Cybersecurity อีกหนึ่งเทรนการลงทุนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลมีความสำคัญมากขึ้น
ในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลมีความสำคัญมากขึ้น ความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) จึงกลายเป็นเทรนการลงทุนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับนักลงทุน
ความปลอดภัยทางไซเบอร์มีความสำคัญต่อองค์กรในทุกขนาด ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ องค์กรที่ไม่สามารถปกป้องตนเองจากการโจมตีทางไซเบอร์ได้ อาจประสบกับความสูญเสียทางการเงิน ความเสียหายต่อชื่อเสียง และผลกระทบต่อการดำเนินงาน
ซึ่งภัยคุกคามทางไซเบอร์ก็มีอยู่หลากหลายรูปแบบและมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างเช่น
การโจมตีแบบฟิชชิ่ง เป็นการส่งข้อความฉ้อโกงที่ดูเหมือนว่ามาจากแหล่งที่ถูกต้อง เช่น ธนาคารหรือบริษัท หรือจากใครบางคนที่แกล้งว่าส่งข้อความผิด
การโจมตีแบบฟิชชิ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นผ่านอีเมล ข้อความ หรือเครือข่ายโซเชียล โดยทั่วไปแล้ว เป้าหมายคือ การขโมยข้อมูลโดยการติดตั้งมัลแวร์หรือการหลอกให้เหยื่อเปิดเผยรายละเอียดส่วนบุคคล
นอกจากนี้ยังมีการโจมตีเพื่อดักฟังข้อมูลส่วนบุคคล ระหว่างคนสองคนที่กำลังทำธุรกรรมกันบนโลกดิจิมัล พบได้ทั่วไปในเครือข่าย Wi-Fi สาธารณะ ซึ่งสามารถถูกแฮกได้ง่าย
และการโจมตีรูปแบบมัลแวร์ที่เป็นการส่งซอฟต์แวร์ที่เป็นอันตราย รวมถึงสปายแวร์ แรนซัมแวร์ และไวรัส เข้าถึงเครือข่ายเป้าหมาย
ด้วยการหลอกลวงด้วยวิธีสารพัดให้สมาชิกของเครือข่ายคลิกลิงก์หรือไฟล์ที่แนบมา ซึ่งการใช้มัลแวร์เพื่อโจมตีทางไซเบอร์นี้เป็นวิธีที่แฮกเกอร์มักนิยมใช้กันมากที่สุด
ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายให้กับบุคคลหรือองค์กรได้อย่างมากทั้งในด้านการเงิน ชื่อเสียง การดำเนินงาน และอื่นๆ
โดย George Kurtz ซีอีโอของ CrowdStrike กล่าวว่าประมาณกว่า 72% ของบริษัทที่มีรายได้ต่อปีมากกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ถูกโจมตีทางไซเบอร์ในปีที่ผ่านมา
และข้อมูลจาก Corvus บริษัทประกันภัยด้านไซเบอร์โดยเฉพาะ ระบุว่าในปี 2023 นี้แฮกเกอร์สามารถเรียกเก็บเงินค่าไถ่จากบริษัทต่างๆได้กว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากกว่าช่วงปี 2018 ถึง 2020 รวมกันซะอีก
และนี้เป็นเพียงแค่เงินค่าไถ่เท่านั้น ไม่ใช่มูลค่าความเสียหายจากการโจรกรรมทางไซเบอร์ที่เกิดขึ้น
ปริมาณภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่มีมากขึ้นนั้นสอดคล้องไปกับแนวโน้มความต้องการด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวด้วยเช่นกัน
ที่มา Mckinsey
ตามข้อมูลของทาง McKinsey ระบุว่าตลาด Cybersecurity กำลังได้รับแรงผลักดันจากเหตุผล 3 ประการ
1. การเข้าถึงข้อมูลและแพลตฟอร์มสารสนเทศกำลังเติบโต
แพลตฟอร์มอุปกรณ์เคลื่อนที่ การทำงานจากระยะไกล และการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัลอื่นๆ นั้นเกี่ยวโยงกับการเข้าถึงชุดข้อมูลขนาดใหญ่ (Bigdata) มากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้โอกาสที่จะเกิดการละเมิดหรือการโจมตีทางไซเบอร์ที่รุนแรงมีมากขึ้น
และบริษัทหรือองค์กรเองก็ต่างเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้ากันมากขึ้น ตั้งแต่ธุรกรรมทางการเงิน การใช้ไฟฟ้า ไปจนถึงมุมมองโซเชียลมีเดีย เพื่อทำความเข้าใจและใช้เพื่อให้มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการซื้อ และคาดการณ์ความต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
บริษัทหรือองค์กรต่างๆ จึงต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้นในการจัดเก็บ จัดการ และปกป้องข้อมูลเหล่านี้ และเพื่อรับมือกับความท้าทายจากปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในการดำเนินโมเดลธุรกิจดังกล่าว
ความต้องการด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์จึงมีมากขึ้น ซึ่งรวมถึงพื้นที่จัดเก็บข้อมูลแบบรวมศูนย์ (Data Lake) และคลาวด์ (Cloud) ด้วย
2. แฮกเกอร์ใช้ AI, Machine Learning และเทคโนโลยีอื่นๆ เพื่อทำการโจมตีที่ซับซ้อนมากขึ้น
ปัจจุบันการโจมตีทางไซเบอร์ได้กลายเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงมีทั้งสถาบันและงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อการโจมตีทางไซเบอร์โดยเฉพาะ
เหล่าแฮกเกอร์มีการใช้ AI, Machine Learning และเทคโนโลยีอื่นๆ เพื่อคิดค้นการโจมตีรูปแบบใหม่ๆ และคิดค้นวิธีลดระยะเวลาในการโจมตีให้น้อยลง อาจจะจากสัปดาห์เป็นวันหรือชั่วโมง
3. กฎระเบียบ ความรู้ความเข้าใจ และความสามารถของบริษัทต่างๆ ตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ไม่ทัน
บริษัทหรือองค์กรหลายแห่งขาดความสามารถ ความรู้ และความเชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เพียงพอ และกำลังจะขาดแคลนเพิ่มมากขึ้น
การจัดการความเสี่ยงทางไซเบอร์ของพวกเขาตามไม่ทันการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่เกิดขึ้น ซึ่งรวมถึงความท้าทายด้านกฎหมายและกฎระเบียบที่เพิ่มขึ้นของหน่วยงานกำกับดูแล
และบริษัทหลายแห่งเหล่านี้ก็ยังไม่แน่ใจว่า พวกเขาจะระบุและจัดการกับความเสี่ยงทางไซเบอร์นี้ได้อย่างไร
McKinsey ระบุว่าด้วยอัตราการเติบโตของโจมตีทางไซเบอร์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ความเสียหายจากการโจมตีทางไซเบอร์ทั่วโลก
รวมถึงความเสียหายจากการสูญเสียข้อมูล ค่าใช้จ่ายในการแก้ไขความเสียหาย และผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทหรือองค์กร
อาจจะมีมูลค่าสูงถึงประมาณ 10.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ภายในปี 2025 ซึ่งเพิ่มขึ้นถึงสามเท่าจากปี 2015
และเพื่อป้องกันการโจมตีเหล่านั้นบริษัทหรือองค์กรต่างๆ ทั่วโลกใช้เงินประมาณ 150 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์ในปี 2021 โดยเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 12.4% ต่อปี
อย่างไรก็ดี McKinsey ยังคงเห็นว่ามันไม่เพียงพออย่างมากเมื่อเทียบกับขนาดของความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ จากการโจมตีทางไซเบอร์ที่มีแนวโน้มจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน
นอกจากนี้ McKinsey ยังได้สำรวจบริษัทขนาดกลางจำนวนกว่า 4,000 แห่ง พบว่าปริมาณการโจมตีทางไซเบอร์ของพวกเขาสูงขึ้นถึงสองเท่าในช่วง 2021 ถึง 2022 และกว่า 80% ของภัยคุกคามเหล่านั้นเจอในปี 2021
และในปีดังกล่าวเองแค่เพียงในสหรัฐฯ FBI ได้รับการร้องเรียนเกี่ยวกับอาชญากรรมทางไซเบอร์ จำนวนเกือบ 850,000 เรื่อง โดยมูลค่าความเสียหายออยู่ที่ราวๆ 6.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์และกว่า 40% ในนั้นเป็นการโจมตีด้วยมัลแวร์ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
นั่นหมายความว่า ในขณะที่บริษัทหรือองค์กรต่างๆ ยังคงตื่นตัวเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์นี้ไม่เพียงพอ แต่เหล่าผู้ไม่ประสงค์ดีกลับพัฒนาเครื่องมือที่ใช้โจรกรรมรูปแบบใหม่ๆอยู่เสมอ
ซึ่งการตื่นตัวเรื่องความปลอดภัยที่ไม่เพียงพอนี้เอง ก็อาจทำให้เหล่าบริษัทด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ต้องเจอกับแรงกดดัน
เนื่องจากพวกเขาเองก็ต้องพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ป้องกันการโจมตีให้ทันกับการโจรกรรมรูปแบบใหม่ๆอยู่เสมอด้วยเช่นกัน
ในขณะเดียวกัน ผู้ที่จะมาเป็นลูกค้าของบริษัทด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์เหล่านั้น กลับยังมีการตื่นตัวไม่เพียงพอในเรื่องนี้
ที่มา Mckinsey
จากแผนภูมิจะเห็นได้ว่าช่วงเวลาที่ผ่านมา ในขณะที่แฮกเกอร์พัฒนาเครื่องมือที่ใช้โจรกรรมรูปแบบใหม่ๆมากขึ้นเรื่อยๆ
การใช้จ่ายเพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์เหล่านั้น กลับเกิดขึ้นในช่วงที่กำลังถูกโจมตีหรือหลังจากการโจมตีนั้นเกิดขึ้นไปแล้ว
แสดงถึงการตื่นตัวของเหล่าบริษัทหรือองค์กรที่มีไม่เพียงพอ ในด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์
อย่างไรก็ตาม แม้โซลูชันเชิงพาณิชย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันอาจจะยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์ในแง่ของระบบอัตโนมัติ ราคา การบริการ และความสามารถอื่นๆ
แต่การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพที่สำคัญในตลาดที่กำลังพัฒนาและเติบโตนี้
หรือก็คือ แม้ในปัจจุบันบริษัทหรือองค์กรยังตระหนักรู้ไม่เพียงพอในด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ว่ามีความสำคัญกับพวกเขามากน้อยเพียงใด
แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปอย่างรวดเร็วในยุคดิจิทัล ทำให้ปริมาณภัยคุกคามทางไซเบอร์นับวันมีแต่จะเพิ่มขึ้น และภัยคุกคามเหล่านั้นเองจะกดดันให้เหล่าบริษัทหรือองค์กรต่างๆ ต้องพยายามหาวิธีรับมือในเรื่องนี้
และเมื่อเราลองนึกถึง "ความต้องการด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์" ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และความเสียหายที่จะตามมาหากพวกเขาไม่สามารถป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์เหล่านั้นได้
เมื่อนำมาเทียบกับงบประมาณที่บริษัทหรือองค์กรต่างๆ ใช้ลงทุนในด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ในปัจจุบันแล้ว
ตลาดความปลอดภัยทางไซเบอร์นั้นยังคงมีพื้นที่และโอกาสให้เติบโตได้อีกอย่างมาก
ที่มา Mckinsey
จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่าตลาดความปลอดภัยทางไซเบอร์ทั่วโลก มีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
เนื่องจากเหล่าบริษัทหรือองค์กรต่างๆ พวกเขายังคงตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในยุคดิจิทัลที่มีข้อมูลเป็นศูนย์กลางแทบจะทุกอย่างนี้ไม่ทัน
และจะเห็นได้จากปริมาณการโจรกรรมหรือการโจมตีทางไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ทำให้บริษัทหรือองค์กรต่างๆเหล่านั้น จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยทางไซเบอร์เพื่อปกป้องข้อมูลและทรัพย์สินของตนมากขึ้นนั่นเอง
บทความนี้เป็นเพียงแค่การยกข้อมูลปัจจัยบางส่วนมานำเสนอเท่านั้น เพื่อนๆ หรือนักลงทุนที่สนใจ สามารถศึกษาเพิ่มเติมโดยละเอียดได้ด้วยตนเอง
- 1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
