Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
สุธีร์@อ่านเอาเพลิน
•
ติดตาม
3 เม.ย. เวลา 00:46 • นิยาย เรื่องสั้น
Central Westville
จุดจบผู้ลักพาตัว
เมื่อคืนที่ผ่านมา กว่าเมอร์คิวเรียสจะหลับลงได้ก็ดึกเต็มที เช้าวันนี้เขาจึงตื่นสาย เมื่อเขาทานอาหารเช้าเสร็จแล้วเขาได้ย้อนกลับไปห้องนอนเพื่อจัดเตรียมสิ่งของจำเป็นก่อนออกจากโรงแรม
เดิมทีเขาตั้งใจจะตรงไปที่ศาลาว่าการ แต่เขารู้ตัวเองดีว่าสภาพจิตใจของเขาในตอนนี้ ค่อนข้างจะว้าวุ่น ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการทำงานสำคัญในวันนี้ เขาจึงเดินทางไปคอนแวนต์เพื่อทำจิตใจให้สงบเสียก่อน
เมอร์คิวเรียสมีศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้ามาอย่างยาวนาน การดำรงชีวิตในฐานะนักบวชมีความหมายต่อเขาอย่างมาก ขนาดยอมเป็นนักบวชทั้งสองนิกาย เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพระองค์จะช่วยสนับสนุนเขาเอาชนะอุปสรรคทั้งปวงจนสามารถบรรลุภารกิจสำคัญครั้งนี้
เมอร์คิวเรียสจุ่มนิ้วลงในน้ำศักดิ์สิทธิ์ แล้วเอานิ้วมาแตะหน้าผากหน้าอกและไหล่ทั้งสอง จากนั้นได้คุกเข่าลงต่อหน้าแท่นบูชาเพื่อแสดงคารวะต่อพระผู้เป็นเจ้า เขาหวนนึกถึงคำอธิษฐานของทหารชาวอังกฤษในสงครามกลางเมืองที่กล่าวว่า
“ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทราบดีว่าขณะนี้จิตใจของข้านั้นปั่นป่วนแค่ไหน หากแม้นว่าในบางเวลา ตัวข้าได้ละเลยต่อพระองค์ แต่ข้าขอวิงวอนต่อพระองค์ว่า ขอพระองค์อย่าได้ลืมเลือนตัวข้าเลย” ถึงตอนนี้เมอร์คิวเรียสจึงเข้าใจความรู้สึกของทหารผู้นี้ดีกว่าเดิม
สองคืนก่อนเมอร์คิวเรียสได้กล่าวตำหนิใครต่อใครที่กล่าวคำเท็จ ใครต่อใครที่ปกปิดข้อเท็จจริง แต่ว่าแผนการทั้งหมดที่จะใช้จับตัวคนร้ายนั้น กลับกลายเป็นแผนการที่ตั้งอยู่บนความหลอกลวง เขากำลังหลอกลวงเฮนดริค บริเอลล์ ว่าทางการไม่มีการตั้งด่านตรวจค้นตามถนนและคลองแล้ว หากแผนการนี้สำเร็จ บริเอลล์จะต้องชดใช้ความผิดด้วยชีวิตของเขา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ชีวิตของแอนนาจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เมอร์คิวเรียสไม่รู้ว่าตอนนี้แอนนาจะรู้สึกอย่างไร? บางทีตอนนี้แอนนาอาจมีความสุขกว่าที่เธอเคยเป็นอยู่ แม้ว่าตอนนี้เธอจะต้องอยู่ในที่ซ่อนตัว แต่เธอก็ได้อยู่กับพ่อตัวจริงที่รักเธอ ซึ่งอาจสบายใจกว่าที่จะอยู่ในคฤหาสน์อันหรูหรา นอกจากนี้เธอยังได้แมกดาเลนาซึ่งอยู่ในวัยเดียวกับเธอเป็นเพื่อนเล่น และเธอยังอาจได้เรียนรู้การจับหอยแครง การทำความสะอาดหอยเชลล์จากแมกดาเลนาอีกด้วย
เมอร์คิวเรียสหวนนึกถึงชีวิตตัวเองดูช่างหน้าสมเพช เขาจำต้องเป็นนักบวชคาทอริกในคราบโปรเตสแตนต์ ทั้งที่ใจจริงแล้วเขาอยากเปิดเผยความจริงนี้ ชะตาชีวิตของเขาในด้านนักบวชไม่ได้ดูสดใสเหมือนกับเส้นทางนักบวชของอเลดิส เฟอร์เมร์ ที่ผ่านมาเขาเอาแต่ปรับชีวิตตัวเองให้สอดรับกับความต้องการของสังคม ตอนนี้เขารู้แล้วว่าที่ถูกแล้วเขาควรที่จะยึดถือความถูกต้องเป็นหลัก หากสิ่งที่สังคมต้องการเป็นสิ่งไม่ถูกต้องเขาจะต้องพยายามเปลี่ยนแปลงความต้องการของสังคมเสียใหม่จึงจะถูกเพื่อให้สังคมดีขึ้น
ในมหาวิทยาลัย เหล่านักวิชาการต่างมุ่งค้นคว้าวิจัยสิ่งต่างๆ ด้วยวิธีการที่สลับซับซ้อน บ่อยครั้งที่นักวิชาการออกมาโต้เถียงกันเองว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ถูกต้องแต่ของฝ่ายตัวเองนั้นถูกต้อง
เมอร์คิวเรียสเคยนึกสงสัยว่าจะมีใครบ้างที่สนใจค้นคว้าหาคำตอบว่าปลายเข็มจะมีนางฟ้ามานั่งได้กี่ตน เมอร์คิวเรียสคิดว่านางฟ้าน่าจะนั่งได้เจ็ดสิบหกตน แม้ว่าเขาจะไม่สามารถหาหลักการมาอธิบายแต่เขาก็พอใจกับคำตอบนี้ ข้อถกเถียงเกี่ยวกับศาสนาระหว่างคาทอริกกับโปรเตสแตนต์นั้นมีบางเรื่องทั้งสองนิกายก็สอดคล้องกันเช่นความเชื่อในการสักการะพระผู้เป็นเจ้าด้วยขนมปังและไวน์ ซึ่งข้อแตกต่างของทั้งสองนิกายนี้กลับกลายเป็นเรื่องความถี่ในการถวายสักการะว่าควรกระทำบ่อยแค่ไหน ข้อแตกต่างแบบนี้ใครควรเป็นผู้ตัดสินล่ะ?
เมอร์คิวเรียสรู้ตัวดีว่าตนเองกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจึงหาทางหยุดคิดด้วยการกล่าวบทสวดของท่านมาตินส์ จากนั้นเขาได้โค้งคำนับแล้วเดินออกจากโบสถ์ เมื่อเมอร์คิวเรียสเดินออกมา เขาได้เจอแม่ชีอาวุโสกำลังนั่งอยู่ที่ม้านั่งนอกโบสถ์ ดูเหมือนว่าเธอกำลังรอพบเขาอยู่
“พอฉันทราบว่าอาจารย์แวะมาที่นี่ฉันจึงรีบมานั่งรอพบอาจารย์เพื่อคุยเรื่องสำคัญค่ะ” แม่ชีกล่าว
“ผมต้องขอโทษด้วยครับที่ทำให้แม่ชีต้องรอผมนาน”
“อาจารย์ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ สำหรับฉันไม่ถือว่าเป็นการรอคอยเลยค่ะ” แม่ชีพูดขณะที่ในมือก็นับลูกประคำที่ประดับด้วยไม้กางเขน
ทั้งสองเดินสนทนากันบนทางเดินของสวนในคอนแวนต์
“ฉันอยากถามอาจารย์ว่าเด็กหญิงที่อาจารย์พามาที่นี่เมื่อครั้งก่อน ตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้างคะ?”
“แม่ชีหมายถึงอเลดิส เฟอร์เมร์ หรือครับ?”
“ใช่ค่ะ แม้ว่าเธอยังเด็ก แต่เธอก็มีความมุ่งมั่นที่จะบวชเป็นแม่ชี ซึ่งฉันเองก็ไม่อยากไปขัดขวางความประสงค์ของเธอเลย แต่ในความเห็นของฉัน เธอยังเด็กไปที่จะบวชค่ะ ไม่ทราบว่าอาจารย์ได้แนะนำเธอไว้อย่างไรหรือคะ?”
“ผมขอบอกแม่ชีตามตรงว่าผมยังไม่เคยแนะนำเธอเลยครับ จะมีก็เพียงแค่พยายามบอกเธอว่าโลกแห่งความจริงไม่อาจแบ่งแยกชัดเจนว่าเป็นสีขาวหรือสีดำ ซึ่งเธอจะต้องตระหนักในข้อนี้ไม่เช่นนั้นเธอจะประสบความลำบากในการใช้ชีวิต”
แม่ชีพยักหน้าแล้วพูดว่า “สำหรับฉันแล้ว ฉันกลับรู้สึกชื่นชมใครก็ตามที่มากดดันให้ฉันต้องเลือกระหว่างขาวกับดำเพราะว่ามีอยู่หลายครั้งที่ไม่มีพื้นที่สีเทาให้เราเลือกเพื่อไว้กำบังตัว แล้วท่านคิดอย่างไรล่ะคะ?”
เมอร์คิวเรียสคิดว่าเขาคงทำอย่างแม่ชีไม่ได้แน่ ประเด็นนี้เขาเองก็กำลังเผชิญอยู่
แม่ชีพูดต่อไปว่า
“การอนุญาตให้อเลดิสอยู่ที่คอนแวนต์เป็นเรื่องที่ท้าทายทั้งตัวฉันและเหล่าแม่ชีที่นี่ ซึ่งในอนาคตมันอาจเป็นเรื่องดีสำหรับทุกคนก็ได้ แต่สำหรับตอนนี้ฉันอยากให้อเลดิสได้อยู่กับครอบครัวเพื่อเป็นแสงสว่างให้กับครอบครัวมากกว่า เธอจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระของแม่อย่างมากในการดูแลพี่ๆ น้องๆ ในครอบครัว และเธอจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับพี่ๆ น้องๆ ด้วยเธอมีอายุยังน้อย
ดังนั้นการใช้ชีวิตในโลกภายนอกจะทำให้เธอได้มีโอกาสแสดงศักยภาพของเธอได้มากกว่าการใช้ชีวิตสันโดษในคอนแวนต์ และเมื่อเธอเติบโตจนสามารถออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านได้ เมื่อถึงตอนนั้นหากเธอยังมุ่งมั่นบวชเป็นแม่ชีอยู่ เราก็พร้อมต้อนรับเธอมาอยู่กับเราค่ะ
“ผมจะนำคำกล่าวของแม่ชีไปบอกอเลดิสและแม่ของเธอให้ครับ”
เมอร์คิวเรียสอดนึกชื่นชมแม่ชีอาวุโสคนนี้ไม่ได้ว่าเธอสามารถหาทางออกที่เขาเองนึกไม่ถึงได้อย่างดีเยี่ยมทีเดียว
เมอร์คิวเรียสไม่รอช้า เขารีบไปหาอเลดิสและแม่ของเธอ ได้บอกเล่าเรื่องราวที่แม่ชีอาวุโสฝากมา ปรากฏว่าทั้งแม่และอเลดิสต่างยินดีและพอใจกับคำตอบของแม่ชี สำหรับแม่อเลดิสเธอยังสามารถใกล้ชิดกับอเลดิสลูกรักได้อีกหลายปีกว่าอเลดิสจะโตเป็นผู้ใหญ่ ส่วนอเลดิสเองก็ภูมิใจตนเองที่แม่ชีให้ความสำคัญและยกย่องเธอขนาดนี้
เมื่อเมอร์คิสเรียสเสร็จภารกิจที่บ้านของเฟอร์เมร์แล้ว จากนี้ไปจะเข้าสู่โหมดของการไล่ล่าจับคนร้ายแล้ว เมอร์คิวเรียสเฝ้ารอเวลาให้มืดค่ำโดยเร็วด้วยจิตใจที่ไม่เป็นสุข ภาวนาให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
เมื่อเสียงระฆังนาฬิกาโบสถ์ดังบอกเวลาสี่โมงเย็น ท้องฟ้าที่เดลฟท์ก็เข้าสู่ความมืด ผู้คนที่เดินไปมาบนลานกว้างหน้าศาลาว่าการเริ่มเบาบางลง เมอร์คิวเรียสแวะชมดูของที่ขายตามร้านค้าเกิดถูกใจกระเบื้องดินเผาลวดลายสีน้ำเงินอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมืองเดลฟท์จึงได้ซื้อไว้เพื่อเป็นของที่ระลึก
จากนั้นสายตาเมอร์คิวเรียสไปสะดุดกับร้านหนังสือร้านหนึ่งชื่อร้านเดอะโกลเดนเอบีซี เขาจึงเดินเข้าไปในร้าน พบว่าร้านนี้มีหนังสือวางขายจำนวนมาก หนังสือถูกจัดไว้เป็นหมวดหมู่แลดูสวยงาม เด็กหนุ่มคนหนึ่งในร้านอายุประมาณสิบแปดเห็นจะได้ ถือตะเกียงมาให้เขาเพื่อส่องดูหนังสือ เมอร์คิวเรียสทราบภายหลังว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีนามว่าจาคอป ดิสเซียส เขาเป็นเด็กหนุ่มผู้ที่จะมีบทบาทสำคัญต่อเมอร์คิวเรียสในอนาคต
เมอร์คิวเรียสเดินออกมาจากร้านด้วยความรู้สึกสังหรณ์ใจว่าจะมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นแต่ก็ไม่สามารถระบุได้ว่ามันคืออะไร
เมอร์คิวเรียสเดินไปตามถนนอุสปูร์ต ขณะที่สายตาก็มองไปที่เรือท้องแบนที่กำลังแล่นเรือสับหลีกกันบนคลอง มองเห็นคนบนเรือกำลังเอามือก่ายหน้าผาก จากนั้นเมอร์คิวเรียสก็เดินต่อไปบนถนนซูอิดวอล ครั้งก่อนที่เขามาที่นี่เขาได้ขบคิดเกี่ยวกับการตรวจค้นเรือเหล่านี้ เขาพบว่าแทนที่เจ้าหน้าที่จะตรวจค้นเรือทุกลำที่จอดเทียบท่า เจ้าหน้าที่จะตรวจเฉพาะเรือที่กำลังผ่านจุดตรวจ ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัว เขาตำหนิตัวเองว่าทำไมตนเองช่างโง่อะไรเช่นนี้
เมอร์คิวเรียสรีบวิ่งไปตามถนนเรียบกำแพงเมืองมุ่งสู่ประตูเมืองทิศใต้ จากนั้นวิ่งต่อไปยังบ่อน้ำที่เกอร์ทรูย์ดถูกลักพา เขามองไปยังถนนรอบๆ บ่อ สังเกตเห็นว่าหากเดินไปตามถนนเส้นหนึ่งที่อยู่ใกล้ประตูเล็กๆ ตรงทางเข้าเพียงไม่กี่ก้าวก็จะไปสิ้นสุดที่คลองสายหนึ่ง การที่คนร้ายสามารถหลบสายตาคนบนถนนได้อย่างรวดเร็วก็เพราะเขาใช้เรือในการสัญจรนั่นเอง ทุกๆ ที่ในเมืองเดลฟท์ล้วนอยู่ใกล้คลอง
แมกดาเลนา คุจเปอร์ ถูกลักพาตัวตรงบริเวณถนนที่สุดทางที่คลอง ส่วนแอนนา แวนเสตเตน ก็ถูกลักพาตัวขณะที่เธอกำลังยืนอยู่บนสะพานเพื่อดูคลอง
การที่ไม่มีใครเห็นแอนนาเดินจับมือไปกับคนร้ายก็เพราะว่ามันไม่ได้เกิดขึ้น เป็นไปได้ว่าเธอก้าวลงไปบนเรือนเอง แล้วบริเอลล์เอาเรือมาจากไหนล่ะ? เป็นไปได้ว่าบริเอลล์พายเรือมาจากสเคฟเวนนิงเกน ซึ่งใช้เวลาเดินทางนานกว่าและยากลำบากกว่ามาทางบก บริเอลล์อาจขโมยเรือหรือซื้อเรือจากที่เดลฟท์ก็ได้
เมอร์คิวเรียสคิดได้ดั่งนั้นแล้วจึงตัดสินใจรีบไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อบอกเรื่องนี้ ขณะที่เขากำลังวิ่งไป เขามองไปยังยอดโบสถ์นิวเคิร์กแลเห็นลูซี่กำลังโบกธงเป็นรูปไม้กางเขนอันเป็นสัญญาณบอกว่าทีมงานต้องการพบเมอร์คิวเรียสด่วน
สำหรับการให้สัญญาณนั้น ลูซี่ได้ตกลงกับทีมงานว่าถ้าต้องการเรียกหาเมอร์คิวเรียสเธอจะโบกธงทำสัญญลักษณ์ไม้กางเขน ถ้าเป็นเฟอร์เมร์เธอจะเอาไม้ม็อปมาโบกสื่อถึงแปรงพู่กัน ถ้าเป็นแวนลิวเวนฮอคเธอจะโบกธงเป็นวงกลมสื่อถึงเลนส์ขยาย ถ้าเป็นนายกเทศมนตรีเธอจะทำท่าโค้งตัวสามครั้ง และสำหรับเรียกหัวหน้าตำรวจเธอจะยืนตรงแล้วโบกธงไปมา
เมอร์คิวเรียสรีบวิ่งมุ่งไปที่เดอะมาร์ท และได้พบกับแคลล์ แคลล์ส่งเสียงตะโกนว่า “อาจารย์…รีบไปที่อุสปุสต์ด่วน เจ้าหน้าที่พบแมกดาเลนาที่นั่นครับ”
เมอร์คิวเรียสเห็นแมกดาเลนาปลอดภัยดี ก็รู้สึกโล่งใจ ลิซแม่ของแมกดาเลนากำลังโอบกอดเธอด้วยความรักและความเป็นห่วง เมอร์คิวเรียสสังเกตเห็นเธอกำลังอยู่ในอาการหนาวสั่น ปิดปากเงียบไม่พูดอะไร
“อาจารย์คะ ลูกฉันไม่ยอมพูดอะไรเลย ไม่รู้ว่าเธอถูกทำร้ายหรือเปล่าคะ?”
“ผมดูแล้วคิดว่าเธอไม่ได้ถูกทำร้ายหรอกครับ สบายใจได้ แต่ผมพอจะรู้ว่าทำไมเธอถึงไม่พูดอะไรครับ”
เมอร์คิวเรียสขออนุญาตลิซจูงแมกดาเลนาไปนั่งตรงบริเวณใกล้กองไฟเพื่อให้เห็นหน้าชัดๆ
“หนูแมกดาเลนาไม่ต้องกลัวอะไรแล้วนะ ตอนนี้หนูปลอดภัยแล้ว ฉันรู้นะว่าการที่หนูไม่พูดอะไรออกมาเป็นเพราะเขาขอร้องหนูไม่ให้บอกใครว่าเขาอยู่ที่ไหนจนกว่าจะถึงตอนเช้าไม่อย่างนั้นแอนนาอาจไม่ปลอดภัย ฉันพูดถูกไหม?”
แมกดาเลนามองเมอร์คิวเรียสพร้อมทั้งส่ายศีรษะเป็นเชิงปฏิเสธ
“ใช่สิ เขาไม่ได้เรียกชื่อ‘แอนนา’ว่า ‘แอนนา’แต่เรียกเธอว่า ‘จูเลียนา’ ต่างหาก”
เมอร์คิวเรียสกล่าวเช่นนั้นเพราะเขาไม่พบว่าแอนนาเคยเข้าพิธีบัพติศมาที่สเคฟเวนนิงเกน และถ้าหากบริเอลล์เป็นคาทอลิก เขาคงพาแอนนาไปทำพิธีบัพติศมาที่โบสถ์นอกกฎหมายสักแห่ง
“หนูแมกดาเลนา ถ้าอย่างนั้นการที่หนูไม่พูดอะไรก็เพราะหนูอยากให้แอนนาได้อยู่กับพ่อที่แท้จริงใช่ไหม?”
คราวนี้แมกดาเลนาพยักหน้าตอบ จากนั้นเมอร์คิวเรียสได้ยื่นนมอุ่นๆ ให้เธอดื่ม
“แคลล์ ผมต้องรีบไปพบบริเอลล์โดยเร็ว ตอนนี้เขาหลงกลของเราแล้ว”
เมอร์คิวเรียสวิ่งไปที่ประตูเมืองทิศใต้ ขณะวิ่งก็สวดภาวนาขอให้ไปทันเวลา แม้ว่าตอนนี้บริเอลล์นำหน้าเมอร์คิวเรียสไปก่อนประมาณครึ่งชั่วโมง แต่เมอร์คิวเรียสวิ่งได้เร็วกว่าบริเอลล์ที่ต้องจูงแอนนาไปด้วย
เมอร์คิวเรียสวิ่งข้ามสะพานไปยังคลองฝั่งตะวันตกและวิ่งไปตามถนนมุ่งสู่ทางทิศใต้ซึ่งจะเป็นถนนที่ไปเมืองร็อตเตอร์ดัมเพราะถนนเส้นนี้สามารถอ้อมไปทางทิศเหนือเพื่อไปสเคฟเวนนิงเกนได้ ที่สกิแดมและร็อตเคอร์ดัมนี้มีคลองตัดผ่านหลายแนวคลองซึ่งบริเอลล์สามารถใช้เป็นที่หลบซ่อนตัวได้
มีความเป็นไปได้ว่าถ้าหากสถานการณ์เริ่มคลี่คลายบริเอลล์อาจออกมาจากเรือแล้วใช้ชีวิตบนบกต่อไป หรือไม่เขาอาจเลือกที่จะเปลี่ยนไปอยู่เรือลำอื่นแทนแล้วหาทางกลับบ้านในภายหลัง
ก่อนหน้านี้เมอร์คิวเรียสได้ขอให้นายกเทศมนตรีวางกำลังเจ้าหน้าที่กระจายไปตามแนวคลอง เขาจึงมั่นใจว่าบริเอลล์ไม่น่ารอดสายตาเจ้าหน้าที่ไปได้ และเชื่อว่าบริเอลล์ยังอยู่ในรัศมีที่กองกำลังเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ คิดได้ดั่งนี้เมอร์คิวเรียสก็รู้สึกเบาใจได้เปราะหนึ่ง
แต่แล้วความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามา ยังมีอีกหนึ่งคลองเป็นคลองที่มีสภาพทรุดโทรมที่ไม่มีเจ้าหน้าที่ประจำในคลอง คงมีแต่เจ้าหน้าประจำบนฝั่งเพราะทุกคนเห็นว่าไม่น่ามีใครแล่นเรือผ่านไปได้ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นเรือที่เล็กลงบวกกับคนแจวเรือที่แข็งแรงก็สามารถล่องเรือผ่านคลองนี้ได้ คลองนี้แยกมาจากสระน้ำใหญ่ซึ่งมีเรือมาจอดหลายลำ คลองนี้จะไปบรรจบกับเวสซิงเกนซึ่งเป็นคลองสายใหญ่ทอดยาวไปทางตะวันตกของเมือง
เมอร์คิวเรียสได้คาดการณ์ไว้ว่าบริเอลล์จะต้องเลือกเส้นทางที่สามารถออกจากเมืองได้เร็วที่สุด โดยไม่ได้คาดคิดว่าเขาอาจใช้วิธีหน่วงเวลาโดยเลือกที่จะไปในเส้นทางอ้อมเมืองแทน
เมอร์คิวเรียสรีบวิ่งย้อนกลับ คราวนี้เขามุ่งไปทางตะวันตกเฉียงเหนือแล้วไปต่อทางทิศตะวันตกซึ่งเขาคาดว่าบริเอลล์จะไปทางนี้
เมื่อเมอร์คิวเรียสไปถึงที่หมาย เขาได้เดินเลาะไปตามตลิ่ง ห้านาทีต่อมาเขาได้ยินเสียงเหมือนเสียงคนกำลังพายเรือภายใต้แสงจันทร์ในสภาพอากาศอันหนาวเหน็บ หากคนพายเรือเป็นบริเอลล์จริงๆ แสดงว่าเขาได้เปลี่ยนเรือมาเป็นเรือลำเล็กแล้ว
ต้นเสียงนั้นน่าจะอยู่ไม่ไกลจากเมอร์คิวเรียส เสียงมันดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แสดงว่าคนพายเรือกำลังใกล้เข้ามาแล้ว เมอร์คิวเรียสพยายามอำพรางตัวและพยายามไม่ทำให้เกิดเสียงดังจนต้นเสียงได้ยิน แต่เขาก็ทำไม่สำเร็จ
เสียงพายเรือเงียบลงแต่ตามมาด้วยเสียงผู้ชายบนเรือดังขึ้น
“นั่นเสียงใครวะ? จงออกมาเดี๋ยวนี้นะ”
เมอร์คิวเรียสนิ่งเงียบไม่ขานตอบ
จากนั้นก็มีเสียงแหลมๆ ของเด็กหญิงดังขี้น
“พ่อค่ะ…พ่อหยุดพายเรือทำไมล่ะคะ รีบพายต่อเถอะค่ะ หนูรู้สึกหนาวมากเลยค่ะ”
เสียงนี้เป็นเหมือนเสียงสวรรค์สำหรับเมอร์คิวเรียส มันทำให้เขาดีใจที่แอนนายังปลอดภัยดี
สิ้นเสียงพูดของเด็กสาว เสียงพายเรือก็กลับมาดังขึ้นอีกครั้ง เมอร์คิวเรียสปล่อยให้เรือแล่นผ่านตัวเขาสักพักหนึ่งจึงเริ่มเดินติดตามเรือไปตามขอบตลิ่ง โชคดีที่ตลองช่วงนี้ค่อนข้างตรงและเป็นคลองที่ไม่กว้างเท่าใด อีกทั้งกระแสน้ำในคลองไหลค่อนข้างช้าทำให้ง่ายต่อการติดตามเรือ จนในที่สุดเขาสามารถแซงหน้าเรือได้ เขาจึงไปดักรอข้างหน้า เขาเลือกเอาบริเวณตลิ่งช่วงที่คลองมีความกว้างแคบและมีเรือจอดอยู่ทั้งสองฝั่ง จากนั้นเขาได้ลงไปหลบซ่อนตัวในเรือลำหนึ่ง
เมื่อบริเอลล์พายเรือมาถึงบริเวณนี้เขาต้องเพิ่มความระมัดระวังอย่างมากในการคัดท้ายเรือไม่ให้ไปชนเรือที่จอดอยู่สองฝั่งคลอง
เมอร์คิวเรียสอาศัยจังหวะที่เรือเข้าประชิดเรือที่เขาซ่อนอยู่ ปรากฏตัวแล้วกระโจนไปบนเรือของบริเอลล์สุดแรง
บัดนี้เมอร์คิวเรียสได้มายืนอยู่ตรงกลางระหว่างบริเอลล์และแอนนา แต่ว่าโชคไม่เข้าข้างเมอร์คิวเรียสเอาเสียเลย ทันทีที่เท้าของเมอร์คิวเรียสเหยียบลงบนเรือ เรือก็เอียงไปเอียงมาทำให้ทั้งสามคนเสียการทรงตัวจนทั้งสามตกจากเรือ
แอนนาคว้าจับมือเมอร์คิวเรียสเพราะอยู่ใกล้เธอที่สุด เธอจับมือเขาไว้แน่นด้วยความตกใจกลัว เมอร์คิวเรียสรีบทรงตัวในน้ำพร้อมทั้งประคองแอนนาไว้อย่างระมัดระวังไม่ให้แอนนาหลุดจากมือ แล้วว่ายน้ำเข้าฝั่ง ดันแอนนาให้ไปอยู่บนฝั่งอย่างปลอดภัย ส่วนตัวเขานั้นกลับถูกบริเอลล์ซึ่งว่ายน้ำตามหลังมาจับตัวเขาไว้ไม่ให้ขึ้นฝั่ง
เมอร์คิวเรียสพยายามสบัดตัวสุดแรงเพื่อให้หลุดออกมาแต่ก็สู้แรงของบริเอลล์ไม่ได้ จึงเปลี่ยนมาใช้วิธีพูดกับบริเอลล์แทน
เมอร์คิวเรียสตะโกนออกไปว่า
“คุณบริเอลล์ ผมมานี่เพื่อช่วยคุณและลูกสาว ปล่อยมือก่อนเถอะแล้วเรามาหาทางออกด้วยกัน ตอนนี้เวลาเราเหลือไม่มากแล้ว”
มันได้ผล บริเอลล์ยอมปล่อยมือ จากนั้นทั้งสองต่างก็รีบขึ้นฝั่ง
“คุณบริเอลล์ครับ ผมชื่อเมอร์คิวเรียส ผมเป็นนักบวชและอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยไลเดน ผมไม่มีอาวุธติดตัวมา ผมไม่ได้มาทำร้ายคุณ คุณสามารถไว้ใจผมได้” เมอร์คิวเรียสพูดพร้อมกับยกมือขึ้นมาทั้งสองข้างเพื่อยืนยันคำพูด เมอร์คิวเรียสมองไปที่แอนนาซึ่งเปียกไปทั้งตัวและอยู่ในอาการหนาวสั่นจนดูน่าสงสาร
“คุณบริเอลล์..ผมว่าเราต้องรีบออกไปจากที่นี่เพื่อหาเสื้อผ้ามาเปลี่ยน”
“ถ้าเจ้าไม่มาเหยียบบนเรือจนทำให้พวกเราตกน้ำ เราสองพ่อลูกก็ไม่ต้องเปียกปอนอย่างนี้ มันเป็นความผิดของเจ้าแท้ๆ แต่ช่างมันเภอะ ข้ามีเงินที่เก็บออมไว้ พอเราหนีไปได้ข้าก็จะหาซื้อเสื้อสวยๆ ให้ลูกสวมใส่”
“ไม่ คุณหนีไม่พ้นหรอก ผมมาหาคุณก็เพราะสาเหตุนี้ ตอนนี้เจ้าหน้าที่กำลังมาที่นี่แล้วถ้าพวกนั้นมาถึงคุณก็ต้องถูกจับและถูกตั้งข้อหาเป็นฆาตกร”
“ถ้าเป็นอย่างนี้ ข้าและลูกควรจะต้องรีบหนีตอนนี้แล้ว” บริเอลล์พูดจบก็ทำท่าจะลุกขึ้นแต่เมอร์คิวเรียสรีบพูดเพื่อเตือนสติบริเอลล์
“คุณบริเอลล์ ถ้าหากคุณถูกจับ คุณจะถูกแขวนคอแล้วมันจะเป็นผลดีกับลูกสาวคุณอย่างนั้นหรือ? ลองคิดดูให้ดี ถึงคุณจะหนีออกจากเดลฟท์ไปได้ อย่าลืมนะว่าประเทศเราเป็นประเทศเล็กๆ จูเลียนาเองก็ไม่คุ้นเคยกับการออกทะเล
ตั้งแต่แบเบาะจนถึงปัจจุบันเธอมีชีวิตที่สุขสบาย มีแม่ใหม่ที่รักเธอเหมือนลูกจริงๆ แน่นอนว่าชีวิตที่สุขสยายอย่างนี้ทั้งคุณและผมก็ไม่สามารถให้เธอได้ ถึงคุณจะไม่ยอมรับความจริงข้อนี้แต่มันก็เป็นความจริง ผมเข้าใจดีว่าคุณรักและปรารถนาดีต่อจูเลียนา แต่มันจะดีต่อจูเลียนาหากคุณยอมให้เธอกลับไป หากเป็นไปตามนี้ผมจะชี้แจงทางการเพื่อไม่ให้คุณถูกแขวนคอ”
“แต่ข้าไม่มั่นใจว่าเจ้าจะมีอำนาจพอที่จะทำได้เช่นนั้น”
“จริงอยู่ผมไม่มีอำนาจและผมเป็นแค่นักบวช แต่ถ้าคุณยอมบอกความจริงต่อศาล ศาลท่านอาจเมตตาต่อคุณ ตอนนี้ผลการชันสูตรศพเกอร์ทรูย์ดก็บ่งบอกว่าเธอตายเอง คุณไม่ได้เป็นคนฆ่า ผมขอสาบานต่อหน้าศาลว่าคุณได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีกับทางการ พวกเขาจะฟังสิ่งที่ผมพูดเพราะผมเป็นผู้ที่นายกเทศมนตรีมอบหมายภารกิจในการตามหาคุณ”
“ตอนนี้เจ้าเจอข้าแล้ว ดังนั้นถ้าข้าจับหัวเจ้ากดน้ำจนตายไปก็จะไม่มีใครไปบอกเจ้าหน้าที่ ข้ากับลูกก็จะหนีไปได้อย่างสบาย”
“คุณกับลูกไปได้ไม่ไกลหรอก ชื่อและรูปวาดใบหน้าคุณจะถูกส่งไปให้เทศบาลทั้งหมดในเขตเซ้าท์ฮอลแลนด์ภายในเช้าวันพรุ่งนี้ ในประเทศนี้จะไม่มีที่ให้คุณหลบซ่อนตัวเว้นแต่ว่าคุณสามารถหนีออกนอกประเทศได้”
“ข้าจะไม่ยอมยกลูกให้ใครหน้าไหนทั้งนั้น ตัวข้าต้องพลัดพลากกับลูกนานถึงแปดปีแล้ว ข้าจะไม่ยอมจากลูกไปไหนอีกแล้ว”
“ผมมีทางออกให้คุณแล้ว บริเอลล์ โปรดเชื่อผมสักครั้ง ”
“ไหน…เจ้าลองว่ามาซิ”
“ชื่อเต็มของคุณคือ’เฮนดริก มาเรีย บริเอลล์’ ดังนั้นผมเชื่อว่าคุณเป็นคาทอลิก”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรวะ?”
“อันที่จริงผมเป็นนักบวชคาทอลิก ดังนั้นถ้าคุณยอมเล่าความจริงทั้งหมดต่อผมโดยถือว่านี่เป็นการสารภาพบาป ผมจะรับฟังและจะไม่เปิดเผยเรื่องนี้ต่อผู้อื่นแม้กระทั่งศาล”
“ในฐานะนักบวชผมไม่ยอมให้ตัวเองต้องถูกสาปแช่งเพราะผิดคำพูดหรอกครับ มันไม่คุ้ม ขอให้คุณบริเอลล์สารภาพให้ผมฟังก่อน แล้วผมจะกล่าวทวนสิ่งที่คุณพูด หากผมพูดผิดคุณก็ทักท้วงได้เลย ผมจะเรียนท่านนายกเทศมนตรีว่าคุณได้สารภาพกับผมหมดแล้ว แต่ในฐานะนักบวชผมไม่สามารถบอกท่านนายกเทศมนตรีได้”
“นี่มันบ้าไปใหญ่แล้ว สุดท้ายข้าก็ต้องถูกแขวนคออยู่ดี”
“คุณไม่ถูกแขวนคอกรอก เพราะคุณไม่ได้อยู่ที่นั่น”
“ทำไมข้าถึงไม่ได่อยู่ที่นั่นล่ะ?”
“ผมขอให้คุณบริเอลล์มอบจูเลียนาพร้อมกับคำสารภาพบาปของคุณให้ผมนำกลับไปก็พอ ส่วนคุณบริเอลล์จะไปที่ไหนก็สุดแท้แต่ใจคุณ ภารกิจผมมีเพียงนำเด็กสาวกลับอย่างปลอดภัยและการสืบหาความจริงที่เกิดขึ้นเท่านั้น ผมไม่ต้องการมีส่วนในการจับคุณแขวนคอ”
“ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ต้องการทิ้งลูกสาวข้า”
“เรื่องนี้สบายใจได้ครับ ผมไม่ต้องการให้คุณต้องทิ้งลูกสาวเลย ผมเพียงแต่ขอให้จูเลียนาเป็นคนตัดสินใจของเธอเองเมื่อเธอโตขึ้น”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“ผมหมายถึงให้คุณอนุญาตให้แอนนาได้เติบโตในครอบครัวเสตเตนจนพ้นวัยเด็ก” เมอร์คิวเรียสพูดถึงประโยคนี้ก็หันไปพูดกับแอนนาว่า
“หนูแอนนาหรือหนูจูเลียนา ไม่ว่าจะชื่อไหนก็ตามที่หนูชอบ ขอให้หนูฟังฉันให้ดีนะ หนูจะต้องเก็บเรื่องที่ฉันจะพูดกับหนูต่อจากนี้ไว้เป็นความลับเพื่อความปลอดภัยของพ่อหนู หนูทำได้ไหม?”
แอนนาพยักหน้าตอบแทนคำพูดว่าเธอทำได้
“หนูจูเลียนาจำวันเกิดตัวเองได้ใช่ไหม?”
“วันที่20เดือนตุลาคม ก่อนวันนักบุญลุค 6วันค่ะ”
“ดีมาก ถ้าอย่างนั้นหมายความว่าหนูจะมีอายุครบ21ปีในวันที่20ตุลาคมปี1683 สินะ วันนั้นหนูคงมีเรื่องต้องทำหลายเรื่องเลยเพื่อเฉลิมฉลอง ฉันจะบอกหนูว่าในวันถัดมาตอนเวลาเที่ยงตรง พ่อของหนูจะรอหนูที่ประตูโบสถ์นิวเคิร์ค วันนั้นหนูจะเป็นผู้ใหญ่โดยสมบูรณ์ หนูมีเสรีภาพเต็มที่ที่จะไปไหนมาไหนกับพ่อได้โดยไม่มีใครห้ามหนูได้” จากนั้นเมอร์คิวเรียสหันไปพูดกับบริเอลล์ว่า
“คุณบริเอลล์ คุณเขียนหนังสือได้ใหมครับ?”
“ข้าพอจะเขียนได้นิดหน่อย”
“ขอให้คุณบริเอลล์จำให้ดีว่าผมชื่อเมอร์คิวเรียส เป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยไลเดน ถ้าคุณต้องการติดต่อจูเลียนาก่อนที่จะถึงวันนั้น ขอให้เขียนจดหมายส่งมาถึงผมแล้วผมจะส่งต่อให้จูเลียนา แต่ต้องเป็นเรื่องที่สำคัญจริงๆ เช่นการเจ็บป่วยของคุณ”
บริเอลล์ฟังแล้วก็รู้สึกทั้งดีใจและเศร้าใจผสมกัน เขาพยักหน้าตอบรับข้อเสนอของเมอร์คิวเรียสอย่างไม่ค่อยมั่นใจ เมอร์คิวเรียสพูดกับบริเอลล์ต่อไปว่า
“ตอนนี้ครอบครัวแวนเสตเตนรู้แล้วว่าคุณยังมีชีวิตอยู่ สักวันหนึ่งพวกเขาอาจทำใจยอมรับความจริงเรื่องนี้ได้ แต่ถึงเขาไม่ยอมรับแต่ว่าในวันนั้นจูเลียนาสามารถตัดสินใจด้วยตัวเธอเองว่าจะใช้ชีวิตอยู่กับใครซึ่งพวกเราไม่มีใครรู้ได้นอกจากจูเลียนา”
สีหน้าของบริเอลล์ดูคลายความกังวลลงไปมาก บริเอลล์ชี้ไปที่จูเลียนาแล้งพูดขึ้นว่า
“เจ้าดูสิตอนนี้ลูกข้ากำลังหนาวสั่น ขอข้าเข้าไปโอบกอดเธอเพื่อให้เธออบอุ่นขึ้นจะได้ไหม?”
“ได้สิครับทำไมจะไม่ได้ล่ะในเมื่อเธอเป็นลูกคุณ แต่ผมขอร้องให้คุณเริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดขณะที่คุณกำลังกอดเธอจะได่ไหมครับ? ส่วนผมก็จะเข้าไปนั่งใกล้ๆ เพื่อเพิ่มความอบอุ่น”
เมอร์คิวเรียสนึกขึ้นได้ถึงกระเบื้องเดลฟท์บลูที่เขาเพิ่งซื้อมา จึงล้วงออกมาจากกระเป๋าเสื้อ โชคดีที่มันยังไม่แตกหัก เขายื่นมันออกไปตรงเบื้องหน้าบริเอลล์แล้วพูดขึ้นว่า
“คุณบริเอลล์ ผมขอให้คุณจูบกระเบื้องแผ่นนี้”
“ทำไมข้าต้องจูบมันด้วย?”
“โปรดทำตามที่ผมขอเถอะครับ”
คราวนี้บริเอลล์ยอมทำตามโดยง่าย เมื่อเขาจูบมันแล้วก็ได้ส่งกระเบื้องคืนให้เมอร์คิวเรียส
เมอร์คิวเรียสยื่นกระเบื้องให้จูเลียนาพร้อมทั้งพูดกับเธอว่า
“ฉันขอมอบกระเบื้องแผ่นนี้ให้หนูเก็บรักษามันไว้ให้ดีเพื่อเป็นสิ่งเตือนใจว่าวันหนึ่งพ่อของหนูจะกลับมาจูบหนูอีก หนูจะดูแลมันได้ไหม?”
จูเลียนาหยิบกระเบื้องมาเก็บไว้กับตัวพร้อมทั้งรอยยิ้ม
บริเอลล์เริ่มเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นให้เมอร์คิวเรียสฟังขณะที่จูเลียนาผลอยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
บริเอลล์ต้องออกทะเลไปทำงานหลังจากที่เมียของเขาเพิ่งคลอดจูเลียนา เมื่อเขากลับจากทะเลมาที่บ้านก็ไม่พบเมียและลูก เขาทราบภายหลังว่าเมียเขาล้มป่วยจนเสียชีวิตส่วนลูกสาวของเขานั้นหน่วยงานทางการได้เข้ามารับตัวไปอยู่ในที่ปลอดภัย
เขาพยายามออกตามหาลูกสาวแต่ไม่มีใครยอมบอก และด้วยข้อจำกัดในอาชีพทำให้เขาต้องออกทะเลเป็นช่วงๆ แต่ทุกครั้งที่กลับมาเขาก็จะออกตามหาลูกสาวเป็นเช่นนี้ตลอดมา จนวันหนึ่งภารโรงของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เฮกได้แนะนำให้เขาไปหาแม่นมซึ่งอาจบอกที่อยู่ของลูกสาวเขาได้ เขาตามหาแม่นมคนนี้จนเจอซึ่งเธอบอกแต่เพียงว่า เด็กทารกคนนี้มีครอบครัวที่อยู่ในเมืองเดลฟท์รับไปเลี้ยงดู
บริเอลล์จึงรีบเดินทางไปเดลฟท์ ข้อมูลที่เขามีอยู่นั้นแสนจะน้อยนิด เขารู้แค่ว่าลูกสาวของเขามีผมโทนสีแดงค่อนข้างสว่างเหมือนกับตัวเขา และตอนนี้เธอมีอายุแปดขวบ
เมื่อบริเอลล์ไปถึงเดลฟท์เขาได้หาซื้อเรือมือสองไว้หนึ่งลำใช้เป็นที่พักอาศัย แล้วจึงเริ่มตามหาลูกทันที
“ข้าเจอเกอร์ทรูย์ดเป็นคนแรก ข้าพูดกับเธอและบอกเธอว่าข้าเป็นพ่อของเธอ เพราะข้าคิดว่าการที่ข้าพูดตรงๆ เช่นนี้ข้าไม่ได้เสียหายอะไร ถ้าเด็กคนนั้นมีพ่ออยู่แล้วเธอก็จะไม่สนใจคำพูดของข้า แต่เกอร์ทรูย์ดกลับเชื่อในคำพูดของข้าและยอมตามข้าไปขึ้นเรือด้วยความเต็มใจ แต่หลังจากที่เราได้คุยกันข้าก็รู้ว่าเธอไม่ใช่ลูกของข้า แต่ข้าก็ไม่สามารถปล่อยเธอกลับไปได้ ข้าจำต้องกักตัวเธอไว้บนเรือ ตอนกลางคืนข้าได้ให้ยานอนหลับแก่เธอ แล้วข้าก็พายเรือไปจอดให้ห่างจากฝั่งเพื่อไม่ให้เธอหลบหนี
ต่อมาข้าไปเดินแถวอุสปูร์ตและเจอแมกดาเลนาซึ่งเธอมีรูปร่างใหญ่แข็งแรง พอข้าเห็นเธอข้าก็มั่นใจว่าเธอคือลูกของข้าแน่ๆ ข้าไปดักรอเธอที่ปั๊มน้ำแล้วบอกเธอว่าข้าคือพ่อของเธอ ดูเหมือนเธอดีใจมากและยอมมากับข้าด้วยความเต็มใจ”
“คุณบริเอลล์ได้ให้คำตอบที่สำคัญมากกับเธอ เพราะเธอไม่เคยรู้ว่าใครเป็นพ่อของเธอ” เมอร์คิวเรียสพูดเสริม
“เรื่องนี้ข้าไม่รู้มาก่อน แต่ในที่สุดข้าก็รู้ว่าแมกดาเลนาไม่ใช่ลูกของข้า เพราะข้าจำได้ว่าลูกของข้ามีปานสีน้ำตาลตรงด้านนอกของข้อศอกข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่งเด็กทั้งสองไม่มี ข้าจึงต้องออกตามหาลูกสาวข้าต่อไป
และแล้วในบ่ายของวันอาทิตย์ ข้าไปเดินบริเวณแถวบ้านของพวกเสตเตนโดยบังเอิญ ตอนที่ข้าเดินผ่านใต้สะพานข้าก็มองเห็นเด็กหญิงผมสีแดงกำลังให้อาหารเป็ด เธอได้ถอดถุงมือออกทำให้ข้าได้เห็นปานตรงข้อศอกของเธอ ข้าถึงกับตกตะลึงและดีใจอย่างบอกไม่ถูก” บริเอลล์เล่าถึงตรงนี้ก็เอามือไปถอดถุงมือของจูเลียนาแล้วบอกให้เมอร์คิวเรียสดูปานตรงข้อศอกเธอ เมอร์คิวเรียสมองตามแต่เนื่องจากตอนนั้นค่อนข้างมืดเขาจึงมองปานไม่ค่อยเห็น
“เมื่อข้าสามารถพาจูเลียนามาอยู่กับข้าได้แล้ว ข้าก็เตรียมที่จะหนีออกจากเดลฟท์ทันที แต่ก็ทำไม่ได้เพราะตอนนั้นมีดารตั้งด่านตรวจค้นเต็มไปหมดทั้งเมือง จนวันหนึ่งมีการประกาศถอนกำลังคนที่จุดตรวจค้นทั้งหมด ข้าจึงเริ่มหาทางหลบหนีอีกครั้ง
ข้าได้ยอมปล่อยตัวแมกดาเลนา เหลือเพียงข้ากับลูกสองคน แล้วได้เปลั่ยนจากเรือลำใหญ่มาเป็นเรือลำเล็กแทนเพราะง่ายต่อการพายเรือในที่มืด แล้วเหตุการณ์ก็เป็นอย่างที่เจ้าเห็น”
“ดูเหมือนคุณบริเอลล์จะลืมเล่าเรื่องที่เกิดกับเกอร์ทรูย์ดนะครับ” เมอร์คิวเรียสท้วงติง
“เวลาที่เกอร์ทรูย์ดรู้สึกเครียดและกระวนกระวายใจเธอจะวิงเวียนศีรษะและเริ่มตัวสั่น ข้าคิดว่าเธอคงตื่นตอนที่ข้าไม่อยู่ในเรือแล้วเกิดอาการตกใจกลัวที่อยู่คนเดียว ซึ่งที่จริงข้าออกไปซื้อขนมปังแค่แป๊ปเดียวและก็ไม่ได้ห่างจากเรือเท่าใด เมื่อข้ากลับมาถึงเรือ ข้าก็เห็นเกอร์ทรูย์ดกำลังชักเกร็งจากนั้นเธอก็หยุดหายใจ ข้ารีบเอาไวน์ใส่ปากเธอแล้วเขย่าตัวให้เธอฟื้นแต่ไม่สำเร็จ เธอตายต่อหน้าต่อตาข้า ข้าไม่เคยคิดจะทำร้ายเธอเลย”
“เรื่องนี้ผมเชื่อคุณบริเอลล์ครับ แต่ตอนนั้นเธอไม่ได้อยู่ในเรือคนเดียวไม่ใช่หรือ?”
“ตอนนั้นแมกดาเลนาหลับอยู่ที่มุมเรืออีกด้านหนึ่ง ข้าได้ให้ยานอนหลับแก่เธอและเกอร์ทรูย์ด ซึ่งข้าคงให้แมกดาเลนากินยามากไปหน่อย
ข้าเก็บร่างไร้วิญญาณของเกอร์ทรูย์ดไว้ในเรือถึงสองวันจนข้าสามารถหาที่ฝังศพเธอได้ ข้าได้เอากิ่งไม้ที่พอหาได้แถวนี้ทำเครื่องหมายไม้กางเขนบนหน้าผากเธอ และเมื่อฝังศพเธอแล้วข้าได้ย้อนกลับไปทำเครื่องหมายไม้กางเขนบนหลุมฝังศพเธออีกครั้ง”
“ขอบคุณมากครับคุณบริเอลล์ ผมพอใจกับคำสารภาพของคุณครับ ก่อนจากกันผมขอทบทวนความเข้าใจอีกครั้งจากปากคุณบริเอลล์ครับ”
“ข้าจะมีอิสระตราบใดที่ข้าไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของจูเลียนาจนกว่าเธอจะมีอายุครบยี่สิบเอ็ดปี นี่คงจะไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว อย่างน้อยสุดท้ายข้าก็จะมีโอกาสได้เห็นเธอได้พูดกับเธอ ส่วนเธอก็รู้แล้วว่าเมื่อวันนั้นมาถึงเธอจะพบข้าได้ที่ไหน” พูดจบบริเอลล์ก็สวมกอดจูเลียนาเป็นครั้งสุดท้ายและจูบเธอเบาๆ ที่หน้าผากพร้อมทั้งพูดกับจูเลียนาว่า
“ลูกจงรู้ไว้ว่าพ่อจากไปครั้งนี้ไม่ได้ต้องการทอดทิ้งลูกและไม่ใช่เพราะพ่อกลัวถูกแขวนคอ แต่เพราะถ้าพ่อไม่จากไป ลูกก็จะไม่ได้อยู่กับครอบครัวที่สามารถให้โอกาสดีๆ แก่ลูก”
จูเลียนากอดบริเอลล์ไว้แน่นแล้วเอื้อมไปหอมแก้มบริเอลล์ฟอดใหญ่
“คุณบริเอลล์รีบไปเถอะครับก่อนที่คนอื่นจะมาถึง” เมอร์คิวเรียสยื่นมือออกไปให้บริเอลล์จับ เขาจับมือเมอร์คิวเรียสไว้แน่นด้วยความตื้นตันใจ
บริเอลล์กลับขึ้นไปบนเรือแล้วพายเรือออกไปอย่างเงียบๆ ช้าๆ ขณะที่สายตาจ้องมองมาที่จูเลียนาด้วยความรักความห่วงใยจนทั้งคนและเรือค่อยๆ หายไปกับความมืด
เรื่องที่เมอร์คิวเรียสต้องทำไม่ได้จบเพียงแค่นี้ แต่ตอนนี้ความรู้สึกหลายๆ อย่างเกิดขึ้นพร้อมๆ กันจนเขาไม่รู้ว่าเขาควรดีใจหรือเสียใจ มีแต่พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่จะทรงทราบ
จบตอนที่ 52
โปรดติดตามตอนต่อไป
ฝากกดติดตามและให้ความเห็น
ขอบคุณครับ
สุธีร์@อ่านเอาเพลิน
นวนิยายแปล
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
เรื่องเล่า ไขคดีปริศนาเมืองเดลฟท์( Death in Delft) ผลงานเกรแฮม แบรก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย