที่ 81 เป็นผู้ดูแลโรงฆ่าสัตว์ของเหลียงซาน
หยางจื้อและเฉาเจิ้งเดินกลับเข้าไปนั่งในร้านแล้ว เฉาเจิ้งก็ให้ภรรยาและน้องภรรยามาคารวะทำความรู้จักแล้วถามหยางจื้อว่า “จื้อสื่อ ทำไมจึงมาแถวนี้”
หยางจื้อจึงเล่าเรื่องตั้งแต่ทำหินประดับจมน้ำ จนมาถึงเรื่องถูกปล้นของขวัญวันเกิดให้ฟัง แล้วว่า
“ส่าเจียคิดว่าจะไปเขาเหลียงซาน ไปหาครูฝึกหลินอาจารย์ของเจ้า ตอนที่ผ่านไปครั้งก่อนได้เคยประมือกันอยู่ ครั้งนั้นนายส้องหวางหลุนชวนให้อยู่ด้วย แต่ข้ายังไม่คิดจะเป็นโจร มาบัดนี้ หน้าก็ถูกสักตราเสียแล้ว จะกลับไปขอเข้าพวกก็ออกจะเสียหน้าอยู่บ้าง จึงลังเลสองจิตสองใจอยู่”
เฉาเจิ้งว่า “ที่จื้อสื่อท่านพูดก็ถูก ผู้น้อยได้ยินมาเหมือนกันว่าหวางหลุนเป็นคนใจคอคับแคบ ตอนที่อาจารย์หลินขึ้นเขาใหม่ๆ นั้นก็ถูกเล่นงานเอาแย่เช่นกัน
แต่ว่าไม่ไกลจากที่นี่ก็มีส้องโจรอยู่ที่ชิงโจว 青州 บนเขาชื่อ เขาสองมังกร 二龙山 (เอ้อหลงซาน) บนเขามีวัดชื่อ วัดแก้วมณี 宝珠寺 (เป่าจูสื้อ) เขาแห่งนี้ชัยภูมิดี มีทางขึ้นลงทางเดียว ตอนนี้เจ้าอาวาสสึกเป็นฆราวาสแล้วตั้งตัวเป็นนายส้อง พวกพระลูกวัดก็สึกตามมาเป็นโจรมีอยู่ราวห้าร้อยคน ตัวนายส้องเรียกว่า เสือตาทองเติ้งหลง 金眼虎邓龙 จื้อสื่อท่านหากคิดจะเป็นโจร ไปขอเข้าพวกที่นี่ก็ได้”
หยางจื้อว่า “มีทำเลเช่นนี้ ก็น่าไปชิงมาเป็นที่มั่น”
ตอนก่อนหน้า : หยางจื้อส่งของขวัญ
ตอนถัดไป : พบเขาแล้วรวย

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา