12 ก.พ. เวลา 13:15 • ประวัติศาสตร์

ขุนโจรเหลียงซาน 77

ค่ายชิงเฟิง (8) ข่าวร้าย
ซ่งเจียงกับเอี้ยนซุ่นเดินทางมาได้สองวัน ยามเที่ยงเห็นภัตตาคารใหญ่แห่งหนึ่งจึงแวะทานอาหาร ให้ผู้ติดตามนำม้าไปพักก่อน ซ่งเจียงกับเอี้ยนซุ่นสองคนเดินไปหาที่นั่งในร้าน ในร้านมีโต๊ะเล็กเหลืออยู่หลายโต๊ะ โต๊ะใหญ่มีสามโต๊ะเต็มหมด แต่มีอยู่โต๊ะหนึ่งที่มีคนนั่งอยู่เพียงคนเดียว ชายผู้นั้นร่างสูงใหญ่กว่าแปดฉื่อ หน้าซีดเหลืองไร้หนวดเครา ตาเป็นประกาย นั่งเอากระบองสั้นพิงโต๊ะไว้
ซ่งเจียงบอกกับบริกรว่า “พวกข้าสองคนจะไปนั่งด้านใน แต่ผู้ติดตามข้า มากันหลายคน เจ้าช่วยไปบอกให้ลูกค้าคนนั้นย้ายโต๊ะที คนของข้าจะได้นั่งด้วยกัน” แล้วซ่งเจียงก็สั่งเหล้าให้ผู้ติดตามคนละสามชามใหญ่ เนื้อเอาตามแต่เขาจะสั่ง
บริกรเห็นผู้ติดตามมารอกันที่ข้างร้านแล้วจึงเข้าไปบอกกับชายผู้นั้นว่า “ขอรบกวน เจ้านาย 上下 ช่วยย้ายโต๊ะให้ผู้ติดตามของทั้งสองท่านด้านใน พวกเขามากันหลายคนจะได้นั่งด้วยกัน”
ชายผู้นั้นไม่พอใจที่ถูกเรียกว่า เจ้านาย 上下 (คำเรียกยกย่องข้าราชการสมัยซ่ง) กระชากเสียงว่า “มันต้องรู้ว่าใครมาก่อนมาหลัง อะไรกัน ผู้ติดตามขุนนางมาก็ต้องให้ย้ายโต๊ะ พ่อไม่ย้าย”
เอี้ยนซุ่นได้ยินแล้วกล่าวกับซ่งเจียงว่า “ดูมัน ไร้มารยาท”
ซ่งเจียงว่า “ช่างเขาเถิด อย่าไปยุ่งกับเขาเลย”
ชายผู้นั้นมองมายังซ่งเจียง เอี้ยนซุ่น แล้วยิ้มเยาะ
บริกรว่า “เจ้านาย ช่วยหน่อยเถอะ ผู้น้อยต้องค้าขาย แค่ย้ายโต๊ะจะเป็นไรไป”
ชายผู้นั้นโกรธเอามือตบโต๊ะว่า “ไอ้นกเขา ไม่รู้จักใครเป็นใคร เห็นมาคนเดียวคิดจะรังแกพ่อ ให้ย้ายโต๊ะ ต่อให้ตระกูลเจ้ามาเอง พ่อก็ชูนกเขาให้ไม่ย้าย มาทำขึ้นเสียง กำปั้นไม่สนหน้าไหน”
บริกรว่า “ผู้น้อยยังไม่ได้ว่าอะไร”
ชายนั้นว่า “อย่างเอ็งกล้าว่าอะไร”
เอี้ยนซุ่นฟังแล้วทนไม่ได้จึงว่า “เฮ้ย ไอ้หนุ่ม นกเขาเอ็งเก่ง ไม่ย้ายก็ไม่ย้าย ไม่ต้องเอานกเขาขู่เขา”
ชายผู้นั้นโดดลุกขึ้นยืนคว้ากระบองสั้นมาถือไว้แล้วว่า “ข้าด่ามัน เสือกอะไรด้วย ใต้ฟ้านี้ข้ารู้จักแค่สองคน ที่เหลือมีไว้รองตีน”
เอี้ยนซุ่นเดือดดาลคว้าม้านั่งชูขึ้นจะหวดใส่ ซ่งเจียงเห็นพูดแปลกๆ เลยชิงออกขวางหน้าไว้แล้วว่า “อย่าเพิ่งตีกัน ข้าขอถามหน่อย สองคนในใต้ฟ้าที่ว่าเป็นใคร”
ชายนั้นว่า “บอกไปแล้วอย่ากลัวจนใบ้กิน”
ซ่งเจียงว่า “ขอเรียนถามนามผู้กล้าสองท่านนั้น”
ชายนั้นว่า “คนหนึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ไฉแห่งเหิงไห่เมืองชางโจว พายุหมุนน้อยท่านขุนนางใหญ่ไฉ”
ซ่งเจียงพยักหน้า ถามต่อว่า “อีกคนล่ะใคร”
“ท่านนี้ยิ่งดังกว่า ยาซืออำเภอวิ่นเฉิง ฝนยามแล้งเรียกเป่าอี้ซ่งกงหมิงแห่งซานตง”
ซ่งเจียงมองหน้าเอี้ยนซุ่นแล้วแอบยิ้ม เอี้ยนซุ่นวางม้านั่งไปก่อนแล้ว
2
ชายผู้นั้นกล่าวต่อว่า “พ่อยกให้แค่สองคน ต่อให้ฮ่องเต้ต้าซ่งมา ก็ไม่กลัว”
ซ่งเจียงว่า “หยุดก่อน ข้าถามหน่อย สองคนที่ท่านว่า ข้าก็รู้จัก แล้วท่านไปรู้จักพวกเขาที่ไหน”
ชายผู้นั้นว่า “ท่านก็รู้จักหรือ ว่าตามตรง สามปีก่อนข้าเคยไปอาศัยบ้านท่านขุนนางใหญ่ไฉอยู่สี่เดือนกว่า แต่ยังไม่เคยเห็นหน้าซ่งกงหมิง”
ซ่งเจียงว่า “ท่านอยากรู้จักเฮยซานหลาง 黑三郎 ไหมเล่า”
ชายผู้นั้นว่า “ข้ากำลังจะไปหาเขาอยู่”
ซ่งเจียงถามว่า “ใครใช้ให้ท่านไปหาเขา”
“น้องชายของเขา พัดเหล็กซ่งชิงให้ข้านำหนังสือจากทางบ้านไปส่งให้”
ซ่งเจียงยินดีนัก ก้าวขึ้นหน้ามากล่าวว่า
“有缘千里来相会,无缘对面不相逢
มีวาสนาห่างพันลี้ยังพบหน้า
ไร้วาสนาอยู่ตรงหน้ายังไม่เจอ
ตัวข้านี้คือ เฮยซานหลางซ่งเจียง”
ชายผู้นั้นจ้องหน้าอย่างเต็มตาแล้วกล่าวว่า “ฟ้าปราณีให้ผู้น้องได้มาพบกับพี่ท่าน หากคลาดกันเพียงนิด คงไปบ้านท่านข่งไท่กงเสียเวลาเปล่า”
ซ่งเจียงดึงตัวชายผู้นั้นเข้ามาด้านในถามว่า “หมู่นี้ทางบ้านไม่มีอะไรละมัง”
ชายผู้นั้นกล่าวว่า “เรียนพี่ท่าน ผู้น้อยแซ่สือ 石 (ศิลา) ชื่อหย่ง 勇 (กล้าหาญ) เป็นชาวเมืองต้าหมิงฝู่ 大名府 ปกติเล่นการพนันและปล่อยกู้พนันเป็นอาชีพ คนที่บ้านเกิดจึงเรียกฉายาติดตลกว่า ขุนพลศิลา 石将军
ด้วยว่าไปเล่นพนันแล้วชกคนตายจึงต้องหนีไปอาศัยท่านขุนนางใหญ่ไฉ ได้ยินคนในวงนักเลงที่แวะเวียนไปหาพูดกันถึงพี่ท่าน จึงตั้งใจไปหาพี่ท่านที่อำเภอวิ่นเฉิง พอไปถึงได้ยินว่าเกิดเรื่อง เลยไปหาคุณชายสี่ พอได้ฟังผู้น้อยพูดถึงท่านขุนนางใหญ่ไฉ จึงบอกว่าพี่ท่านไปอยู่บ้านท่านข่งไท่กงที่เขาพยัคฆ์ขาว ผู้น้องอยากคารวะทำความรู้จักพี่ท่าน คุณชายสี่จึงเขียนหนังสือฉบับนี้ให้ผู้น้อยนำมาส่งที่บ้านท่านข่งไท่กง และหากพบพี่ท่าน ให้บอกพี่ท่านให้กลับบ้านโดยด่วน”
1
ซ่งเจียงฟังแล้วเกิดสงสัยจึงถามว่า “ท่านไปอยู่ที่บ้านข้ากี่วัน ได้พบท่านพ่อข้าหรือไม่”
สือหย่งว่า “ผู้น้อยไปพักอยู่เพียงคืนเดียวก็ออกเดินทางมา ไม่ได้พบท่านไท่กง”
ซ่งเจียงเล่าให้สือหย่งฟังถึงเรื่องที่จะไปพึ่งพาเขาเหลียงซาน สือหย่งว่า “นับแต่ผู้น้อยออกจากบ้านท่านขุนนางใหญ่ไฉมา ก็ได้ยินแต่กิตติศัพท์ของพี่ท่านในวงนักเลงว่า เป็นผู้มีน้ำใจกว้างขวาง มักช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก หากพี่ท่านจะไปเข้าร่วมอยู่ที่นั่นแล้ว ข้าย่อมต้องขอติดสอยห้อยตามไป”
ซ่งเจียงว่า “เรื่องนั้นไม่ต้องขอหรอก ใช่ว่ามีท่านผู้เดียว มาทำความรู้จักกับเอี้ยนซุ่นด้วยสิ”
แล้วก็เรียกให้บริกรมารินเหล้าให้สามจอก ดื่มเสร็จแล้วสือหย่งก็ล้วงกระเป๋าหยิบหนังสือมอบให้ซ่งเจียง
ซ่งเจียงรับหนังสือมาก็เห็นว่าผิดปกติ ซองหนังสือนั้นผนึกกลับด้าน 封皮逆封 และไม่มีคำว่า ผิงอัน (ปกติสุข) 平安 สองอักษร ซ่งเจียงข้องใจยิ่ง จึงรีบฉีกออกอ่าน
ธรรมเนียมการส่งจดหมายของจีนแต่โบราณ ข้อความบนหน้าซองที่จ่าหน้านั้นให้ข้อมูลหลายอย่างนอกจากชื่อที่อยู่ผู้รับและผู้ส่ง เช่น หากเป็นจดหมายส่วนตัว ผู้อื่นไม่ควรอ่าน จะเขียนคำว่า 亲启 จดหมายที่ผู้น้อยเขียนถึงผู้ใหญ่ ก็ใช้คำอีกแบบ
การผนึกซองจดหมายนั้น หากเนื้อหาในจดหมายเป็นข่าวร้าย การผนึกซองจะผนึกกลับด้านกับการผนึกปกติ ผู้รับจะรู้ตั้งแต่เห็นซองว่าเป็นข่าวร้าย จดหมายจากทางบ้าน ปกติจะเขียนคำว่า 平安 (ผิงอัน ปกติสุข) ไว้ต่อท้ายชื่อผู้รับ หากเป็นข่าวร้ายจะไม่เขียนคำว่า 平安 ดังนั้น ซ่งเจียงจึงเอะใจที่หน้าซองไม่มีคำนี้ อีกทั้งยังผนึกซองกลับด้าน และเข้าใจได้ว่าต้องมีข่าวร้าย
ซ่งเจียงอ่านจดหมายที่เล่าเรื่องราวมาในช่วงแรก แต่ตอนท้ายซึ่งเขียนต่อไว้หน้าหลัง มีข้อความว่า
“ต้นเดือนอ้ายปีนี้ บิดาป่วยถึงแก่อนิจกรรม ร่างยังตั้งอยู่ที่บ้านรอท่านพี่กลับมาจึงย้ายไปสุสาน โปรดรีบกลับอย่าได้รอช้า ซ่งชิงกราบเรียนมาด้วยเลือดและน้ำตา”
ซ่งเจียงอ่านจบแล้วเอามือทุบอกคร่ำครวญว่า “ข้ามันอกตัญญู ทำเรื่องไม่สมควร บิดาสิ้นบุญ ก็ไม่ได้ทำหน้าที่บุตรตามที่ควร ข้ามันเดรัจฉาน”
แล้วก็เอาหัวโขกกำแพงร้องไห้ยกใหญ่ จนเอี้ยนซุ่นและสือหย่งต้องยุดตัวไว้ ซ่งเจียงร้องไห้จนเป็นลมสลบไปครึ่งค่อนวันจึงค่อยฟื้น เอี้ยนซุ่นกับสือหย่งจึงค่อยปลอบว่า
“พี่ท่านอย่าได้คิดมากลำบากใจ”
ซ่งเจียงว่า “ใช่ว่าข้าแล้งน้ำใจ ข้าก็มีเพียงเรื่องบิดาชราที่ค้างคาใจอยู่ บัดนี้ท่านสิ้นบุญแล้ว ข้าจำต้องรีบกลับไป ขอให้พวกท่านขึ้นเขาเหลียงซานกันเองก่อนเถิด”
เอี้ยนซุ่นว่า “พี่ท่าน ไท่กงท่านก็สิ้นบุญไปแล้ว แม้กลับไปถึงก็ไม่ได้พบท่านอีก ในโลกนี้มีผู้ใดบ้างที่ไม่สูญเสียบิดามารดา พี่ท่านโปรดปล่อยวาง นำพวกน้องๆ ขึ้นเขาก่อน ถึงเวลานั้น ผู้น้องจะขอติดตามพี่ท่านกลับไปร่วมไว้อาลัยด้วยก็ยังไม่สาย โบราณว่า งูไม่มีหัวไปไหนไม่ได้ 蛇无头而不行 หากพี่ท่านไม่นำไป มีหรือพวกเขาจะยอมรับพวกเราไว้”
ซ่งเจียงว่า “หากข้าไปส่งพวกท่านขึ้นเขา จะเสียเวลาไปอีกหลายวัน ข้าจะเขียนหนังสือแจงรายละเอียดให้ท่านนำพาพวกพ้องและสือหย่งขึ้นเขาไปด้วยกัน หากข้าไม่รู้ก็แล้วไป แต่เมื่อรู้แล้วร้อนใจยิ่งนัก แต่ละวันที่ผ่านนานนับปี ข้าต้องรีบไปทันที ม้าหรือผู้ติดตามล้วนไม่ต้อง”
ซ่งเจียงยืมเครื่องเขียนจากทางร้าน เขียนไปร้องไห้ไป แล้วมอบหนังสือให้เอี้ยนซุ่น ซองนั้นไม่ได้ผนึก ซ่งเจียงเปลี่ยนเอารองเท้าปาตาของสือหย่งมาสวม คาดมีดที่เอว ถือกระบองสั้นของสือหย่งแล้วรีบออกเดินทาง แม้เอี้ยนซุ่นจะบอกให้รอพบพวกฮวาหยงที่กำลังตามมาก่อน ซ่งเจียงก็ไม่ฟัง
เอี้ยนซุ่น สือหย่ง เดินทางต่อมาราวห้าลี้ก็หาโรงแรมที่พักรอ วันรุ่งขึ้น พวกฮวาหยงตามมาถึง พอทราบเรื่องของซ่งเจียงแล้ว ก็พากันต่อว่าเอี้ยนซุ่นที่ไม่รั้งตัวไว้ เอี้ยนซุ่นว่าตนรั้งไว้แล้วแต่ซ่งเจียงไม่ยินยอมแล้วนำหนังสือของซ่งเจียงให้ดู
ฮวาหยงและฉินหมิงอ่านจบแล้วปรึกษากับพวกว่า “มาถึงขั้นนี้ จะคืบหน้าหรือถอยหลังล้วนลำบาก คงต้องนำหนังสือนี้ไปขอขึ้นเขา หากพวกเขาไม่ยินยอมแล้วค่อยว่ากัน”
ผู้กล้าทั้งเก้า นำพลห้าร้อยเดินทางใกล้เขาเหลียงซานเข้ามา ระหว่างเดินอยู่กลางพงอ้อแขม ก็มีเสียงกลองและม้าล่อดังขึ้นอึกทึกบนผิวน้ำ รอบด้านมีธงทิวชูสลอน เรือเร็วสองลำแล่นตรงมาหา แต่ละลำมีลิ่วล้อห้าสิบนาย ผู้ที่ยืนอยู่บนหัวเรือลำแรกคือ หัวเสือดาวหลินชง บนลำที่สองคือ ผีผมแดงหลิวถัง
หลินชงตวาดมาจากบนเรือว่า “พวกเจ้าเป็นใคร ทหารหลวงมาจากไหนบังอาจคิดมาจับกุมพวกข้า คงเอาชีวิตมาทิ้งเปล่าอย่าหวังจะรอดกลับไป ให้รู้ความเกรียงไกรของเราชาวเหลียงซาน”
ฮวาหยงกับฉินหมิงลงจากม้ามายืนริมตลิ่งตอบไปว่า “พวกเราไม่ใช่ทหารหลวง มีหนังสือของท่านพี่ฝนยามแล้งซ่งกงหมิงแห่งซานตง มาขอเข้าร่วมกับค่ายของท่าน”
หลินชงว่า “เมื่อมีหนังสือของท่านพี่ซ่งกงหมิง ก็ขอเชิญพวกท่านที่ร้านอาหารของจูกุ้ย เชิญท่านมอบหนังสือไว้ แล้วจะมารับพวกท่านไปพบ”
เรือโบกให้สัญญานธงเขียว มีเรือแจวลำหนึ่ง มีชาวประมงสามคน นายเรือหนึ่ง แจวมาริมตลิ่ง สองคนขึ้นมาบนบกแล้วบอกว่า “พวกท่านเหล่าขุนพลเชิญตามข้ามา” แล้วก็มีเรือเร็วสองลำปักธงขาวมารับ เรือแล่นตรงมายังร้านอาหารของตะเข้ดอนจูกุ้ย
จูกุ้ยทราบเรื่องแล้วก็สั่งให้ล้มวัวเตรียมอาหาร รับหนังสือมาดู แล้วยิงธนูเสียงสัญญานข้ามฝั่ง มีเรือเร็วแล่นมารับหนังสือไป แล้วจูกุ้ยก็กลับมาจัดเลี้ยงรับรองผู้มาใหม่ทั้งเก้า
เช้าวันรุ่งขึ้น อู๋ย่งนำเรือสามสิบลำมารับทั้งหมดข้ามน้ำมายังหาดทรายทอง 金沙滩 เฉาไก้นำคนมาต้อนรับพาเข้าด่านมายังโถงร่วมธรรม มีเก้าอี้นั่งจัดไว้สองฝั่ง ฝั่งซ้ายเป็นที่นั่งของพวกที่อยู่บนเขาเดิม คือ เฉาไก้ เรียงไปถึง ไป๋เสิ้ง หนูกลางแดดไป๋เสิ้งนี้แหกคุกจี้โจวออกมาได้โดยที่อู๋ย่งใช้เงินติดสินบน เก้าอี้นั่งทางฝั่งขวาเป็นที่นั่งของพวกที่มาใหม่ คือ ฮวาหยง เรียงไปถึง สือหย่ง ตรงกลางตั้งกระถางธูปไว้ ทั้งหมดกล่าวคำสาบาน จากนั้นก็มีดนตรีโหมประโคม จัดเลี้ยงสุราอาหาร
ระหว่างอาหาร ฉินหมิง ฮวาหยง ก็กล่าวชื่นชมซ่งกงหมิง เล่าเหตุการณ์รบที่เขาชิงเฟิง จนกระทั่งมาถึงเรื่องที่ฮวาหยงใช้ธนูยิงพู่ทวนแยกหลวี่ฟางกับกวอเสิ้ง เฉาไก้ฟังแล้วไม่ค่อยเชื่อ พูดส่งๆ ไปว่า “หากแม่นขนาดนี้ วันหลังคงต้องมาประลองธนูดู”
หลังอาหาร ชวนกันไปเดินเล่นหน้าค่าย เห็นบนฟ้ามีฝูงห่านป่าบินมาเป็นกระบวน ฮวาหยงตรองว่า “เฉาไก้ดูท่าจะไม่ค่อยเชื่อว่าข้ายิงพู่ทวนขาด วันนี้คงต้องแสดงฝีมือให้พวกเขาได้เห็น”
ฮวาหยงยืมธนูจากกลุ่มผู้ติดตามแล้วกล่าวกับเฉาไก้ว่า “เมื่อครู่พี่ข้าพูดถึงเรื่องใช้ธนูยิงพู่ทวน ดูเหมือนพวกท่านบางคนยังสงสัย บนฟ้ามีห่านป่าบินเป็นกระบวนอยู่ลิบๆ ฮวาหยงจะยิงหัวนกตัวที่สามในแถว หากพลาดไป พวกท่านก็อย่าได้ขำ”
鹊画弓弯满月,雕翎箭迸飞星。
挽手既强,离弦甚疾。
雁排空如张皮鹄,人发矢似展胶竿。
影落云中,声在草内。
天汉雁行惊折断,英雄雁序喜相联。
คันศรโก่งกลมเช่นเพ็ญจันทร
ขนหางพาศรเหินเช่นดาวตก
ห่านป่าบินเรียงเป็นเป้าฝูงนก
ศรยกยิงเข้าเป้าดังแท่งกาว
กำลังแขนกล้าแข็ง
แผลงศรพุ่งด้วยแรงน้าว
แลร่วงอยู่กลางหาว
เสียงร่วงหล่นอยู่กลางดิน
 
แถวห่านทางช้างเผือกขาดสะบั้น
สายสัมพันธ์วีรชนเชื่อมเพริดแพร้ว
ฮวาหยงน้าวคันธนูยิงออกไปนกตัวที่สามร่วงลงมาจากฟ้า ลิ่วล้อไปเก็บมาก็เห็นลูกศรปักกลางหัวนกพอดี
วันรุ่งขึ้น มีการจัดลำดับกันใหม่ ฉินหมิงนั้นควรจะนั่งเก้าอี้ลำดับก่อนฮวาหยง แต่เนื่องจากฮวาหยงมีฐานะเป็นพี่เขยจึงเลื่อนขึ้นมานั่งเป็นลำดับห้าต่อจากหลินชง แล้วจึงเป็นฉินหมิงลำดับหก ต่อด้วยหลิวถัง หวงซิ่น สามหย่วน เอี้ยนซุ่น หวางอิง หลวี่ฟาง กวอเสิ้ง เจิ้งเทียนโซ่ว สือหย่ง ตู้เชียน ซ่งว่าน จูกุ้ย และไป๋เสิ้ง รวมยี่สิบเอ็ดคนระดับตัวนาย
ตอนก่อนหน้า : เวินโหวน้อย เทียบเหยินกุ้ย
ตอนถัดไป : แวะเยี่ยมเหลียงซาน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา