5 เม.ย. เวลา 13:22 • ประวัติศาสตร์

ขุนโจรเหลียงซาน 100

พายุหมุนดำ หลี่ขุย (4) เสือหน้าเป็น เสือตาคราม
อำเภออี๋สุ่ยเป็นอำเภอเล็ก ข่าวสารเดินทางไว ไม่ทันนาน ข่าวก็มาถึงจูกุ้ยที่ร้านอาหารหน้าประตูเมือง “จับพายุหมุนดำผู้ป่วนเมืองเจียงโจวได้ หลี่ตูโถวกำลังไปนำตัวมา”
จูกุ้ยเข้าไปหลังร้านปรึกษากับจูฟู่ “เจ้าดำนี่ก่อเรื่องอีกแล้ว ซ่งกงหมิงก็กลัวเรื่องนี้จึงให้ข้ามาคอยฟังข่าว ถ้าไม่หาทางช่วยคงกลับไปสู้หน้าพี่ซ่งไม่ได้ จะทำอย่างไรล่ะทีนี้”
จูฟู่ว่า “พี่ใหญ่อย่าเพิ่งวิตก หลี่ตูโถวผู้นี้มีฝีมือ ต่อให้ห้าสิบคนก็เข้าใกล้ตัวไม่ได้ อย่าว่าแต่พี่กับข้าแค่สองคนเลย เรื่องนี้ต้องใช้อุบาย มิอาจใช้กำลัง ปกติหลี่หยุนกับข้านั้นสนิทกัน เคยสอนเพลงอาวุธให้ข้าเสมอ ข้าพอมีวิธีรับมือเขาได้ แต่หลังจากนั้นคงอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้
คืนนี้จะต้มเนื้อสักสามสิบชั่ง เตรียมเหล้าสักสิบขวด เอาเนื้อมาหั่นแบ่งเป็นชิ้นใหญ่ใส่ยาสลบไว้ คืนนี้พวกเราก็พาลูกน้องหาบเอาไปหาจุดที่เงียบสงัดสักหน่อยดักรอระหว่างทางคุมตัวกลับมา ทำทีว่ามาแสดงความยินดี พอสลบกันหมดแล้ว ก็ปล่อยตัวหลี่ขุย ดีไหม”
จูกุ้ยว่า “แผนนี้ดี รีบเตรียมงานจะได้รีบไป”
จูฟู่ว่า “แต่ว่าหลี่หยุนนั้นไม่ดื่มเหล้า ถึงสลบไปก็ฟื้นเร็ว ยังมีอีกเรื่อง หากวันหลังความแตก ข้าก็คงอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้”
จูกุ้ยว่า “น้องเรา เจ้าอยู่ขายเหล้าที่นี่ก็ไม่ได้รุ่งสักเท่าไร พาครอบครัวตามข้าขึ้นเขาไปเข้าพวกกัน มีเงินทองแบ่งกันใช้ มีเสื้อผ้าแบ่งกันใส่ มิดีกว่าหรือ คืนนี้ให้ลูกน้องสองคนหารถพาเมียเจ้ากับข้าวของที่ขนย้ายได้ ไปรอที่ระหว่างทางห่างไปราวสิบลี้ พาขึ้นเขาไปด้วยกัน
ในห่อผ้าของข้ามียาสลบอยู่ หลี่หยุนไม่ดื่มเหล้า ก็ใส่ในเนื้อมากหน่อย อย่างไรก็ล้ม ช่วยหลี่ขุยกลับขึ้นเขา ทำไมจะไม่ได้”
จูฟู่ว่า “พี่พูดถูก” แล้วให้คนไปจัดหารถมาคันหนึ่ง เก็บข้าวของได้ห้าสิบหีบขนขึ้นรถ ให้บุตรภรรยาขึ้นรถไปรอยังจุดนัดพบ ของที่ขนไม่ได้ก็จะทิ้งทั้งหมด
จูกุ้ย จูฟู่จัดต้มเนื้อหั่นชิ้นใหญ่ใส่ยาสลบ เท่านั้นไม่พอยังเตรียมผักแห้งคลุกยาสลบไปด้วยเผื่อมีคนไม่อยากกินเนื้อ พร้อมแล้วก็จัดสุรา แบ่งเป็นสองหาบให้ลูกน้องสองคนแบกตามกันมา จูกุ้ยจูฟู่ถือกล่องใส่ผลไม้ มารอที่ปากทางไม่พลุกพล่าน
ประมาณยามสี่ ทหารสามสิบนายดื่มมาจากหมู่บ้านแล้วครึ่งคืน คุมตัวหลี่ขุยมัดไพล่หลังเดินมา หลี่หยุนขี่ม้าคุมมาข้างหลัง จูฟู่เดินมาขวางหน้าไว้ว่า
“ขอแสดงความยินดีกับท่านอาจารย์ ผู้น้องนำของมาต้อนรับ”
แล้วตักสุราจากถังใส่เหยือกเทใส่จอกส่งให้หลี่หยุน จูกุ้ยถือจานใส่เนื้อ ลูกน้องถือกล่องผลไม้
หลี่หยุนรีบลงจากม้าขึ้นหน้ามากล่าวว่า “น้องเราไม่น่าต้องลำบากออกมารับแต่ไกล”
จูฟู่ว่า “เป็นการแสดงความจริงใจของศิษย์”
หลี่หยุนรับจอกเหล้าไปแล้วแต่ไม่ดื่ม จูฟู่คุกเข่าลงกล่าวว่า “ผู้น้องทราบว่าอาจารย์ไม่ดื่มสุรา แต่วันนี้เป็นสุรามงคล เชิญดื่มสักครึ่งจอกเถิด” หลี่หยุนเสียไม่ได้จึงดื่มไปสองอึก
จูฟู่ว่า “อาจารย์ไม่ดื่มเหล้า ก็ทานเนื้อสักหน่อย”
หลี่หยุนว่า “เมื่อคืนกินเสียอิ่ม กินไม่ลงแล้ว”
จูฟู่ว่า “อาจารย์เดินทางมาไกลแล้ว คงหิวบ้าง แม้จะไม่ถูกปากก็ทานสักหน่อย อย่าให้เสียน้ำใจผู้น้อง” แล้วก็เลือกเนื้อชิ้นดีส่งให้สองชิ้น หลี่หยุนจึงรับเนื้อสองชิ้นนั้นไปกิน
จูฟู่จึงเชิญคหบดี ผู้ใหญ่บ้านและพวกพรานดื่มกันคนละสามจอก จูกุ้ยเรียกพวกทหารและบ่าวไพร่มากินดื่มกันด้วย
หลี่ขุยมองดูอยู่ เห็นจูกุ้ยกับจูฟู่ก็รู้ว่าเป็นอุบาย จึงแกล้งว่า “พวกท่านก็เอามาแบ่งให้ข้าบ้าง”
จูกุ้ยตะคอกใส่ว่า “เจ้ามันคนบาป ไม่มีเหล้าหรือเนื้อเผื่อเจ้าหรอก พวกสมควรตาย หุบปากไป”
หลี่หยุนตวาดคำสั่งให้ทหารออกเดินทางต่อ กลับเห็นทหารทยอยกันล้มลงไป หลี่หยุนตะโกนว่า “พลาดท่าแล้ว” ตัวเองก็รู้สึกหนักหัวล้มกองลงเช่นกัน
1
จูกุ้ย จูฟู่ถือดาบคนละเล่มตะโกนว่า “เด็กๆ อย่าให้หนี” ลูกน้องสองคนก็ถือดาบวิ่งเข้าใส่พวกบ่าวไพร่ที่ไม่ได้ดื่มเหล้า และจีนมุง ที่วิ่งเร็วก็หนีรอดไป ที่ชักข้าก็ถูกฟันทิ้ง
หลี่ขุยตะโกนเสียงลั่น กระชากเชือกที่มัดตัวเองขาดแล้วคว้าดาบวิ่งเข้ามาจะฆ่าหลี่หยุน จูฟู่เห็นจึงรีบมาขวางตะโกนบอกว่า “อย่าทำร้ายเขา เขาเป็นอาจารย์ข้า เป็นคนดี ท่านรีบหนีไปก่อน”
หลี่ขุยว่า “ไม่ฆ่าไอ้ลาเฒ่าเฉาไท่กง ไม่หายแค้น” จึงวิ่งไปฟันเฉาไท่กงตาย รวมทั้งเมียหลีกุ่ย และผู้ใหญ่บ้าน พอเครื่องติดก็ฆ่าพวกพรานและทหารทั้งสามสิบตายหมด พวกบ่าวไพร่ต่างวิ่งหนีกันไม่คิดชีวิต
หลี่ขุยติดลม วิ่งหาคนไล่ฆ่า จูกุ้ยจึงตวาดเตือนสติว่า “ไม่เกี่ยวกับพวกที่มามุงดู อย่าทำร้ายคน” แล้วเข้าขวางไว้ หลี่ขุยจึงยอมหยุด แล้วเข้าไปถอดเสื้อกางเกงทหารนำมาใส่ ทั้งสามเตรียมจะเดินต่อไปตามทางน้อย
จูฟู่ว่า “ไม่ได้การ เหมือนข้าจะส่งอาจารย์ไปตายเสีย หากเขาฟื้นขึ้นมาจะไปรายงานท่านนายอำเภอได้อย่างไร คงต้องมาไล่ตามพวกเราแน่ ท่านทั้งสองไปกันก่อน ข้าจะรอสักหน่อย เขายังมีพระคุณเคยสั่งสอนข้า พอเขาฟื้นแล้วตามมา ข้าจะเชิญขึ้นเขาไปด้วยกัน เป็นการแสดงน้ำใจตอบแทนคุณ ไม่ให้ต้องกลับไปแล้วเดือดร้อน”
จูกุ้ยว่า “น้องเรา ความเห็นเจ้าก็ถูก เช่นนั้นข้าจะไปตามรถก่อน ให้หลี่ขุยคอยอยู่เป็นเพื่อนช่วยเหลือเจ้า เขากินไปไม่มากคงจะฟื้นเร็ว ไม่เกินหนึ่งชั่วยามนี้ แต่หากเขาไม่ไล่ตามมา เจ้าก็อย่าเสียเวลารอเลย”
จูฟู่ว่า “นั่นแน่นอน”
ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม หลี่หยุนก็ถือดาบวิ่งตามมาจริง ตะโกนนำมาว่า “ไอ้โจรชั่ว อย่าหนี”
หลี่ขุยดูท่าทางตามมาดุร้ายกลัวจูฟู่จะเป็นอันตราย จึงโดดลุกขึ้นเงื้อดาบเข้าขวางไว้ ทั้งสองประมือกันได้เจ็ดเพลงยังไม่รู้แพ้ชนะ จูฟู่ก็ถือดาบฉวยจังหวะเข้าสกัดให้แยกจากกัน ตะโกนบอกว่า “อย่าเพิ่งสู้กัน ฟังข้าก่อน” ทั้งคู่พากันยั้งมือ
จูฟู่ว่า “ท่านอาจารย์โปรดฟังก่อน ผู้น้องได้รับความกรุณาช่วยสั่งสอนเพลงอาวุธ ย่อมซาบซึ้งในพระคุณ แต่จูกุ้ยพี่ชายของข้าเป็นหนึ่งในหัวหน้าเขาเหลียงซาน รับคำสั่งมาจากท่านฝนยามแล้งซ่งกงหมิงให้มาดูแลพี่ใหญ่หลี่ หากให้ท่านจับตัวไป พี่ข้าจะกลับไปพบท่านซ่งกงหมิงได้อย่างไร ถึงได้ใช้อุบายนี้ ทีแรก พี่ใหญ่หลี่จะสังหารท่านอาจารย์ ผู้น้องไม่ยอมให้ลงมือจึงฆ่าไปแต่พวกทหาร เดิมทีเราจะเดินทางกันไปไกลแล้ว แต่คาดว่าอาจารย์คงต้องไล่ตามมา ผู้น้องจึงรออยู่
ท่านอาจารย์ ท่านเป็นคนรอบคอบ คงทราบว่า คนตายไปมากเช่นนี้ทั้งยังปล่อยพายุหมุนดำหนีไปได้ ท่านกลับไปรายงานท่านนายอำเภอก็คงต้องรับโทษ ไม่มีใครจะช่วยท่านได้ มิสู้ตามพวกเราขึ้นเขาไปสามิภักดิ์ท่านซ่งกงหมิง มิทราบท่านคิดเห็นเช่นไร”
หลี่หยุนตรองอยู่ครึ่งค่อนวันแล้วว่า “น้องเรา เกรงว่าพวกเขาจะไม่ยอมรับข้า”
จูฟู่หัวเราะแล้วว่า “อาจารย์ ท่านไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์ฝนยามแล้งซ่งกงหมิงหรอกหรือ ท่านนิยมคบหาผู้กล้าและผู้มีความสามารถทั่วแผ่นดิน”
หลี่หยุนถอนหายใจว่า “ตอนนี้ข้ามีบ้านมิอาจกลับ มีเมืองมิอาจพึ่ง ดีที่ข้าไม่มีภรรยาไม่ต้องกลัวจะถูกจับไป คงต้องติดตามพวกท่านไป”
หลี่ขุยหัวเราะแล้วว่า “พี่ท่าน แล้วก็ไม่รีบบอกก่อน” แล้วทั้งคู่ก็กระทำเจี่ยนฝู 剪拂 (คารวะแบบนักเลง) แล้วทั้งสามก็เร่งตามขบวนรถมาสมทบกับจูกุ้ย
ทั้งสี่เดินทางกลับเขาเหลียงซาน ไม่มีเหตุการณ์ใดอีก พอใกล้จะถึงก็พบหม่าหลินและเจิ้งเทียนโซ่วว่า “ท่านหัวหน้าเฉาและซ่ง ให้ข้าทั้งสองตามลงมาดูลาดเลาพวกท่าน บัดนี้พบกันแล้ว พวกเราจะรีบกลับไปรายงานก่อน”
พอทั้งสี่มาถึงค่ายใหญ่ก็เข้ารายงานตัวที่โถงร่วมธรรม จูกุ้ยกล่าวแนะนำตัวสมาชิกใหม่ต่อหัวหน้าเฉา ซ่ง “ผู้นี้เป็นตูโถวอำเถออี๋สุ่ย แซ่หลี่ ชื่อหยุน ฉายาเสือตาคราม 青眼虎 และผู้นี้เป็นน้องชายแท้ๆ ของข้า จูฟู่ ฉายาเสือหน้าเป็น 笑面虎” จากนั้นหลี่ขุยก็มาคารวะ ซ่งเจียงส่งขวานสองเล่มคืนให้ หลี่ขุยเล่าเรื่องที่ไปรับแม่แต่ถูกเสือจับไปกิน ตนจึงฆ่าเสือตายสี่ตัว พอเล่าจบเหล่าผู้กล้าพากันหัวเราะ หัวหน้าเฉา ซ่งทั้งสองหัวเราะแล้วว่า “ท่านฆ่าเสือตายไปสี่ตัว วันนี้ค่ายเราได้เสือเป็นเพิ่มมาสอง สมควรฉลอง”
สำหรับจูฟู่ และ หลี่หยุนที่มาใหม่ เฉาไก้จัดให้นั่งแถวเจ้าภาพ 主位 ทางซ้าย ถัดจากไป๋เสิ้ง ทำให้แถวทางซ้ายยาวขึ้นมาอีกหน่อย แต่สั้นกว่าแถวอาคันตุกะ 客位 ทางขวาอีกมาก
(จูฟู่ เป็นน้องชายของ จูกุ้ย ส่วนหลี่หยุนเป็นอาจารย์ของจูฟู่ เฉาไก้จึงถือโอกาสให้นั่งแถวฝั่งซ้ายที่หมายถึงพวกตน ไม่ได้ให้นั่งฝั่งขวาสำหรับผู้มาถึงใหม่ ยิ่งเห็นได้ชัดว่า เฉาไก้เข้าใจเจตนาในการแบ่งที่นั่งฝั่งซ้ายและขวาของซ่งเจียง แม้จะไม่ได้พูดออกมา)
อู๋ย่งว่า “ทุกวันนี้ค่ายของเรารุ่งเรืองยิ่งนัก เหล่าผู้กล้าทั้งสี่ทิศต่างมาสมทบค่ายของเราเป็นเพราะคุณธรรมของท่านพี่เฉา ซ่ง ทั้งสอง นับเป็นโชคของเหล่าพี่น้อง
เมื่อจูกุ้ยกลับมาก็ให้กลับไปดูแลร้านทางตะวันออกเช่นเดิม ให้สือหย่ง โหวเจี้ยนกลับมา ครอบครัวของจูฟู่ให้จัดสร้างที่อยู่ใหม่ให้อาศัย
บัดนี้งานของค่ายเรามีมากขึ้น จะยังเป็นเช่นเดิมไม่ได้ เห็นควรให้ตั้งร้านอาหารเพิ่มขึ้นอีกสามแห่ง สำหรับสอดแนมข่าวคราวดีและร้าย ต้อนรับผู้กล้าที่จะขึ้นเขามา หรือหากทางการจะจัดกองกำลังมาโจมตี จะได้เตรียมการป้องกันได้แต่เนิ่นๆ
ทางตะวันตกของเขาเราเป็นที่ราบกว้าง ให้ถงเวย ถงเหมิ่งสองพี่น้องนำพลสิบนายเปิดร้านอาหารที่นั่น ให้หลี่ลี่นำพลสิบนายเปิดร้านทางทิศใต้ ให้สือหย่งนำพลสิบนายเปิดร้านทางทิศเหนือ แต่ละแห่งสร้างศาลาริมน้ำสำหรับยิงธนูสัญญาณและเป็นท่าเทียบเรือรับส่ง มีเหตุด่วนจะได้รีบรายงาน
ด้านหน้าของค่ายให้ตั้งด่านใหญ่สามด่านให้ตู้เชียนรับผิดชอบดูแล จัดวางเวรยามตลอดเวลาทั้งเช้าเย็น ห้ามละทิ้งหน้าที่ ให้เถาจงว่างดูแลการขุดลอกคูคลอง ซ่อมบำรุงทางน้ำทางถนน และกำแพงโดยรอบ ให้เจี่ยงจิ้งดูแลยุ้งฉางจัดทำบัญชีรับจ่าย ให้เซียวย่างจัดระบบงานเอกสาร หนังสือ คำสั่งใช้สำหรับภายในภายนอกค่าย ให้จินต้าเจียนรับผิดชอบดวงตราที่ใช้งาน ให้โหวเจี้ยนรับผิดชอบเรื่องเสื้อผ้าและธงสัญญาณ ให้หลี่หยุนรับผิดชอบงานซ่อมแซมอาคาร ให้หม่าหลินรับผิดชอบงานต่อเรือและซ่อมแซม
ให้ซ่งว่าน ไป๋เสิ้ง ตั้งค่ายใหม่บนหาดทรายทอง ให้เสือเตี้ยหวางและเจิ้งเทียนโซ่วตั้งค่ายบนหาดปากเป็ด 鸭嘴滩 ให้มู่ชุน จูฟู่ รับผิดชอบด้านการเงิน ทำบัญชีรับจ่าย ให้หลวี่ฟาง กวอเสิ้งพำนักอยู่ปีกซ้ายและขวาของโถงร่วมธรรม ให้ซ่งชิงรับผิดชอบงานจัดเลี้ยงสุราอาหาร”
มาวันหนึ่ง ซ่งเจียงนั่งสนทนากับเฉาไก้ อู่ย่ง และเหล่าหัวหน้า กล่าวขึ้นมาว่า “วันนี้เหล่าพี่น้องล้วนชุมนุมกันพร้อมหน้า จะขาดก็เพียงกงซุนอีชิงที่ยังไม่กลับ ข้าคะเนว่าที่ลาไปเยี่ยมมารดาคารวะอาจารย์นั้นคงราวหนึ่งร้อยวันน่าจะกลับมาได้ นี่ก็นานแล้ว ไม่มีข่าวคราว จะกลับคำไม่มาเสียแล้วก็ไม่รู้ ใคร่จะรบกวนน้องไต้จงท่านเดินทางไปสักเที่ยว สืบถามว่าเหตุใดจึงยังไม่กลับ”
ไต้จงตกลงไป ซ่งเจียงดีใจยิ่งนักกล่าวว่า “มีเพียงน้องเราที่ไปมาว่องไว ราวสิบวันก็คงรู้ข่าวแล้ว”
วันรุ่งขึ้น ไต้จงแต่งตัวเป็นเฉิงจวี๋ 承局 ทหารชั้นผู้น้อย ลงเขาออกเดินทางไปยังจี้โจว
虽为走卒,不占军班。
一生常作异乡人,两腿欠他行路债。
监司出入,皂花藤杖挂宣牌;
帅府行军,黄色绢旗书令字。
家居千里,日不移时;
紧急军情,时不过刻。
早向山东餐黍米,晚来魏府吃鹅梨。
แม้เป็นเพียงไพร่พลคนเดินสาส์น
หาได้บัญชาการทหารไม่
เป็นเหมือนคนแปลกหน้ามาแต่ไร
ได้อาศัยสองขาใช้เดินหน
กองบัญชาการอาจเดินเข้าหรือออก
ใช้ดอกไม้ดำ ตะพดหวาย ป้ายชื่อตน
จวนแม่ทัพจักเคลื่อนกำลังพล
บนธงเหลืองเชิญอักษรคำบัญชา
ยามอยู่เฉยบ้านไกลถึงพันลี้
ยามด่วนจี๋ว่องไวไม่เชื่องช้า
เช้ายังอยู่ซานตงกินข้าวปลา
ตกเย็นมาจวนเว่ยกินเป็ดไก่
ตอนก่อนหน้า : นักบุญคนบาป
ตอนถัดไป : ตุลาการหน้าเหล็ก

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา