15 มี.ค. เวลา 12:15 • ประวัติศาสตร์

ขุนโจรเหลียงซาน 91

บทกวีขบถ (6) ปล้นแดนประหาร
1
พอถึงเช้าวันที่หก ไฉ้จิ่วให้คนไปกวาดลานประหารที่สี่แยก กำหนดตัวทหารและเพชฌฆาตรวมห้าร้อยนายให้ไปรออยู่หน้าคุก ถึงยามสื้อ 巳牌 (10:00 น.) เจ้าเมืองก็มาเป็นประธานคุมลานประหารเอง หวงข่งมู่นำป้ายอาญามา เขียนคำตัดสินประหารว่า “ตัดคอ 斩” พัศดีและเจ้าพนักงานราชทัณฑ์แม้จะสนิทสนมกับไต้จง ซ่งเจียงก็มิรู้ที่จะช่วย เจ้าพนักงานแต่งรวบผมให้นักโทษปักดอกไม้กระดาษบนศีรษะ นำมาหน้าแท่นบูชาเทพพระพักตร์เขียว ให้นักโทษกินสุราอาหารมื้อสุดท้าย
1
长休饭 永别酒
อาหารมื้อสุดหยุดกรรม
สุราอำลานิรันดร์
1
แล้วนำตัวขึ้นหลักแห่ติดล้อ 利子 ซ่งเจียงนำหน้า ไต้จงตามหลังแห่มายังลานประหาร มีชาวบ้านมารอดูอยู่พันกว่าสองพันคน
愁云荏苒,怨气氛氲。
头上日色无光,四下悲风乱吼。
缨枪对对,数声鼓响丧三魂;
棍棒森森,几下锣鸣催七魄。
犯由牌高贴,人言此去几时回;
白纸花双摇,都道这番难再活。
长休饭,嗓内难吞;
永别酒,口中怎咽!
狰狞刽子仗钢刀,丑恶押牢持法器。
皂纛旗下,几多魍魉跟随;
十字街头,无限强魂等候。
监斩官忙施号令,仵作子准备扛尸。
เมฆระทมอมทุกข์แผ่ปกคลุม
กลิ่นอายคุมคั่งแค้นแน่นขนัด
แดดเหนือหัวมัวซัวมิแจ่มชัด
ลมคลั่งพัดโหยหวนป่วนทั่วแดน
เป็นคู่คู่ทวนชูพู่ระหง
กลองรัวส่งสะท้านวิญญาอาลัยแสน
เป็นแถวแถวพลองเรียงเมียงมองแน่น
ม้าล่อสั่นขวัญแขวนทุกคราดัง
1
ป้ายอาญาเชิดแจงสำแดงโทษ
ต่างจรรโจษไปลับไม่กลับหลัง
ดอกกระดาษไหวไหวขาวนวลปลั่ง
ต่างตระหนักครั้งครานี้ทีอาสัญ
อาหารมื้อสุดท้ายกลืนได้ไหม
ร่ำสุราอาลัยไหวหรือนั่น
เพชฌฆาตกุมดาบมาดดุดัน
ราชทัณฑ์ชูเครื่องพลีมีแขยง
ภูตผีพรายมากหลายใต้ธงดำ
สัมภเวสีระริกรี้กลางสี่แพร่ง
รอคำสั่งขุนคุมลานตะแลงแกง
สัปเหร่อแฝงเฝ้ารอเก็บซากอสุภ
เพชฌฆาตขานเรียก “มารร้ายจงมา 恶杀都来” (เป็นธรรมเนียมของเพชฌฆาตขาน 恶杀都来 ในสมัยนั้น ก่อนพาตัวนักโทษเข้าสู่ลานประหาร) แล้วพาซ่งเจียง ไต้จงเข้าสู่ลานประหารกลางสี่แยก ทหารถือทวนกระบองเข้าล้อมลาน ซ่งเจียงและไต้จงนั่งลงหันหน้าหาทิศใต้หันหลังสู่ทิศเหนือ รอฤกษ์ประหารยามอู่สามเค่อ 午时三刻 ผู้คุมลานประหารจึงจะสั่งการให้ลงดาบ
4
(การบอกเวลานอกจากแบ่งเป็นชั่วยาม (เกิง 更) และ เตี่ยน 点 ระบบหนึ่งแล้ว ยังมีอีกระบบ คือ เค่อ 刻 หรือหนึ่งรอยขีดบนถังน้ำบอกเวลา หนึ่งวันมีหนึ่งร้อยเค่อ การเทียบกันค่อนข้างยุ่งยากเพราะ หนึ่งชั่วยามเท่ากับ 8.33 เค่อ ฤกษ์ประหารกลางวันมักนิยมใช้ ยามอู่สามเค่อ 午时三刻 หากเทียบเวลาปัจจุบัน ยังไม่ถึง 12:00 น. ดี แต่มักถือว่าเป็นเวลาที่อาทิตย์ตรงหัวพอดี)
1
บนป้ายอาญาประกาศโทษ 犯由牌 เขียนไว้ว่า
“ผู้ต้องโทษเมืองเจียงโจว นายหนึ่งซ่งเจียง เขียนบทกวีขบถ ลวงประชาเป็นพ่อมด สมคบโจรเขาเหลียงซาน มุ่งหมายก่อกบฏ ตัดสินโทษประหาร ตัดคอ  นายหนึ่งไต้จง ลอบส่งหนังสือให้แก่ซ่งเจียง สมคบโจรเขาเหลียงซาน มุ่งหมายก่อกบฏ ตัดสินโทษประหาร ตัดคอ ผู้ควบคุมการประหาร เจ้าเมืองเจียงโจวท่านไฉ้”
2
ท่านเจ้าเมืองยืนม้าอยู่ รอฤกษ์ขานคำสั่งประหาร
ทางตะวันออกของลานประหาร วณิพกเลี้ยงงูกลุ่มหนึ่งกรุยทางพยายามเข้ามายังลานประหาร พวกทหารหวดตีก็ไม่ยอมถอย
ขณะกำลังชุลมุนอยู่ฝั่งนี้ ทางตะวันตกก็มีพวกรำทวนกระบองเร่ขายยาเบียดผลักเข้ามาบ้าง พวกทหารตะคอกเอ็ดใส่
“เจ้าพวกนี้ ที่นี่ที่ไหน ให้พวกเจ้าเบียดเข้ามาดูกัน”
“ไอ้นกเขาบ้านนอก เมืองใหญ่เล็กแค่ไหน ข้าก็ไปมาทั่ว ฮ่องเต้ประหารคนที่เมืองหลวงก็ให้คนเข้าไปดูได้ เล็กอย่างที่นี่ตัดหัวแค่สองคน คับโลกแล้วรึไง ข้าจะเข้าไปดู มีนกเขาไร”
ผู้คุมลานประหารตวาดมา “ไล่พวกมันถอยไป อย่าให้เข้ามา”
ทางใต้ของลานประหารเอาบ้าง มีพวกกรรมกรแบกหามหาบของเบียดเข้ามา พวกทหารตวาดว่า “นี่ลานประหาร จะหาบของไปไหนกัน”
“พวกข้าจะเอาของไปส่งที่จวนท่านเจ้าเมือง พวกท่านมาขวางทำไม”
ทหารว่า “คนในจวนเอง ก็ต้องอ้อมไปทางอื่น”
คนพวกนั้นจึงวางหาบลง ถอดเอาไม้คานมาถือไว้ยืนอยู่กลางฝูงชน
ทางเหนือของลานประหารมีพวกพ่อค้าเข็นรถมาสองคันจะเข้ามาในลาน พวกทหารว่า “จะไปไหนกัน”
“พวกเรากำลังรีบ ขอผ่านทางหน่อย”
“ที่นี่ลานประหาร อ้อมไปทางอื่น”
“พวกเรามาจากเมืองหลวง ใครจะไปรู้ทางนกเขาพวกเจ้า เรารู้จักแต่ทางใหญ่”
พวกทหารไม่ยอมให้ผ่าน ทะเลาะกันอยู่ พวกพ่อค้าก็หยุดเข็นแล้วขึ้นไปยืนอยู่บนรถ
พลันกลางลานประหารมีคนร้องขานเวลา “ยามอู่สามเค่อ 午时三刻”
ผู้คุมลานประหารขานคำสั่ง “ตัดคอแล้วรายงาน 斩讫报来” ให้ทำการประหาร
เพชฌฆาตถอคานักโทษออก กุมดาบในมือเตรียมบั่นคอ
พ่อค้าที่ยืนอยู่บนรถผู้หนึ่งพอได้ยินคำว่า “ตัดคอ 斩” ก็ล้วงม้าล่อขนาดเล็กออกมาจากอกเสื้อตีเป็นสัญญานสามที รอบข้างต่างลงมือพร้อมกัน
闲来乘兴入江楼,渺渺烟波接素秋。
呼酒谩浇千古恨,吟诗欲泻百重愁。
雁书不遂英雄志,失脚翻成狴犴囚。
搔动梁山诸义士,一齐云拥闹江州。
ช่างอภิรมย์ยามเยี่ยมชมหอริมตลิ่ง
หมอกอ้อยอิ่งทำรำลึกถึงยามเศร้า
สั่งสุรามาราดรดโศกก่อนเก่า
ร่ายกลอนเป่าปัดปวงทุกข์มหันต์
 
ปณิธานมิบรรลุผ่านอักษร
กลับพาจรสู่ตำรุของปี้อั้น
ร้อนผู้กล้าเหลียงซานมาครบครัน
ชุมนุมกันปั่นป่วนกวนเจียงโจว
(狴犴 ปี้อั้น ราชบุตรองค์ที่เจ็ดของพญามังกร รูปร่างเป็นเสือ ทรงคุณธรรม มั่นคงในหลักการ มักปรากฎเป็นรูปหัวเสือเหนือเรือนจำ)
ชายฉกรรจ์ผิวดำเปลือยร่างกระโดดลงมาจากหอของร้านน้ำชาปากทางสี่แพร่ง คำรามเสียงก้องดังฟ้าร้อง ควงขวานคู่ตรงเข้าสับเพชฌฆาตทั้งสองคนละทีดับคาที่ แล้วปรี่เข้าใส่ม้าผู้คุมลานประหาร เหล่าทหารทวนรีบเข้ามาล้อมอารักขาแต่ต้านไม่ไหว ต้องพาเจ้าเมืองไฉ้จิ่วหนีไม่คิดชีวิต
ทางตะวันออกพวกวณิพกชักมีดปลายแหลมเป็นอาวุธ ทางตะวันตกพวกเร่ขายยาใช้ทวนกระบอง พวกกรรมกรทางใต้ใช้ไม้คาน ลุยฆ่าเข้ามาในลาน พวกพ่อค้าทางเหนือโดดลงจากรถ เข็นรถทั้งสองขวางทางไว้ พ่อค้าสองคนตรงเข้าไปแบกซ่งเจียงและไต้จงขึ้นหลัง ที่เหลือใช้ธนูระดมยิง หรือใช้หินระดมขว้างเข้าใส่ทหารในลาน
พวกที่ปลอมเป็นพ่อค้าคือ เฉาไก้ ฮวาหยง หวงซิ่น หลวี่ฟาง กวอเสิ้ง พวกใช้ทวนกระบองคือ เอี้ยนซุ่น หลิวถัง ตู้เชียน ซ่งว่าน พวกกรรมกรคือ จูกุ้ย เสือเตี้ยหวาง เจิ้งเทียนโซ่ว สือหย่ง พวกวณิพกคือ หยวนเสี่ยวเอ้อ หยวนเสียวอู่ หยวนเสี่ยวชี ไป๋เสิ้ง รวมสิบเจ็ดหัวหน้าเขาเหลียงซานนำลิ่วล้อมาร้อยกว่าคน
ชายฉกรรจ์ผิวดำควงขวานคู่สับคนเป็นว่าเล่นนั้นพวกเฉาไก้ไม่รู้จัก แต่กลับเป็นผู้ที่ออกแรงมากที่สุด สังหารคนมากที่สุด พลันเฉาไก้ก็ฉุกคิดได้ว่า ไต้จงเคยพูดถึงพายุหมุนดำหลี่ขุย สนิทกันกับซ่งเจียง และเป็นคนมุทะลุ เฉาไก้ตะโกนถามไปว่า “ผู้กล้าข้างหน้านี่ ใช่พายุหมุนดำไหม”
ชายฉกรรจ์นั้นไม่ตอบ เอาแต่ลุยสับอย่างเดียว เฉาไก้จึงสั่งให้ลิ่วล้อที่แบกซ่งเจียงและไต้จงวิ่งตามหลังชายผิวดำไป ชายผู้นั้นสับไม่เลือกว่าจะเป็นทหารหรือชาวบ้าน สับตรงไปยังปากทางสี่แพร่งจนเลือดนองเป็นท้องธาร เหล่าหัวหน้าจึงทิ้งรถเข็นตามหลังชายผิวดำออกจากเมืองมาด้วย โดยมี ฮวาหยง หวงซิ่น หลวี่ฟาง กวอเสิ้ง สี่ขุนธนูใช้ห่าลูกศรดังฝูงตั๊กแตนรั้งท้าย
1
พอมาถึงริมแม่น้ำ ชายชุดดำยังคงสับลุยหน้าเลียบน้ำต่อไป เฉาไก้ตะโกนว่า “อย่าทำร้ายชาวบ้าน” ชายผิวดำไม่สนใจ หนึ่งสับหนึ่งชีวิตไม่เลือกว่าทหารหรือชาวบ้าน เลียบน้ำมาได้ราวเจ็ดลี้ ไม่มีทางบกให้ไปต่อ
ชายผิวดำตะโกนบอกว่า “ไม่ต้องห่วง แบกท่านพี่เข้าไปในศาลเจ้า”
ทั้งกลุ่มจึงได้สังเกตเห็นศาลเจ้าตั้งอยู่ริมน้ำ ประตูปิดสนิทอยู่ ชายผิวดำเอาขวานจามประตูเข้าไป เฉาไก้มองไปเห็นสองฝั่งเป็นแนวต้นสนร่มครึ้ม ด้านหน้ามีป้ายจารึกอักษรสีทองสี่ตัว “ศาล เทพ มังกร ขาว 白龙神庙” ลิ่วล้อแบกซ่งเจียง ไต้จงเข้าไปในศาลแล้วจึงวางลงให้นั่งพัก
ซ่งเจียงเห็นเฉาไก้กับพวกจึงร้องไห้ว่า “พี่ท่าน ไม่ใช่พบกันในฝันกระมัง”
เฉาไก้ว่า “พี่ท่านไม่ยอมขึ้นเขา มิเช่นนั้นคงไม่ต้องตกระกำลำบากเช่นวันนี้ ชายผิวดำหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่ผู้นี้เป็นใคร”
ซ่งเจียงว่า “นี่คือพายุหมุนดำหลี่ขุย จะแหกคุกปล่อยข้าหลายครั้งแล้ว แต่ข้าคิดว่าคงไปไม่รอดจึงยังไม่ยอม”
เฉาไก้ว่า “มิน่าเล่าถึงได้ออกหน้า ไม่กลัวหอกดาบหรือลูกธนู”
ขณะนั่งชุมนุมอยู่นั้น จู่ๆ หลี่ขุยก็คว้าขวานลุกขึ้นเดินไปตามระเบียง ซ่งเจียงตะโกนเรียกให้หยุดแล้วถามว่า “น้องเราจะไปไหน”
หลี่ขุยว่า “ไปฆ่าคนเฝ้าศาล ไม่ออกมารับพวกเรา ยังแถมปิดประตูใส่ ว่าจะจับมาเซ่นประตูเสียหน่อย หาตัวไม่เจอ”
ซ่งเจียงว่า “กลับมานี่ก่อน พี่จะแนะนำเหล่าหัวหน้าให้รู้จัก”
หลี่ขุยจึงทิ้งขวานแล้วคุกเข่าลงหน้าเฉาไก้ว่า “ขออภัยพี่ท่านที่ควายเหล็กหยาบคาย”
หลี่ขุยทำความรู้จักกับเหล่าหัวหน้าแล้วจึงรู้ว่าจูกุ้ยกับตนเป็นคนบ้านเดียวกัน
ฮวาหยงว่า “พี่ท่าน บอกให้พวกเราตามพี่หลี่มาถึงที่นี่ ข้างหน้าเป็นแม่น้ำ ทางตันเสียแล้ว เรือก็ไม่มี หากพวกทหารตามออกมาจะทำอย่างไร”
หลี่ขุยว่า “ไม่ต้องห่วง ข้านำพวกท่านลุยสับกลับเข้าเมืองไปจับไอ้นกเขาไฉ้จิ่วมาสับเสีย”
ไต้จงว่า “น้องเราอย่าวู่วามเช่นนั้น ในเมืองมีทหารราวเจ็ดพันคน หากกลับเข้าไปคงเสียที”
หยวนเสี่ยวชีว่า “ฝั่งตรงข้ามมีเรืออยู่หลายลำ พวกข้าสามพี่น้องจะว่ายน้ำข้ามไปเอาเรือมารับพวกเรา”
เฉาไก้ว่า “แผนนี้ใช้ได้”
สามหย่วนพี่น้องพากันถอดเสื้อออกลงน้ำว่ายไปได้ราวครึ่งลี้ ก็มีเสียงเป่าปาก เห็นเรือสามลำแล่นตรงเข้ามาไวปานเหาะ บนเรือมีคนราวสิบกว่าคนมีอาวุธครบมือ คนบนฝั่งพากันลุกขึ้น ซ่งเจียงว่า “แย่แล้ว” พอออกมาหน้าศาลมองไปเห็นคนบนหัวเรือถือไม้ง่ามห้าซี่ ก็จำได้ว่าคือ จางซุ่น
东去长江万里,内中一个雄夫。
面如傅粉体如酥,履水如同平土。
胆大能探禹穴,心雄欲摘骊珠。
翻波跳浪性如鱼,张顺名传千古。
ฉางเจียงรี่ไกลสู่บูรพา
หนึ่งผู้กล้าอาศัยแม่น้ำนั่น
ใบหน้าขาวผิวราวเกล็ดเลื่อมมัน
ก้าวย่ำน้ำมั่นคงดังเดินแดนดิน
ขวัญหาญห้าวก้าวย่ำถ้ำหวี่ราช
ใจองอาจมาดหมายเด็ดมุกหลีหลง
ดุจมัจฉาถลาคลื่นโลดขึ้นลง
จางซุ่นคงชื่อไว้ให้เลื่องลือ
(ราชาหวี่ 大禹 ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์เซี่ย 夏 เป็นผู้ขุดลอกแม่น้ำคูคลองป้องกันน้ำท่วมในตำนาน
ถ้ำหวี่ 禹穴 ร่ำลือว่าเป็นที่อยู่สมัยขุดลอกร่องน้ำ หรือ เป็นที่ฝังพระศพ
 
骊珠 (หลีจู) มุกมังกรหลีหลง 骊龙 มังกรในตำนานมีสีดำและมีมุกอยู่ที่คาง)
ตอนก่อนหน้า : จับพิรุธ
ตอนถัดไป : ศาลมังกรขาว

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา