16 ธ.ค. 2023 เวลา 04:30 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

The Thing(1982) : ไอ้ตัวเขมือบโลก

คอหนังวัยเก๋าทุกคนรู้จักเรื่องนี้เป็นอย่างดี
ด้วยเนื้อหาที่เป็นหนังสยองขวัญจากฝีมือของผู้กำกับมากความสามารถนาม John Carpenter และเทคนิคพิเศษ(special effect)จากทีมของRob Bottinที่ประเคนเสิร์ฟให้ทุกท่านได้ชมอย่างจุใจ
และมันก็สาแก่ใจคอหนังแนวสยองขวัญมอนสเตอร์เอฟเฟ็คเยอะเป็นพิเศษ
เรื่องนี้คือตำราเล่มใหญ่ของเทคนิคพิเศษแนวนี้เลยล่ะครับ
เสียแต่สมัยนั้นเรื่องนี้ไม่ได้ดังทะลุฟ้าทำรายได้ไปก็ไม่เยอะนักแทบจะขาดทุนด้วยซ้ำเหตุเพราะปีนั้นมีหนังดังๆออกมาหลายเรื่องอย่างE.T.ที่พูดถึงมนุษย์ต่างดาวเหมือนกันแต่เนื้อเรื่องก็ไม่ได้หดหู่ ไม่อ้วก ไม่ฆ่ากันตาย ดูแล้วมีความสุข
ผิดกันกับเรื่องนี้ที่เป็นหนังสยองขวัญมนุษย์ต่างดาวที่ฆ่ากันกระจายเลือดสาด
มันชวนอ้วกดีจริงๆ
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นแนวHorror-SciFi ที่มีที่มาจากเรื่องสั้นชื่อWho Goes There? เขียนโดย John W. Campbell Jr. ในปี1938 แปลไทยในชื่อมันมาจากนอกโลก โดยมีคุณณัฐ ศาสตร์ส่องวิทย์เป็นบรรณาธิการ
cr. google ปกหนังสือต้นฉบับบกับฉบับบแปลไทย
นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ครั้งแรกเมื่อปี1951 ในชื่อ The Thing from Another World และต่อมาคือThe Thing ปี 1982 และล่าสุดดัดแปลงเป็นPrequelเมื่อปี2011 เคยมีโครงการจะสร้างเป็นมินิซีรีส์ด้วยแต่โครงการพับไปก่อน
cr. google ใบปิดหนังทั้ง3
ส่วนที่ผมจะเล่าต่อไปนี้คือการสปอยล์เนื้อหาของภาพยนตร์The Thing(1982)ที่ทุกท่านน่าจะทราบกันดีอยู่แล้ว
เปิดเรื่องมาด้วยการตามล่าสุนัขตัวหนึ่งอย่างดุเดือดเอาตายมาจนถึงแคมป์ของชาวอเมริกัน มีการยิงกันจนทำให้คนตามล่าสุนัขเสียชีวิตหมด
ทางอเมริกันช่วยสุนัขไว้ได้แล้วย้อนรอยกลับไปสำรวจที่มาที่ไปก็พบว่าพวกที่ตามล่าสุนัขเป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวนอร์เวย์ สภาพแคมป์ที่อยู่เสียหายยับเยินและไม่พบผู้รอดชีวิต แต่พวกเขาพบอะไรบางอย่างที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรและมาจากไหน
พอกลับมาที่แคมป์ของตัวเอง เหตุการณ์สยองขวัญก็เริ่มขึ้น
สุนัขที่ช่วยไว้กลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดฆ่าคนในแคมป์แต่ทุกคนช่วยกันกำจัดมันได้สำเร็จ
ทางแคมป์ตรวจสอบแล้วคิดว่าสัตว์ประหลาดนั้นน่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตจากนอกโลกและพบว่ามันยังมีชีวิตอยู่เพราะมีคนในแคมป์ตายอย่างสยดสยองเป็นระยะ
มันทำให้ทุกคนหวาดผวาว่าใครจะเป็นรายต่อไป
ที่สำคัญคือทุกคนพบว่ามันสามารถแปรสภาพตัวเองให้เหมือนกับมนุษย์ในแคมป์ได้ด้วยอย่างแยกไม่ออก ทั้งหมดจึงตกอยู่ในสภาพไม่ไว้วางใจกันและกันเพราะไม่รู้ว่ามันแปรสภาพเป็นใคร
แต่สุดท้ายตัวเอกเราก็ปราบมันได้ก่อนที่มันจะหลุดออกไปจากแคมป์
นั่นแสดงให้เห็นถึงความสามารถและความพยายามของคนเราเองที่ทำให้สยบมันได้สำเร็จ แม้มันจะดูเป็นสูตรสำเร็จกับง่ายไปหน่อย
อย่างว่า ขมวดปมจนแทบไม่มีทางออก ลุ้นกันจนเหงื่อตกกีบ ก็ต้องอาศัยวิธีจัดการแบบนี้เหมือนกัน
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของเรื่องนี้คือเทคนิคพิเศษครับ มันคือตัวชูโรงที่ทำให้คนเข้าไปชม
และมันคือความคลาสสิคสุดๆ
งานรุ่นนี้ไม่มีCGI มีแต่บลูสกรีน เทคนิคกลไก สต๊อปโมชั่น เทคนิคแต่งหน้า การจัดแสง และงานดีไซน์ตัวสัตว์ประหลาดที่ล้ำจริงๆ
ชุดนี้จะเป็นภาพครับ
cr. google การทำเทคนิคพิเศษ
ตอนดูรอบแรกๆ โอย มันดูจริงมาก ตื่นเต้นจริง แหวะจริง
มันดูสยองขวัญมากกว่าน่ากลัว
ในมุมหนังมอนสเตอร์มันดีมากครับ แต่ถ้าจะมองแบบหลอนๆผีๆนี่ผมออกจะเฉยๆ
พอพูดถึงงานผี ผมว่าผีฝรั่งแพ้ผีไทยกับทางเอเชียราบเลยล่ะ
ผีฝรั่งมันดูน่ากลัวก็จริงแต่มันเป็นแบบสัตว์ประหลาดหรือมอนสเตอร์มากกว่าจะเป็นผีจริงๆ ส่วนผีไทยกับแถบเอเชียนี่น่ากลัวแบบข้าคือผีจริงๆนะเว้ย ไม่ใช่สัตว์ประหลาดอะไรที่ไหน
เอาล่ะ มาว่ากันต่อ
บรรยากาศของหนังเต็มไปด้วยความอึดอัด ไม่น่าไว้วางใจ อยู่ในที่ปิดตาย ถึงจะบอกว่าอยู่ข้างนอกแคมป์พื้นที่โล่งแต่สภาพอากาศในเรื่องที่มืดๆหนาวเย็นหรือขาวโพลนก็ทำให้เรารู้สึกอึดอัดแบบเดียวกับการฆาตกรรมในห้องปิดตายแบบนิยายนักสืบและอีกจุดที่เหมือนกันอีกอย่างคือเราต้องหาว่าเจ้าสัตว์ประหลาดมันอยู่ที่ไหนและจะกำจัดมันยังไงดีก่อนที่จะถูกมันฆ่า แถมยังไว้ใจใครก็ยากเพราะไม่รู้ว่าเป็นคนเหมือนกันหรือเปล่า ไอ้ที่คิดว่าใช่คนเผลอๆก็คือมันที่แปรสภาพมา สภาพต่อไปคงจะไม่สวยงามตามท้องเรื่องล่ะจ้า
เวียนเฮดจริง
แล้วThe Thingคืออะไร
ตามเนื้อเรื่องสรุปได้ว่ามันคือสิ่งมีชีวิตจากนอกโลกที่อยู่ในสภาพจำศีลจากอากาศที่หนาวเย็น มันแพ้ไฟหรือความร้อนสูง เซลทุกอณูของมันคือการดิ้นรนเอาชีวิตรอด แยกตัวได้ แปรสภาพได้ มีความคิด ฉลาด เลียนแบบพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตต่างๆได้ แต่ไม่สามารถแปรสภาพตัวเองให้เป็นอนินทรีย์วัตถุหรือสิ่งที่ไม่มีชีวิตได้เลย ซึ่งจุดนี้เป็นจุดสังเกตที่สำคัญของเรื่องว่าเป็นมันแปรสภาพมาหรือเปล่า
cr. google The Thing ที่มีการวาดไว้
แล้วถ้านำมาเทียบเคียงกับสัตว์ประหลาดจากต่างดาวด้วยกันอย่าง Xenomorph จากเรื่องเอเลี่ยนล่ะ
cr. google Xenomorphจากเอเลี่ยน
ผมว่าพวก Xenomorph โหดจริงและน่ากลัวในแง่กายภาพที่เข้าปะทะกันตรงๆได้อย่างแข็งแรงดุดัน ร่างกายของมันรวมถึงเลือดเนื้อคืออาวุธที่มีความรุนแรงสูง
ส่วน The Thing น่ากลัวในแง่การแปรสภาพตัวเองให้เป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ต่างๆได้ ใช้งานได้จริงและเนียนมากจนแยกไม่ออกจากคนหรือสายพันธุ์อื่นๆในจักรวาลเพียงแต่จำนวน The Thing ที่ปรากฎนั้นน้อยกว่า
ขนาดแค่ตัวเดียวยังมีฤทธิ์เดชขนาดนี้ นี่ถ้ามีเป็นฝูงเหมือนXenomorphมีหวังดูไม่จืด
หลายท่านให้ความเห็นไว้ว่าเรื่องนี้คือการจำลองสภาพสงครามเย็นหรือช่วงคอมมิวนิสต์ที่บรรยากาศในห้วงนั้นจะดูอึดอัดอับทึบ ทุกประเทศจะอยู่ในอาการหวาดระแวง และประเทศมหาอำนาจทั้งหลายก็เร่งสร้างอาวุธและสะสมนิวเคลียร์กันทั้งนั้น และถ้าจะนับถอยกลับไปในปีที่เขียนเรื่องสั้นเรื่องนี้(1938) สภาพจะเหมือนกับจำลองสภาวะก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่2ในปี1939
สภาพหวาดระแวงในตอนนั้นก็คล้ายกับบรรยากาศในเรื่องที่ไม่มีใครไว้ใจใครนอกจากตัวเอง
อาวุธที่ต่างเร่งสร้างและนิวเคลียร์คือThe Thingที่มีความสามารถในการทำลายล้างสูงและกลืนกินผู้คนได้สบาย
ว่าแต่เมื่อเทียบกับปัจจุบันนี้
The Thingน่าจะเทียบได้กับโควิด-19หรือโรคเอดส์ในสมัยก่อนที่คร่าชีวิตคนทั้งโลกได้อย่างสบายๆและแนบเนียนจริงโดยที่เราไม่รู้ตัว รู้อีกทีคือเป็นโรคนี้แล้ว แถมยังกระจายตัวออกไปได้ง่ายๆ ติดก็ง่าย ปรับตัวก็เก่ง ทำให้คนเราตายได้ง่ายๆ แต่มันก็มีจุดอ่อนที่ไม่ทนความร้อนกับตายได้ง่ายเหมือนกัน คนเราก็ได้แต่คิดวัคซีนกับยาต่างๆมาต่อกรกับมัน
แต่คงต่างกันตรงที่ผมมีความเชื่อในทฤษฎีสมคบคิดว่าโควิด-19เกิดจากการดัดแปลงเชื้อโรคตามธรรมชาติให้กลายเป็นเชื้ออย่างที่เราเจอกันตอนนี้มากกว่าจะเกิดจากการกลายพันธุ์ตามปกติ แล้วคนเราเองนี่ล่ะที่เป็นคนดัดแปลงมันขึ้นมาเพื่อหวังขายวัคซีนกับกำจัดคนที่ไม่พึงประสงค์
น่าสนใจจริงๆเมื่อหันมามองในมุมนี้
กลับมาก่อน อย่าเพิ่งตั้งทฤษฎีเพ้อเจ้อ เดี๋ยวเขาจะฟ้องเอา
แม้ตัวภาพยนตร์เหมือนจะเน้นไปที่เทคนิคพิเศษเป็นส่วนใหญ่จนโดดเด่นเกินไปเมื่อเทียบกับเนื้อหาที่ออกจะธรรมดาอยู่
แต่เมื่อนานวันเข้าจนพ.ศ.นี้ มียูทูบเบอร์หลายคนนำเรื่องนี้มาแกะดูเนื้อหากับรายละเอียดทีละช่วงเพื่อเสริมความเข้าใจ และมันทำให้เห็นถึงร่องรอยหลายอย่างที่ผู้สร้างได้บอกไว้เป็นนัยๆว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง The Thingแปรสภาพเป็นใครตามลำดับ โดยการวิเคราะห์แต่ละช่วงนั้นจะเห็นได้ชัดว่าผู้สร้างทิ้งอะไรไว้ให้ตามและใส่ใจรายละเอียดมากๆถ้าพิจารณากันดีๆ
และส่วนที่มีคนถามมามากคือที่สุดแล้วตัวเอกของเรากับเพื่อนคนสุดท้ายที่รอดมาด้วยนั้น ตกลงเป็นคนด้วยกันทั้งคู่หรือว่าใครคนใดคนหนึ่งคือThe Thing?
ในพ.ศ.นั้นมีหลายคนบอกว่าทั้งคู่ที่รอดมาได้นั้นคือมนุษย์จริงๆ ไม่ใช่The Thing เพราะทั้งคู่ไม่สนใจไยดีอะไรอีกแล้ว กินเหล้าดีกว่า ยังไงก็ตายอยู่ดีเพราะแคมป์กับอุปกรณ์ต่างๆเสียหายทั้งหมด
แต่มาพ.ศ.นี้ ยูทูบเบอร์หลายคนวิเคราะห์จากตัวหนังและไปสัมภาษณ์ผู้กำกับถึงเรื่องนี้ คำตอบที่ได้ออกมาในทำนองที่ว่าตัวเอกของเราที่รอดมาคือคนจริงๆ ส่วนอีกหนึ่งที่รอดมาด้วยกันคือThe Thing แต่ทั้งคู่จะตายเพราะอากาศหนาวเย็น เหตุผลเป็นเพราะชุดของเพื่อนที่ใส่ในตอนจบมันเป็นคนละชุดกับตอนก่อนหน้าที่จะจัดการกับThe Thing รวมทั้งลมหายใจที่ออกมาไม่เป็นไอเหมือนตัวเอกเรา
โอย อะไรจะละเอียดปานนั้น ดูแล้วยังงงเลยว่าเขาทำอย่างนั้นจริงหรือวะ
เมื่อดูอีกรอบก็สรุปว่า เออ จริงเว้ย ทีมงานเขาใบ้ให้ตั้งเยอะแล้ว เรามีหน้าที่ส่องเอาเองว่ามันเป็นตอนไหนบ้าง
มึนตึ๊บแท้เทียว
อย่างที่บอกกล่าวไว้แล้วว่าเรื่องThe Thingไม่ได้โด่งดังในพ.ศ.นั้นเอาเสียเลยแม้ว่าจะมีคนพูดถึงมากแต่ก็ออกไปทางแง่ลบซึ่งพอเข้าใจได้อยู่
เพียงตอนนี้คนให้ความสนใจเรื่องนี้เพิ่มขึ้นและแทบจะเรียกได้ว่าเป็นหนังคัลท์ในดวงใจของหลายคนเลยด้วยซ้ำ แม้จะมีรีเมคเป็นprequelแต่ก็ไม่ได้เป็นที่กล่าวถึงสักเท่าไหร่ คะแนนIMDbก็สู้ของเก่าไม่ได้
แต่ที่แน่ๆ ผลงานเรื่องนี้กลายเป็นแม่แบบให้กับหนัง นิยาย หรือคอมมิคหลายๆเรื่องในเวลาต่อมาเพราะหลายฉากหลายตอนพอดูอ่านหรือดูแล้ว เออ นี่มันฉากในเรื่องThe Thingนี่หว่า
ถอดกันมาเป๊ะๆ
แถมยังมีการผูกโยงไปจนถึงCosmic Horrorในจักรวาล ของH.P. Lovecraft อีกด้วย ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะฝรั่งที่สร้างหนังสัตว์ประหลาดแนวๆนี้มักได้แรงบันดาลใจจากนิยายของH.P. Lovecraftกันมาเป็นส่วนใหญ่
cr. google H.P. Lovecraftผู้สร้างโลกของมอนสเตอร์สยองขวัญแบบCosmic Horror
เอาเถอะครับ จะอะไรก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าผมกะจะเปืดดูเรื่องนี้อีกสักรอบ ว่าจะเจาะลึกเหมือนกัน
เผื่อจะได้วิเคราะห์ได้เป็นตุเป็นตะแบบคลิปที่ดูบ้าง
ไม่เลวแฮะ
เผลอๆอาจจะดังกับเขาขึ้นมาก็ได้
ใครจะรู้
โฆษณา