18 พ.ย. 2023 เวลา 15:37 • การ์ตูน

รีวิวอนิเมะ ”Attack on Titan“

“คนที่ไม่ยอมสละอะไรเลย ไม่มีทางจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ถ้าไม่ยอมสูญเสียอะไรเลยก็อย่าหวังว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้”
เป็นคำพูดติดปากของอาร์มิน อาร์เลอร์ท ตัวละครหลักที่อาจารย์ฮาจิเมะ อิซายามะ ผู้วาดและแต่งเรื่อง Attack on Titan สื่อคำพูดผ่านตัวละครอาร์มินไว้ได้อย่างลึกซึ้ง
การวางเค้าโครงเรื่องว่า
“โลกใบนี้มันโหดร้าย ผู้ชนะเท่านั้นที่จะมีชีวิตอยู่ต่อได้ในโลกอันโหดร้าย”
ทำให้เหล่าตัวเอกของเรื่องต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อที่จะอยู่รอด แต่การต่อสู้นั้นก็มีทั้งการสูญเสียและการได้มา ซึ่งผลลัพธ์ของการกระทำนั้นบางครั้งอาจจะดูไม่คุ้มค่าหรืออาจะเสียเปล่าเลยก็ได้
วลีที่ว่า “ถ้าไม่ยอมสูญเสียอะไรเลยก็อย่าหวังว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้” อาจารย์ฮาจิเมะก็แสดงผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ได้ดี เช่น การได้พลังไททันอันเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ก็ย่อมต้องสูญเสียอะไรบางอย่างที่ใหญ่หลวงไปเช่นกัน นั่นก็คือ “เวลา” (เวลาในการใช้ชีวิตอยู่บนโลก)
Season 1 และ 2 อาจจะพูดได้ว่าหลอกคนดูให้ตายใจ ทำให้คิดว่าเป็นการ์ตูนสำหรับวัยรุ่นทั่วไปที่เน้นการพัฒนาตนเองสู้กับสัตว์ประหลาดทำนองมังงะโชเน็งที่มักมีการแทรกมุกตลก เพื่อไม่ให้เรื่องหนักจนเกินไป
ที่ไหนได้พอเริ่ม Season 3 ขึ้นไปเนื้อเรื่องดันสอดแทรกการเมือง เริ่มไม่เน้นฉากสู้และเป็นแนวปรัชญามากขึ้น เน้นไปที่ความคิดและความสัมพันธ์ของตัวละคร ความตึงเครียด สภาวะจิตใจ การเลือกข้าง ทำให้กลายเป็นอนิเมะสายดาร์ก การยอมทำทุกอย่างเพื่อเอเรนของมิคาสะถึงขนาดที่พูดว่า As long as I have you, I can do anything.
แต่เอเรนเองกลับไม่เคยแสดงออกให้มิคาสะรู้ ทำให้มิคาสะเหมือนจะกลายเป็นตัวแทนของความรักที่ไม่สมหวังยิ่งขับเน้นด้านดาร์กออกมาถึงขีดสุดทำให้หลายคนที่ดูแล้วอาจจะรู้สึกว่าไม่สนุกและเลิกดูไปเลยก็ได้ จะเหลือแค่ผู้ชมเฉพาะกลุ่ม
ถึงอย่างนั้น ฉากต่อสู้ของ Season 1 กับ Season 3 part 3 ก็มันส์มาก
เมื่อดูจบผมก็รู้ได้เลยว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมชอบมาก แม้จะไม่แฮปปี้เอนดิ้งแต่ก็เข้าใจได้ถึงแก่นแท้ของเรื่องที่อาจารย์ฮาจิเมะอยากจะสื่อ เขาไม่ได้ต้องการแต่งการ์ตูนที่เน้นความดีชนะความชั่ว พระเอกต้องเป็นคนดีไม่คิดเข่นฆ่าใคร แต่เขาต้องการสื่อให้เห็นความเป็นมนุษย์จริงๆ ที่มีความคิดเป็นของตนเอง มีอุดมการณ์ และพร้อมที่เลือกทำสิ่งที่ตนเองคิดว่าถูกต้อง แม้ว่าจะแลกมาด้วยการกระทำที่คนอื่นอาจจะมองว่าเป็นคนเลว
เรื่องนี้ผมยกให้เป็นอนิเมะที่มวลมนุษยชาติต้องดู อนิเมะเรื่องนี้ไม่ได้ทำมาสำหรับเด็กเลย มันเป็นการสอนการใช้ชีวิตของผู้ใหญ่เลยก็ว่าได้ ตั้งแต่ผมดูอนิเมะมาไม่เคยเจอเรื่องไหนที่ดูแล้วรู้สึกเนื้อเรื่องน่าติดตามได้ขนาดนี้ บทคำพูดของตัวละครดีมาก อย่างเช่น ความฉลาดของเออร์วิน ตอนที่จะลากเอเรนเข้าหน่วยสำรวจเพื่อไม่ให้ถูกหน่วยสารวัตรทหารฆ่า รู้จักพลิกแพลงสถานการณ์ ใช้คำพูดตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อจูงใจให้ผู้อื่นคล้อยตาม
บางฉากดูไปก็ขนลุกไปว่าคนเขียนคิดบทพูดและสถานการณ์แบบนี้ได้อย่างไร มันสุดยอดมาก
เนื้อเรื่องมีการเสียดสีสังคมมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการแก่งแย่งชิงดีทางสังคม การเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์ ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ทำให้เห็นด้านมืดของมนุษย์ ผู้แข็งแกร่งคือผู้อยู่รอดในสังคม
คนดีไม่มีที่ยืนในสังคม แม้จะเห็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องแต่ก็ไม่อาจยื่นมือเข้าไปแก้ไขได้ เพราะคนส่วนใหญ่กลับมองว่าสิ่งนั้นเป็นเรื่องที่ปฏิบัติตามกันมาจนเป็นประเพณี คนที่ทำผิดแม้จะรู้ว่ามันผิดแต่ในใจกลับรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติที่ใครๆ เขาก็ทำกัน การตัดสินใจของตัวละครที่ทำให้รู้สึกเหมือนชีวิตคนจริงๆ ที่ต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่างว่าจะซ้ายหรือจะขวาซึ่งเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าทางไหนเป็นทางที่ถูกต้อง แต่เราก็ต้องถูกบังคับให้ตัดสินใจ
การบูลลี่ การทำตามอุดมการณ์ที่ตนเองยึดมั่นโดยไม่สนว่าจะถูกหรือผิด เกียรติยศ และเป้าหมายของตนเอง ถูกสอดแทรกได้อย่างแนบเนียน และเมื่อเราดูไปเรื่อยๆ แล้วจะให้ความรู้สึกว่าอาจารย์ฮาจิเมะยึดหลักการ All men must die เหมือนกับผู้เขียนนิยาย Game of Thrones ที่ไม่ว่าตัวละครนั้นจะดูเก่งกาจ สำคัญ และเป็นที่รักของคนดูขนาดไหนก็พร้อมจะตายได้ตลอดเวลา เหมือนกับชีวิตจริง
เรื่องนี้ถ้าถูกทำออกมาเป็นซีรีส์ฉบับคนแสดงและทำเนื้อเรื่องได้แบบนี้เป๊ะ มันจะต้องเป็นซีรีส์ที่ยอดเยี่ยมมาก
หลังจากดูจบแล้วให้แง่คิดหลายอย่าง เช่น การตัดสินคนที่ไม่เคยเจอกันเพียงเพราะรับฟังมาจากคนอื่นว่าเขาเป็นคนไม่ดี
ทุกคนต่างก็มีปีศาจอยู่ในตัว และหลายคนคุมปีศาจของตนเองไม่ได้ โลกจึงกลายเป็นแบบนี้
การล้างแค้นกันไม่จบสิ้น ทำให้ความสงบสุขไม่มีจริง
การกระทำของมนุษย์หลายครั้งที่ต่างฝ่ายต่างนำอุดมการณ์ของตนเองมาสร้างเป็นความเชื่อปลูกฝังให้กับกลุ่มคนของตนเองเพื่อให้ทำตาม หาเหตุผลต่าง ๆ มาอ้างเพื่อให้การกระทำของตนเองชอบธรรม
สุดท้ายต้องขอชื่นชม WIT STUDIO และ MAPPA ที่ถ่ายทอดมังงะเรื่องนี้ออกมาเป็นอนิเมะได้ดีมาก ฉากต่อสู้มันส์มาก การเคลื่อนไหวของตัวละครดูเป็นธรรมชาติ ลวดลายประกายดวงตาสวยมาก
ส่วนของเพลง Guren no Yumiya ที่ใช้เป็นเพลง opening ใน season 1 ก็เข้ากับอนิเมะมาก ให้ความรู้สึกปลุกใจสุดๆ จำได้ว่าช่วงที่ดูแรกๆ เอามาเปิดฟังตอนออกกำลังกายบ่อย ทำให้คึกวิ่งได้นานขึ้น
ผมไม่แปลกใจเลยที่ประเทศญี่ปุ่นจะมีชื่อเสียงในด้านการ์ตูน หรือเกม เพราะคนที่มีคุณภาพมีความสามารถของเขาหันมาทำงานด้านนี้กันหมดทำให้งานที่ออกมามีคุณภาพยิ่งกว่าภาพยนต์ที่ใช้คนแสดงจริงซะอีก
ญี่ปุ่นไม่ได้มองว่าการ์ตูนเป็นเรื่องของเด็กๆหรือไร้สาระ เขาสอดแทรกการมีความรับผิดชอบ การเสียสละต่อส่วนรวมไว้ให้เด็กๆ ดูกันตั้งแต่เด็ก เพราะอย่างนี้ล่ะมั้งสังคมเขาถึงได้มีแต่คนมีความรับผิดชอบต่อสังคมสูง
สรุปเรื่องนี้ไม่ต้องให้มีใครมาบอกว่า “จงถวายดวงใจซะ” ผมก็ถวายดวงใจให้กับเรื่องนี้เต็มร้อยครับ ให้ 5 ดาวเต็ม ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา