11 มี.ค. เวลา 08:56 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

Dune บนเส้นขนาน

[เปิดเผยเรื่องราวของ Dune Part 1 และ Dune Part 2]
ตอนที่เราดู Dune ภาคแรก เราไม่ได้รู้สึกอินไปกับภาพยนตร์มากเท่าที่คาดหวังเอาไว้ ส่วนนึงคงเป็นเพราะเราหวังไว้สูง ด้วยความที่ติดตามผลงานหนังไซไฟของผู้กำกับท่านนี้มา อีกทั้งกิตติศัพท์อันเลื่องลือของนวนิยายเรื่อง Dune
อีกส่วนคงเป็นเพราะการที่หนังมันเลือกที่จะตัดจบราวกับว่ามันเป็นเพียงอารัมภบทสู่ภาคต่อที่ตอนนั้นยังเป็นโปรเจควิมานลอยอยู่
ว่ากันว่าโปรเจคหนังแบบ the Lord of the Ring จะไม่มีวันเกิดขึ้นอีกแล้ว เพราะมันคือโปรเจคที่ผู้สร้างลงทุนเหมือนแทงพนัน ให้เงินผู้กำกับที่ชื่อยังไม่ดังไปสร้างหนังแฟนตาซีฟอร์มยักษ์แบบไตรภาครวด
นั่นเองที่ทำให้ไตรภาค the Lord of the Ring ต่างจากไตรภาคทั่วไป หนังไตรภาคจำนวนมากเกิดจากการที่ภาคแรกดังแล้วค่อยได้อนุมัติสร้างภาคสองกับสาม หลาย ๆ เรื่องจึงมาในแบบภาคแรกจบในตัว ภาคสองปูเรื่องให้จบแบบค้างคา แล้วมาปิดฉากที่ภาคสาม อย่าง the Matrix, Pirates of the Caribbean ในขณะที่ the Lord of the Ring ทั้งสามภาคเป็นเรื่องราวที่ต่อกันอย่างสนิทแนบเนียน
Dune เป็นโปรเจคในฝันของ Denis Villeneuve เขาคงไม่ได้ทำเรื่องนี้หากไม่ใช่เพราะผลงานเรื่อง Blade Runner 2049 สร้างเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์ แต่ขณะเดียวกัน Blade Runner 2049 ก็ทำให้ค่ายหนังไม่กล้าอนุมัติเงินให้ Dune หนักเสียเกินไป เพราะในเชิงรายได้มันเป็นหนังที่ขาดทุน ผู้ชมจำนวนหนึ่งพบว่าตนสลบคาโรงด้วยความ neuve ของตัวหนัง
Denis ต้องการจะเล่าเรื่อง Dune สองเล่มแรก (เขาบอกว่าจะไม่สร้างเกิน 2 เล่ม) โดยแบ่งเล่มแรกออกเป็นสองภาค ถึงแม้จะยังไม่มีอะไรแน่นอนกับภาคต่อแต่ดูเหมือนผู้กำกับคนนี้จะเสี่ยงดวงด้วยการสร้างภาคแรกภายใต้ตรรกะเดียวกับการสร้าง the Lord of the Ring คือสร้างทั้งหมดออกมาให้เป็นเนื้อเดียวกัน คงเป็นเพราะเหตุนี้ภาคแรกของหนังจึงออกมาด้วน ๆ อย่างที่เห็น
เมื่อได้ดูภาคสองแล้ว บางคนอาจจะบอกว่าภาคแรกกลายเป็นเหมือนแค่น้ำจิ้มเท่านั้น แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นการปูจักรวาลที่ทำให้เราเข้าใจโลกของ Dune
แต่เรากลับมองว่ามันไม่ใช่แค่นั้น ภาคแรกไม่ได้แค่ปูเรื่องให้กับจักรวาลนี้เท่านั้น และเราพบสิ่งนี้หลังจากที่กลับมาดูภาคแรกอีกครั้งหลังจากดูภาคสองไปแล้ว
Dune ภาคแรกจำเป็นต้องจบด้วน ๆ ที่ตรงนั้น เพราะทุกสิ่งถูกวางไว้หมดแล้วต่างหาก!
"เราคือเบเนเจเซริท เราไม่คาดหวัง เราวางแผน" ในเนื้อเรื่องของ Dune มีการเห็นอนาคต มีการฉายให้เราเห็นถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในภาย "ภาคหน้า" เหตุการณ์ต่าง ๆ ในเรื่องเกิดขึ้นด้วยการชี้นำของกลุ่มคนบางกลุ่มที่เห็นอนาคต ดังนั้นการเล่าหนัง Dune จึงควรเล่าออกมาด้วยตรรกะเดียวกันนี้ ผู้สร้างในฐานะผู้ที่รู้เรื่องราวทั้งหมดอยู่แล้ว ร้อยเรียงมันออกมาโดยไม่เผยให้ผู้ชมอย่างเรารู้
หลังจากที่ดูภาคแรกอีกครั้ง สิ่งที่เราค้นพบคือความคู่ขนานของเนื้อเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องราวของพอลและเฟย์ด-รอธา
ในที่นี้เรามองว่าเรื่องส่วนต้นของภาคสองที่พอลเข้าไปเรียนรู้วัฒนธรรมของชาวเฟรเมนและเรื่องความรักของเขากับชานิ เป็นเพียง interlude ของเรื่องราวเท่านั้น เมื่อมองแบบนี้จะเห็นว่าเรื่องราวของภาคสองจริง ๆ แล้วเริ่มต้นจากการแนะนำตัวละครเฟย์ด-รอธา และนี่คือความคู่ขนานบางส่วนของเรื่องราว (ในฉบับนิยายเฟย์ดปรากฎตัวตั้งแต่ต้นเรื่องแล้ว ดังนั้นการที่ถูกเปลี่ยนไปปรากฎตัวในภาคสองของฉบับหนัง คงเป็นความจงใจของผู้สร้าง)
พอล/เฟย์ดเข้ารับการทดสอบด้วยกล่องปริศนา->พอล/เฟย์ดย้ายมาดาวอาราคิส->เมืองอาราคีนถูกจู่โจม->จบลงด้วยการดวลมีด ด้วยความที่ทั้งสองต่างก็เป็นคนที่มีแนวโน้มจะเป็นควิซาค ฮาเดอแรค ผู้ชายที่เกิดจากการคัดเลือกสายพันธุ์โดยกลุ่มแม่ชีเบเนเจเซริท เรื่องราวของทั้งคู่ขนานกันจนกระทั่งมาตัดผ่านกัน (ในที่นี้ไม่ใช้เส้นขนานในทางคณิตศาสตร์ เพราะอันนั้นมันไม่มีทางตัดกันโดยนิยาม)
นอกจากเส้นหลักนี้แล้วยังมีฉากบางฉากของเกอร์นี่ที่มีความคู่ขนานกันกับภาคแรก
ฉากที่พอลไปเยี่ยมชมการเก็บเกี่ยวสไปซ์ในภาคแรก กับฉากที่เกอร์นี่ลักลอบเก็บเกี่ยวสไปซ์ในภาคสอง ภาคแรกพอลสัมผัสสไปซ์เป็นครั้งแรก (ฉากนี้ไม่ตรงกับในหนังสือ) จนเกิดอาการหลอน เกอร์นี่เดินเข้ามาช่วย ในขณะที่พอลยังเมายาอยู่นั้นพอลพูดขึ้นมาว่า "ฉันจำเสียงก้าวเดินของนายได้ ตาเฒ่า" น่าคิดว่าทำไมพอลถึงพูดประโยคนี้ออกมาในตอนนั้น
ในตอนต้นภาคแรกพอลก็เคยพูดว่าตนจำเสียงเดินของเกอร์นี่ได้ไว้แล้วก็จริง (ต่างจากในฉบับหนังสือเช่นกัน เพราะในหนังสือพอลพูดกับเธอเฟอร์ ฮาวัต และอันที่จริงดูเหมือนพอลจะจำเสียงเดินของคนสนิทได้ทุกคน) แต่มันก็ยังน่าแปลกใจอยู่ดีว่าทำไมถึงพูดออกมาตอนที่เกอร์นี่เดินมาช่วยเขา
ปรากฎว่าประโยคเดียวกันนี้เลยถูกพูดโดยพอลอีกครั้งในภาคที่สอง ตอนที่พอลลอบโจมตีรถขุดสไปซ์ของเกอร์นี่ คราวนี้ประโยคนี้เข้าท่าเพราะเป็นการทักทายของสองคนที่ไม่ได้เจอกันมานาน และไม่ได้คิดว่าจะเจอกันอีก เป็นไปได้ไหมที่พอลในภาคแรกเห็นนิมิตถึงฉากการพบกันอีกครั้งนี้ จึงโพล่งประโยคดังกล่าวออกมาขณะเมาสไปซ์
อีกฉากของเกอร์นี่ที่มีความคู่ขนานกันในสองภาคก็คือฉากระหว่างรบในอาราคีน ในภาคแรกเราจะเห็นเกอร์นี่วิ่งเข้าไปสู้แล้วหายไปเลย ส่วนในภาคที่สองเขาเอาชนะแรบบานได้
ในขณะเดียวกันเราก็จะเห็นความคู่ขนานของตัวละครหญิงอีกสองตัวละครที่มาตัดผ่านกันในฉากจบของภาคสองเช่นกัน กล่าวคือชานิกับไอรูลาน ชานิคือผู้บรรยายเปิดเรื่องในภาคแรก ส่วนไอรูลานคือผู้บรรยายเปิดเรื่องในภาคที่สอง ทั้งคู่คือคนที่อาจจะแต่งงานกับพอล ด้วยรักหรือด้วยเกมการเมือง
และฉากดวลดาบนั้นเองจึงเป็นฉากที่เรื่องราวทั้งหมดมาบรรจบกัน และเรื่องราวคลี่คลายออกมา พอลชนะเฟย์ด-รอธา และไอรูลานคือคนที่จะแต่งงานกับพอล
มันเป็นฉากที่เล่าเรื่องเยอะมากแม้จะเป็นฉากแอคชั่นก็ตาม มีดที่พอลใช้ในภาคสองก็คือมีดเล่มเดียวกับที่ใช้ในภาคแรก มีดที่ชานิมอบให้ แถมยังไปชักมีดต่อหน้าชานิเพื่อส่งสัญญาณว่าเขายังรักเธอ
ในมุมหนึ่งการเล่าที่คู่ขนานของสองภาคนี้ยังอาจสื่อถึงการซ้ำรอยของประวัติศาสตร์ ผู้หนึ่งเข้ามาปกครอง เพียงเผื่อจะสูญเสียมันไปด้วยความรุนแรงและเกมของอำนาจ เช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ๆ
เป็นไปได้สูงอีกเช่นกันว่าการวางแผนเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ครอบคลุมไปจนถึงการเล่าภาคที่สาม ซึ่งอันที่จริงหนังสองภาคแรกคงเผยอยาคตให้เราเห็นมาพอสมควรแล้ว เช่นฉากสงครามศักดิ์สิทธิ์ในนิมิตของพอลในภาคแรก ตอนแรกเราเข้าใจว่ามันคือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในภาคสอง แต่มันก็ยังไม่เกิดขึ้น ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่ามันจะเกิดขึ้นในภาคที่สาม รวมถึงฉากที่พอลเห็นน้องสาวของตัวเองในภาคที่สองด้วย
ทั้งนี้ภาคที่สามยังไม่ได้มีการประกาศสร้างอย่างเป็นทางการเพราะผู้กำกับบอกว่ายังเกลาบทกันไม่เสร็จ บวกกับที่ต้องการเว้นระยะสักครู่หลังจากสร้างสองภาคแรกแบบหลังชนหลัง อย่างไรก็ดีมีแนวโน้มสูงมาก ๆ ที่เราจะได้เห็นภาคสามของ Denis Villeneuve ด้วยกระแสสุดแรงของภาคสองในตอนนี้

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา