29 เม.ย. เวลา 12:54 • ประวัติศาสตร์

ขุนโจรเหลียงซาน 110

หมัดหน้ากลองก่อคลื่นลม (3) น้ำผึ้งหยดเดียว
ตะวันค่อยๆ ลับเหลี่ยมเขา หลี่อิ้งมาถึงหน้าเนินตู๋หลง ให้ทหารแปรขบวนเป็นแถวหน้ากระดาน หมู่บ้านสกุลจู้มีชัยภูมิดีตั้งอยู่บนเนิน รอบด้านเป็นคูน้ำกว้าง มีกำแพงหินสูงสองจ้างสามชั้น มีประตูหน้าและหลัง สะพานชักสองแห่ง ในกำแพงมีนั่งร้านสูงทั้งสี่ทิศ มีอาวุธปักเรียงราย เหนือประตูมีหอกลองและม้าล่อ
หลี่อิ้งชักม้ามายืนหน้าประตูตะโกนว่า “เจ้าเด็กน้อยสกุลจู้ทั้งสาม บังอาจดูหมิ่นข้า”
ประตูเปิด มีทหารม้าออกมาหกสิบม้า ตัวนายนำหน้าขี่ม้าสีถ่านแดง เป็นบุตรชายคนที่สามของจู้เฉาเฟิ่ง ชื่อจู้เปียว 祝彪
头戴缕金荷叶盔,身穿锁子梅花甲,
腰悬锦袋弓和箭,手执纯钢刀与枪。
马额下垂照地红缨,人面上生撞天杀气。
สวมหมวกเกราะใบบัวทองเดินลาย
เกราะสายโซ่มีเครื่องหมายดอกเหมยอยู่
เอวคาดซองแพรใส่ดอกศรคันธนู
มือชูดาบและทวนเหล็กกล้าแกร่ง
 
ใต้คางม้าห้อยพู่แดง   วงหน้าแอบแฝง
แววเข่นฆ่าแต่กำเนิด
หลี่อิ้งเห็นจู้เปียวก็เอามือชี้หน้าด่าว่า
“ไอ้เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ผมจุกยังไม่ได้โกน ข้ากับพ่อของเจ้าผูกสาบานร่วมเป็นร่วมตาย หมายใจร่วมกันปกป้องหมู่บ้าน บ้านเจ้าเกิดเรื่อง ต้องการตัวใคร ขอมาก็รีบจัดให้ ต้องการสิ่งใด ไม่เคยบอกปัด วันนี้ข้าต้องการตัวคนผู้หนึ่ง มีหนังสือมาถึงสองครั้ง เจ้ากลับฉีกมันทิ้ง ดูถูกเหยียดหยามข้า นับเป็นเหตุผลใด”
จู้เปียวว่า “แม้บ้านข้าจะผูกพันร่วมเป็นร่วมตายกับท่าน สาบานจะร่วมแรงร่วมใจ ร่วมขจัดภัยโจรเขาเหลียงซาน กวาดล้างให้สิ้น แต่เหตุใดท่านกลับคบหาโจร หันมาคิดคด”
หลี่อิ้งตวาดว่า “เจ้าว่าเขาเป็นอะไรกับพวกเหลียงซาน เจ้ามันเที่ยวกล่าวหาชาวบ้านว่าเป็นโจร รู้ตัวไหมว่ามีผิดอะไร”
จู้เปียวว่า “เจ้าโจรสือเชียนสารภาพมาเอง ท่านอย่ามาพูดจาเหลวไหล ปิดบังข้าไม่ได้หรอก ท่านจะไปไหนก็รีบไป หากไม่ไป ข้าจะจับท่านส่งทางการในฐานะโจรด้วยกัน”
หลี่อิ้งโกรธจัด ชูทวนกระทืบโกลน โผนม้าเข้าใส่จู้เปียว จู้เปียวควบม้าเข้ารบหลี่อิ้ง ผลัดกันรุกรับอยู่หน้าเนินตู๋หลง รบกันได้สิบแปดเพลง จู้หลงรับมือหลี่อิ้งไม่ไหว ชักม้าหนี หลี่อิ้งควบม้าไล่ จู้เปียวพาดทวนขวางบนหลังม้า มือซ้ายหยิบคันธนู มือขวาคว้าดอกศรพาดสาย น้าวเต็มเหนี่ยวหันกลับมายิงใส่หลี่อิ้ง หลี่อิ้งรีบหลบแต่ยังถูกเข้าที่แขน พลาดตีลังกาตกจากหลังม้า จู้เปียวชักม้าหันกลับมาจะใช้ทวนแทง
หยางสยง สือสิ้วตวาดลั่นควงดาบพอเตาวิ่งเข้าขวางหน้าม้าจู้เปียว จู้เปียวรับมือสองคนไม่ไหว กลับม้าหนี หยางสยงฟันเข้าใส่สะโพกม้า ม้าเจ็บปวดกระโจนยกขาหน้า จู้เปียวตกลงจากหลังม้า ทหารม้าฝ่ายจู้เปียวขึ้นธนูระดมยิงเข้ามาช่วย หยางสยง สือสิ้ว ไม่มีเสื้อเกราะทั้งคู่จำต้องรีบถอย ตู้ซิงควบม้าเข้าไปรับหลี่อิ้งขึ้นม้าหนีมา หยางสยง สือสิ้ว วิ่งตามพวกพลรบหนีตามหลี่อิ้งกลับหมู่บ้าน พวกจู้เปียวไล่ตามมาได้สองสามลี้ ฟ้ามืดแล้ว จึงพากันถอยกลับ
ตู้ซิงประคองหลี่อิ้งลงจากม้าที่หน้าหมู่บ้านแล้วพาเข้ามายังห้องโถงด้านใน คนในครอบครัวช่วยกันมาดูแล ถอนลูกธนู ถอดชุดเกราะแลัวใส่ยาพอกปากแผล แล้วนั่งหารือกันอยู่ในห้องโถงหลังนั้น
หยางสยง สือสิ้วกล่าวกับตู้ซิงว่า “ที่ท่านขุนนางใหญ่ถูกหมอนั่นล่วงเกิน ทั้งยังต้องธนู สือเชียนก็ไม่ได้ตัวกลับมา ล้วนเป็นเพราะพวกเรามารบกวนท่านขุนนางใหญ่ พวกเราพี่น้องมีแต่ต้องไปเขาเหลียงซานขอร้องท่านเฉา ซ่ง และเหล่าหัวหน้าให้มาช่วยท่านขุนนางใหญ่ชำระแค้น และช่วยสือเชียนออกมา” จากนั้นจึงกล่าวขอบคุณและขออำลาหลี่อิ้ง
หลี่อิ้งว่า “ใช่ว่าข้าไม่ใส่ใจ เพียงแต่ทำอะไรไม่ได้ ผู้กล้าทั้งสองโปรดอภัย” แล้วให้ตู้ซิงนำเงินค่าเดินทางมามอบให้ หยางสยงและสือสิ้วพากันปฏิเสธ
หลี่อิ้งว่า  “ในวงนักเลง ท่านทั้งสองไม่จำต้องปฏิเสธ”
ทั้งสองจึงรับไว้ ตู้ซิงมาส่งหน้าหมู่บ้านชี้ทางให้แล้วลากลับ
หยางสยง สือสิ้ว มุ่งหน้ามาเหลียงซาน เห็นร้านอาหารเปิดใหม่แต่ไกล จึงตรงมาสั่งสุราอาหารและจะได้ถามทาง ร้านอาหารแห่งนี้คือหูตาของเหลียงซานที่เปิดเพิ่มมาหมาดๆ มีสือหย่งเป็นผู้ดูแล
ระหว่างกินอาหารทั้งสองถามทางไปเขาเหลียงซาน สือหย่งเห็นท่วงทีทั้งสองผิดสามัญจึงออกมารับรองแล้วถามว่า “ลูกค้าท่านมาจากที่ไหน ถามทางไปเขาเหลียงซานด้วยเหตุใด”
หยางสยงว่า “พวกเรามาจากจี้โจว”
สือหย่งนึกอะไรขึ้นมาได้จึงถามว่า “ท่านคือท่านสือสิ้วหรือ”
“ข้าชื่อหยางสยง น้องชายผู้นี้ชื่อสือสิ้ว พี่ชายทำไมรู้จักชื่อสือสิ้ว”
สือหย่งรีบตอบว่า “ผู้น้อยไม่รู้จักหรอก แต่ท่านพี่ไต้จงกลับมาจากจี้โจวเคยเอ่ยชมให้ฟัง ได้ยินชื่อมานาน วันนี้มาขึ้นเขา ยินดียิ่งนัก”
หยางสยง สือสิ้ว เล่าเรื่องราวให้สือหย่งฟัง สือหย่งให้จัดสุราอาหารเลี้ยงรับรอง เสร็จแล้วมายังศาลาริมน้ำด้านหลังยิงธนูเสียงสัญญาณ ลิ่วล้อพายเรือมาจากพงอ้อฝั่งตรงข้าม สือหย่งเชิญทั้งสองขึ้นเรือ มุ่งมายังหาดปากเป็ด 鸭嘴滩  สือหย่งแจ้งข่าวมาก่อนแล้ว จึงเห็นไต้จง หยางหลิน มารอรับอยู่แล้วพาขึ้นไปยังค่ายใหญ่
เหล่าหัวหน้ารู้ว่ามีสหายใหม่ขึ้นเขามาจึงพากันมารออยู่ที่ค่ายใหญ่ ไต้จง หยางหลิน นำหยางสยง สือสิ้ว มาแนะนำแก่เฉาไก้ ซ่งเจียง คารวะกันตามธรรมเนียมแล้ว เฉาไก้ก็สอบถามถึงภูมิหลังและฝีไม้ลายมือ เหล่าพี่น้องเหลียงซานฟังแล้วต่างชอบอกชอบใจ
ก่อนที่จะจัดลำดับที่นั่งให้ หยางสยงก็เล่าถึงเรื่องของสือเชียนผู้ที่จะมาขึ้นเขาด้วยกัน ไปขโมยไก่ขันบอกเวลาของร้านสกุลจู้ เกิดปากเสียงกันขึ้น สือสิ้วจึงวางเพลิงเผาร้านเสีย สือเชียนถูกจับตัวไป หลี่อิ้งทำหนังสือสองฉบับไปขอตัวสือเชียนกลับ บุตรสกุลจู้ทั้งสามยืนกรานไม่ปล่อยตัว สาบานจะจับเหล่าผู้กล้าเหลียงซาน ด่าว่าสาดเสียเทเสีย ไร้มารยาทสิ้นดี
ไม่พูดก็แล้วไป แต่พอเล่ามาถึงตรงนี้ เฉาไก้โกรธจัด ตวาดว่า “เด็กๆ เอาสองคนนี่ไปตัดหัวแล้วรายงาน”
杨雄石秀少商量,引带时迁行不臧。
豪杰心肠虽似火,绿林法度却如霜。
หยางสยงและสือสิ้วอ่อนหารือ
จนปล่อยให้สือเชียนทำเรื่องใหญ่
แม้จิตใจวีรชนร้อนรนไฟ
กติกาในหมู่โจรกลับเย็นชา
ซ่งเจียงจึงรีบไกล่เกลี่ยว่า “พี่ท่านโปรดระงับโทสะ ผู้กล้าทั้งสองมาแสดงความภักดีจากถิ่นไกล ไยจะให้ฆ่าเสีย”
เฉาไก้ว่า “พวกเราเหล่าผู้กล้าเหลียงซาน นับแต่โค่นล้มหวางหลุนแล้ว ก็ยึดหลักซื่อตรงดำรงธรรมเป็นที่ตั้ง ปราณีต่อชาวบ้าน พี่น้องแต่ละคนไม่เคยลงเขาไปสร้างความเสื่อมเสีย พี่น้องทั้งเก่าใหม่ต่างทนงองอาจ เจ้าสองคนนี้กลับใช้ชื่อเสียงของเหลียงซานไปขโมยไก่กิน ทำให้พวกเราถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ตัดหัวสองคนนี้เซ่นธง แล้วค่อยยกไปตีล้างบาง กอบกู้ศักดิ์ศรีคืน เด็กๆ รีบนำไปตัดหัวแล้วรายงาน”
ซ่งเจียงว่า “มิใช่เช่นนั้น พี่ท่านก็ได้ฟังพี่น้องสองท่านนี้กล่าวแล้ว หมัดหน้ากลองสือเชียนมีนิสัยลักขโมย จึงไปแหย่เอาสกุลจู้จนเกิดเรื่อง หาใช่พี่น้องสองท่านนี้สร้างเรื่องลบหลู่ศักดิ์ศรีค่ายเราไม่
ข้ายังเคยได้ฟังมาว่า บ้านสกุลจู้จงใจเป็นปฏิปักษ์กับค่ายของเรา แม้ค่ายเราจะมีกำลังมากกว่า แต่ทุนทรัพย์กับเสบียงกลับขาดแคลน พวกเราไม่ทันไปหาเรื่องพวกเขา พวกเขากลับแส่มาหาเรื่องก่อน พวกเราก็ตามน้ำเข้าตีหมู่บ้านเสีย หากสำเร็จ เสบียงที่ได้จะเพียงพอใช้ได้ถึงห้าปี และใช่ว่าพวกเราเล่นงานเขาก่อน แต่เป็นเพราะพวกเขาไร้มารยาท จึงขอให้พี่ท่านระงับโทสะ ข้าน้อยไร้ความสามารถ จะขอนำทัพไปด้วยตนเอง ขอเชิญเหล่าพี่น้องติดตามไปโจมตีบ้านสกุลจู้ หากไม่อาจล้างบางจนหมดจด สาบานจะไม่กลับขึ้นเขา
ทั้งนี้จะเกิดผลดีสี่ประการ หนึ่งคือได้ล้างแค้นให้ทางค่ายที่ถูกหยามศักดิ์ศรี สองกำจัดเจ้าเด็กรุ่นหลังที่ลบหลู่ สามได้เสบียงจำนวนมาก สี่ได้เชิญหลี่อิ้งขึ้นเขามาเข้าพวก”
อู๋เสวียจิวเสริมว่า “ท่านพี่กงหมิงกล่าวได้ถูกต้อง ทางค่ายเรามิควรที่จะตัดมือเท้าของตนเอง”
ไต้จงว่า “หากยืนยันที่จะประหาร เหมือนตัดหนทางสามิภักดิ์”
เฉาไก้จึงให้เว้นโทษประหาร หยางสยง สือสิ้ว คารวะขอบคุณที่เว้นโทษ ซ่งเจียงประคองให้ลุกขึ้นกล่าวว่า “น้องเราอย่าได้มีใจเป็นอื่น นี่เป็นกฎของค่าย แม้ซ่งเจียงหากทำผิดก็ต้องโทษตัดหัวเช่นกันมิอาจละเว้น บัดนี้เราก็มีพี่น้องใหม่ตุลาการหน้าเหล็กเผยเซวียนมาดูแลกฎอัยการทัพ บำเหน็จรางวัลและการลงโทษ น้องเราได้โปรดเข้าใจ”
เฉาไก้ให้หยางสยง สือสิ้ว นั่งลำดับถัดจากหยางหลิน ให้ต่อเติมที่พักเพิ่มเติมให้และให้แต่ละคนมีลิ่วล้อรับใช้สิบคน จากนั้นก็สั่งให้จัดสุราอาหารมาร่วมเลี้ยงรับรอง
วันรุ่งขึ้นซ่งเจียงให้ตุลาการหน้าเหล็กเผยเซวียนมาร่วมหารือการจัดกำลังรักษาค่ายและกองกำลังที่จะลงเขาไปกวาดล้างบ้านสกุลจู้ หัวหน้าเฉาไก้อยู่กำกับดูแลค่าย ให้อู๋เสวียจิว หลิวถัง สามหย่วนพี่น้อง หลวี่ฟาง กวอเสิ้งอยู่ช่วยรักษาค่าย ผู้มีหน้าที่ดูแลชายหาด ด่านทางและร้านอาหารอยู่ประจำหน้าที่ตน ให้เมิ่งคังผู้มาใหม่เป็นผู้รับผิดชอบงานต่อเรือและซ่อมบำรุงแทนหม่าหลิน
ทัพที่จะยกลงเขาเข้าตีบ้านสกุลจู้ให้จัดเป็นสองกระบวน
กระบวนทัพแรกมี ซ่งเจียง ฮวาหยง หลี่จวิ้น มู่หง หลี่ขุย หยางสยง สือสิ้ว หวงซิ่น โอวเผิง หยางหลิน ลิ่วล้อสามพันนาย ม้าศึกสามร้อย ลงเขาไปก่อน
1
กระบวนทัพที่สองมี หลินชง ฉินหมิง ไต้จง จางเหิง จางซุ่น หม่าหลิน เติ้งเฟย เสือเตี้ยหวาง ไป๋เสิ้ง ลิ่วล้อสามพันนายเช่นกัน ม้าศึกสามร้อย ลงเขาตามไปสมทบ
ให้ตั้งค่ายใหม่บนหาดทรายทอง และหาดปากเป็ด ให้ซ่งว่าน เจิ้งเทียนโซ่ว กำกับดูแลค่าย และการจัดส่งเสบียงทัพ
ตอนก่อนหน้า : อินทรีโฉบฟ้า
ตอนถัดไป : สอดแนม

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา