7 ก.พ. เวลา 12:42 • ประวัติศาสตร์

ขุนโจรเหลียงซาน 75

ค่ายชิงเฟิง (6) อุบายให้ร้ายอสนี
ลิ่วล้อนำตัวฉินหมิงขึ้นเขามาถึงเป็นเวลาฟ้าแจ้งแล้ว ผู้กล้าทั้งห้านั่งชุมนุมกันอยู่ในโถงร่วมธรรม ฮวาหยงเห็นฉินหมิงถูกลิ่วล้อจับมัดพาตัวมา ก็รีบลุกขึ้นตรงเข้าไปแก้เชือกให้ฉินหมิง พยุงมายังห้องโถง แล้วคุกเข่าคารวะ ฉินหมิงรีบคารวะตอบแล้วถามว่า “ข้าเป็นเชลย น่าจะถูกสังหารหรือลงทัณฑ์ ท่านมาคารวะข้าทำไม”
ฮวาหยงว่า “พวกลิ่วล้อไม่รู้ที่ต่ำที่สูงจึงล่วงเกิน ได้โปรดอภัย” แล้วให้คนนำเสื้อผ้ามาให้ฉินหมิงสวม
ฉินหมิงถามฮวาหยงว่า “ท่านผู้ที่เป็นหัวหน้านี้คือใคร”
ฮวาหยงตอบว่า “ท่านผู้นี้คือพี่ชายของข้าฮวาหยง ซ่งยาซืออำเภอวิ่นเฉิง ซ่งเจียง ส่วนสามท่านนี้เป็นหัวหน้าค่าย เอี้ยนซุ่น หวางอิง เจิ้งเทียนโซ่ว”
ฉินหมิงว่า “สามท่านนี้ข้ารู้จักดี ส่วนซ่งยาซือท่านนี้ใช่ผู้ที่เรียกขานกันว่าฝนยามแล้งซ่งกงหมิงแห่งซานตงหรือไม่”
ซ่งเจียงตอบว่า “คือผู้น้อยเอง”
ฉินหมิงรีบคารวะแล้วว่า “ได้ยินชื่อมานาน ไม่คิดว่าวันนี้จะได้มาพบ”
ซ่งเจียงรีบลุกขึ้นคารวะตอบ
ฉินหมิงเห็นซ่งเจียงมีปัญหาที่น่อง ลุกนั่งไม่สะดวกจึงถามว่า “ขาของพี่ท่านมีปัญหาอะไร”
ซ่งเจียงจึงเล่าเรื่องที่เกิดตั้งแต่อำเภอวิ่นเฉิงจนถึงผู้กำกับค่ายหลิวโบยตนเพื่อไต่สวน ให้ฉินหมิงฟัง
 
ฉินหมิงฟังจบส่ายหัวกล่าวว่า “หากฟังความข้างเดียว จะกลายเป็นอีกเรื่อง ขอให้ฉินหมิงได้กลับไปชี้แจงต่อท่านเจ้าเมืองมู่หยง”
เอี้ยนซุ่นจึงขอให้ฉินหมิงพักอยู่ด้วยกันหลายวันก่อน แล้วให้ล้มวัวล้มม้าจัดสุราอาหารมาเลี้ยงดูกัน พวกทหารที่ถูกจับมาขังอยู่หลังเขาก็ได้รับปันด้วย
 
ฉินหมิงดื่มไปได้หลายจอกก็ลุกขึ้นกล่าวว่า “เหล่าผู้กล้าทั้งหลาย พวกท่านมีน้ำใจไม่สังหารฉินหมิงแล้ว ก็ขอได้โปรดคืนชุดเกราะ ม้าและอาวุธให้ฉินหมิงได้กลับเมืองด้วยเถิด”
1
เอี้ยนซุ่นว่า “ผิดแล้วท่านผู้บัญชาการ ทหารเมืองชิงโจวที่ท่านนำมาทั้งห้าร้อยนั้นบัดนี้ไม่เหลือแล้ว ท่านจะกลับไปได้อย่างไร คงไม่แคล้วต้องถูกลงโทษ มิสู้มาเป็นโจรอยู่ด้วยกันเสียที่ค่ายนี่ มีทองแบ่งกันใช้ มีผ้าแบ่งกันใส่ ไม่ต้องไปรองรับอารมณ์ไอ้พวกหัวโต (大头巾 ขุนนาง)”
ฉินหมิงฟังแล้วก้าวลงมาจากห้องโถงกล่าวว่า “ฉินหมิงเกิดเป็นชาวต้าซ่ง ตายก็เป็นผีต้าซ่ง ราชสำนักให้ข้าเป็นผู้บัญชาการทหารกินตำแหน่งถ่งจื้อ ไม่เคยผิดต่อฉินหมิง แล้วข้าจะแปรพักตร์ต่อราชสำนักมาเป็นโจรได้อย่างไร หากพวกท่านจะฆ่า จงฆ่าเถิด อย่าหวังว่าข้าจักคล้อยตาม”
ฮวาหยงลงจากห้องโถงเข้ามากล่าวว่า “ท่านพี่ฉินอย่าเพิ่งโมโห โปรดฟังผู้น้องสักคำ ตัวข้าเองก็เป็นข้าราชสำนัก แต่ทำอย่างไรได้ ถูกบีบบังคับจนตกอยู่ในสภาพนี้ ในเมื่อพี่ท่านไม่อยากเป็นโจร ใครจะบังคับท่านได้ เชิญกลับมารับประทานต่อเถิด แล้วผู้น้องจะนำชุดเกราะ อานม้าและอาวุธคืนให้พี่ท่าน”
ฉินหมิงไม่ยอมกลับขึ้นไปนั่ง ฮวาหยงกล่อมอีกว่า “ท่านผู้บัญชาการเหน็ดเหนื่อยมาแล้วหนึ่งวันหนึ่งคืน อย่าว่าแต่คน ม้าก็ต้องพักเช่นกัน” ฉินหมิงจึงยอมกลับไปนั่งร่วมดื่ม ฉินหมิงทั้งอ่อนเพลีย ทั้งคนผลัดกันชนจอกชวนดื่ม จึงเมาฟุบหลับไป
ฉินหมิงตื่นมาวันรุ่งขึ้นยามเฉิน 辰牌 (8:00 น.) ล้างหน้าล้างตาแล้วจะรีบลงเขาเลย พวกนายโจรชวนให้อยู่ต่ออีกระยะก็ไม่ยอม จึงต้องรีบจัดอาหารเช้าแบบด่วนแล้วคืนชุดเกราะ ม้า และอาวุธให้ แล้วตามมาส่งลงเขา ฉินหมิงมุ่งตรงมายังชิงโจว
ยามสื้อ 巳牌 (10:00 น.) บนเส้นทางห่างจากชิงโจวราวสิบลี้ มีควันไฟมองเห็นได้แต่ไกล ตามถนนก็ไร้ผู้คนสัญจร ฉินหมิงรู้สึกแปลกใจ พอใกล้เมืองเข้ามา ก็เห็นชุมชนหลายร้อยครัวเรือนนอกกำแพงเมืองทุกเผาวายวอดเหลือแต่กองอิฐ ศพชาวบ้านชายหญิงระเนระนาดนับจำนวนไม่ถูก ฉินหมิงเห็นแล้วตะลึง รีบควบมัามาข้างกำแพงเมืองก็เห็นสะพานข้ามคูเมืองถูกชักขึ้น ฉินหมิงตะโกนบอกให้ทอดสะพานลงมาให้ตนข้ามเข้าเมือง ทหารบนเชิงเทินแลเห็นฉินหมิงก็ลั่นกลองสัญญานร้องตะโกนบอกต่อกัน
ฉินหมิงตะโกนไปว่า “ข้าผู้บัญชาการฉิน ทำไมไม่ให้ข้าเข้าเมือง”
เจ้าเมืองมู่หยงยืนอยู่ข้างใบเสมาบนกำแพงตะโกนลงมาว่า “โจรขบถไร้ยางอาย เมื่อคืนเจ้าพาคนเข้าโจมตีเมือง สังหารชาวบ้านไปจำนวนมาก ทั้งเผาบ้านเรือนราษฎรอีกไม่รู้เท่าไร วันนี้ยังมาโวยวายอยู่หน้าประตู ราชสำนักไม่เคยให้ร้ายเจ้า เจ้ากลับทำเรื่องไร้คุณธรรม ข้าส่งรายงานไปยังราชสำนักแล้ว คงมาจับกุมเจ้าในไม่ช้าแล้วนำมาสับนับหมื่นท่อน”
ฉินหมิงตะโกนบอกว่า “ไม่ถูกต้องแล้วพระคุณท่าน ฉินหมิงเสียทหารไป ตัวเองก็ถูกพวกโจรจับขึ้นเขา เพิ่งลงมาได้ แล้วเมื่อคืนจะเข้าตีเมืองได้อย่างไร”
1
เจ้าเมืองตวาดลงมาว่า “ทำไมข้าจะจำเจ้าไม่ได้ ทั้งม้า ทั้งเกราะ หมวก และอาวุธ คนบนกำแพงนี้ต่างเห็นเจ้าบงการพวกหัวแดง 红头子 (พวกโจรมักโพกผ้าแดง) ให้ฆ่าคนวางเพลิง เจ้าจะแก้ตัวอย่างไร และต่อให้เจ้าแตกทัพถูกจับตัวไปจริง ทหารทั้งห้าร้อยจะไม่มีหนีรอดกลับมารายงานเลยสักคนหรืออย่างไร ตอนนี้เจ้าคงคิดจะให้เปิดประตูเมืองเพื่อเข้ามารับครอบครัวไป เมียเจ้าข้าสังหารไปแล้ว หากไม่เชื่อก็ดูหัวนี่”
แล้วสั่งให้ทหารเอาศีรษะภรรยาของฉินหมิงเสียบปลายทวนชูให้ดู
ฉินหมิงเป็นคนเลือดร้อนอยู่แล้ว จึงระเบิดอารมณ์ ตะโกนลั่น ทหารบนกำแพงระดมยิงธนูและหน้าไม้ลงมาดังห่าฝน ฉินหมิงจำต้องชักม้ากลับ ควบมาดูกองเถ้าถ่านยังคุกรุ่นอยู่ นิ่งตรองอยู่ครึ่งค่อนวัน ก็หันม้ากลับทางเดิมที่มาเมื่อเช้า มาได้ไม่ถึงสิบลี้ แลเห็นคนกลุ่มหนึ่งออกมาจากป่าละเมาะ ห้าคนที่ขี่ม้านำขบวนก็คือ ซ่งเจียง ฮวาหยง เอี้ยนซุ่น หวางอิง และเจิ้งเทียนโซ่ว นำลิ่วล้อมาด้วยสองร้อยคน
ซ่งเจียงถามว่า “ท่านผู้บัญชาการทำไมยังไม่กลับชิงโจว ขี่ม้าอยู่คนเดียวจะไปที่ไหนหรือ”
ฉินหมิงตอบด้วยอารมณ์โกรธว่า “ไม่รู้ไอ้โจรสารเลวที่ไหน ปลอมเป็นข้าเข้าตีเมือง ฆ่าคนเผาบ้านราษฎร ทำให้บ้านข้าถูกฆ่าลงโทษ ทำให้ข้าตอนนี้ สวรรค์ก็ไม่มีทางไป นรกก็ไม่มีประตูเข้า ถ้าข้าเจอตัว จะเอากระบองเขี้ยวนี่ฟาดให้แหลกเลย”
ซ่งเจียงว่า “ท่านผู้บัญชาการอย่าได้โมโห ในเมื่อฮูหยินก็ไม่อยู่เสียแล้ว ผู้น้อยขอเป็นพ่อสื่อให้ท่านผู้บัญชาการ ผู้น้อยมีข้อเสนอที่ดี แต่ที่นี้ไม่สะดวกเจรจา เชิญท่านไปที่ค่ายก่อนดีกว่า” ฉินหมิงจึงยอมตามกลับมายังค่าย
มาถึงค่าย ทั้งหมดขึ้นมายังโถงร่วมธรรม ให้ลิ่วล้อจัดเตรียมสุราอาหาร ห้าผู้กล้าเชิญฉินหมิงนั่งเก้าอี้ตัวกลางในโถง แล้วทั้งห้าก็คุกเข่าลงพร้อมกัน ฉินหมิงจึงรีบลุกขึ้น แล้วคุกเข่าลงด้วย
1
ซ่งเจียงกล่าวว่า “ท่านผู้บัญชาการโปรดอภัย เนื่องด้วยเมื่อวานนี้ ใคร่รั้งท่านผู้บัญชาการมาร่วมอุดมการณ์บนเขา แต่ท่านยืนกรานไม่ยินยอม ซ่งเจียงจึงได้คิดอุบายนี้ขึ้น ใช้ให้ทหารที่รูปร่างลักษณะคล้ายท่าน สวมชุดเกราะและหมวก ถือกระบองเขี้ยว และขี่ม้าของท่าน ไปยังชานเมืองชิงโจว กำกับพวกหัวแดงให้สังหารผู้คน เอี้ยนซุ่นและเสื้อเตี้ยหวางนำคนห้าสิบกว่าคน รบทำทีจะเข้าไปรับครอบครัวในเมือง ที่ฆ่าคนวางเพลิงก็เพื่อจะตัดทางถอยของท่านผู้บัญชาการ ดังนั้น วันนี้พวกเราจึงต้องมาขออภัยต่อท่าน ”
ฉินหมิงได้ฟังแล้วโกรธจนอยากจะแลกกันกับพวกซ่เจียงให้รู้แล้ว แต่ตรองดูแล้วเฉยอยู่ด้วยเหตุผลสามข้อ
ข้อที่หนึ่ง เป็นลิขิตฟ้า เนื่องด้วยทั้งหมดล้วนเป็นดาวร้ายด้วยกันมาจุติ เมื่อถึงเวลาจักมารวมตัวกัน
ข้อที่สอง ตอนนี้ตนเองเสมือนถูกพวกนั้นคุมตัวเอาไว้ จำต้องทำทีมีมารยาท เพื่อเอาตัวรอด
ข้อที่สาม ฝืนสู้ไป คงไม่ชนะด้วยว่าพวกเขามีมากกว่าและฝีมือล้วนไม่ธรรมดา
ฉินหมิงจึงจำกล้ำกลืนแล้วกล่าวว่า “พวกท่านพี่น้องแม้จะมีเจตนาดีอยากรั้งฉินหมิงเอาไว้ แต่ก็เล่นงานข้าหนักไปสักหน่อย ทำเอาเมียและครอบครัวข้าต้องสูญสิ้น”
ซ่งเจียงว่า “หากไม่เช่นนี้แล้ว พี่ท่านจะตัดใจได้อย่างไร แม้จะสิ้นฮูหยินไป ซ่งเจียงยังรู้จักน้องสาวผู้กำกับค่ายฮวา นางเป็นคนเฉลียวฉลาดหลักแหลม ซ่งเจียงยินดีเป็นธุระสู่ขอจัดพิธีวิวาห์ให้ครองคู่กับท่านผู้บัญชาการดีหรือไม่”
1
ฉินหมิงเห็นเหล่าผู้กล้าแสดงความเคารพรักเช่นนี้แล้ว ก็ยอมคล้อยตาม
(นับเป็นเหตุการณ์แรกที่ซ่งเจียงเปิดหน้าแสดงความอำมหิต เพียงเพื่อจะได้ตัวฉินหมิงมาเป็นพวก ซ่งเจียงวางแผนสังหารผู้บริสุทธิ์หลายร้อยครัวเรือนอาจนับพันชีวิตโดยไม่ลังเล ทั้งยังทำให้ครอบครัวของฉินหมิงต้องถูกสังหารสิ้น)
เหล่าผู้กล้าเชิญซ่งเจียงนั่งกลาง ฉินหมิงลำดับถัดมา ตามด้วยฮวาหยง สามนายโจรนั่งถัดกันตามลำดับ กินดื่มสุราอาหารและหารือกันถึงเรื่องการเข้าโจมตีค่ายชิงเฟิง
ฉินหมิงว่า “เรื่องนี้ไม่ยาก มิพักต้องลำบากพวกท่าน ข้อแรกหวงซิ่นเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ข้อสองฉินหมิงเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาให้ ข้อสามสนิทสนมกับข้าเป็นอย่างดี พรุ่งนี้ข้าจะไปเรียกให้เปิดประตูค่ายรับข้าเข้าไป แล้วจะชักชวนให้สามิภักดิ์มาเข้าเป็นพวก รับตัวน้องสาวผู้กำกับฮวา และจับตัวเมียหลิวเกามาให้พวกท่านล้างแค้น ถือเป็นบรรณาการแรกร่วมงานของข้าดีหรือไม่”
ซ่งเจียงชอบใจนักกล่าวว่า “หากท่านผู้บัญชาการใจกว้างยอมทำเช่นนี้ ก็นับเป็นโชคดีอย่างยิ่ง”
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉินหมิงขึ้นม้าถือกระบองเขึ้ยวควบมายังค่ายชิงเฟิงเพียงลำพัง ทางด้านหวงซิ่น ตั้งแต่หนีกลับมายังค่ายชิงเฟิงแล้วก็เกณฑ์ทหารขึ้นรักษาค่ายคูประตูหอรบอย่างมั่นคง หลังจากรายงานสถานการณ์ไปยังเมืองชิงโจวแล้ว ก็เฝ้ารอกองกำลังช่วยเหลืออยู่แต่ยังไม่เห็นมา
ในวันนี้ ทหารมารายงานว่า “ท่านผู้บัญชาการฉินขี่ม้ามาเพียงคนเดียวอยู่หน้าค่าย เรียกให้เปิดประตูค่ายรับ”
หวงซิ่นรีบออกมาดูก็เห็นว่าเป็นฉินหมิงจริง จึงให้ทอดสะพานรับเข้าค่ายมา แล้วพากันมายังห้องโถงที่ว่าการ คารวะกันตามธรรมเนียมแล้ว หวงซิ่นก็ถามว่า “เหตุใดท่านผู้บัญชาการจึงขี่ม้ามาถึงที่นี่เพียงลำพัง”
ฉินหมิงจึงเล่าความที่ตนยกทัพมาแล้วแตกทัพเสียทหารไปให้ฟัง แล้วกล่าวต่อว่า “ฝนยามแล้งซ่งกงหมิงแห่งซานตงเป็นผู้มีคุณธรรมจิตใจกว้างขวาง รักคบหาผู้กล้าทั่วแผ่นดิน ผู้คนต่างยกย่องนับถือ บัดนี้มาอยู่ที่เขาชิงเฟิง ตัวข้าเองก็สมัครใจเข้าเป็นพวกเขาชิงเฟิงแล้ว ตัวท่านเองก็ยังไม่มีครอบครัว หากเชื่อข้า ก็มาเข้าร่วมค่ายเป็นพวกเดียวกัน ไม่ต้องไปรองรับอารมณ์พวกขุนนางพลเรือนเหล่านั้น”
หวงซิ่นตอบว่า “ในเมื่อท่านผู้มีพระคุณไปอยู่ฝ่ายนั้นแล้ว หวงซิ่นย่อมติดตามไปด้วย เพียงแต่ไม่เคยได้ยินว่าซ่งกงหมิงไปอยู่บนเขา แล้วอยู่ๆ ฝนยามแล้งซ่งกงหมิงมาได้อย่างไร”
ฉินหมิงหัวเราะแล้วว่า “ก็คือคนที่ท่านรายงานว่าเป็นไอ้เสือวิ่นเฉิงจางซาน เขาเกรงว่าหากบอกชื่อจริงแล้วจะไปพาดพิงคดีเก่า จึงบอกว่าชื่อจางซาน”
1
หวงซิ่นฟังแล้วกระทืบเท้ากล่าวว่า “หากผู้น้องรู้ว่าคือซ่งกงหมิง ก็คงปล่อยเสียเองระหว่างทางแล้ว มาเสียท่า ฟังความหลิวเกาข้างเดียว เกือบเอาชีวิตเขาเสียแล้ว”
ขณะคุยกันอยู่ ทหารเข้ามารายงานว่า มีกองทัพสองกองยกมาประชิดค่าย ฉินหมิง หวงซิ่นจึงออกมาดู เห็นทัพหนึ่งนำโดยซ่งเจียง ฮวาหยง อีกทัพนำโดยเอี้ยนซุ่น เสือเตี้ยหวาง แต่ละทัพมีพลหนึ่งร้อยห้าสิบ หวงซิ่นจึงให้ทอดสะพานเปิดประตูค่ายให้ทัพทั้งสองเข้าค่ายมา ซ่งเจียงกำชับไว้ไม่ให้ทำอันตรายราษฎรและทหารค่ายชิงเฟิง ตรงไปยังค่ายเล็กของหลิวเกาก่อน จับครอบครัวของหลิวเกาสังหารสิ้น ยังแต่เมียหลิวเกาที่เสือเตี้ยหวางชิงไปจับตัวไว้ก่อน ทรัพย์สิ่งของทั้งหมดขนขึ้นรถบรรทุก ม้าวัวแพะแกะจูงเตรียมไว้
ฮวาหยงตรงไปยังค่ายตน รับภรรยาและน้องสาว และขนทรัพย์สิ่งของทั้งหมดขึ้นรถ พร้อมแล้วทั้งหมดก็ยกกลับมายังค่ายเขาชิงเฟิง
ตอนก่อนหน้า : อสนีบาต
ตอนถัดไป : เวินโหวน้อย เทียบเหยินกุ้ย

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา