24 พ.ค. เวลา 10:31 • ประวัติศาสตร์

ขุนโจรเหลียงซาน 121

จากวิ่นเฉิงสู่เกาถัง (3) พายุหมุนน้อยพายุหมุนดำ
จูถงไม่พบคุณชายน้อยร้อนใจยิ่งนัก ไม่รู้จะเริ่มตามหาทางไหน เหลยเหิงยุดตัวจูถงไว้แล้วว่า “พี่ท่านไม่ต้องรีบร้อนหา อาจจะเป็นพวกข้าที่มาด้วยกันอีกสองคน พอฟังว่าพี่ท่านไม่ยอมขึ้นเขาไปด้วย จึงมาอุ้มตัวคุณชายน้อยไป พวกเราไปหาดูกัน”
จูถงว่า “น้องเรา ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น คุณชายน้อยเปรียบเหมือนดวงชีวิตของท่านเจ้าเมือง ฝากฝังไว้กับข้า”
เหลยเหิงว่า “พี่ท่านตามข้ามา”
จูถงตามเหลยเหิงและอู๋ย่งจากวัดพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ออกมานอกเมือง จูถงเริ่มลนลานถามว่า “พวกของท่านอุ้มคุณชายน้อยไปถึงไหนนี่”
เหลยเหิงว่า “พี่ท่านตามมาเถิด พอถึงที่หมาย ข้ารับรองว่าจะคืนตัวคุณชายน้อยให้”
จูถงว่า “หากสายเกินไป เจ้าเมืองก็แคลงใจอยู่ดี”
อู๋ย่งว่า “พวกของเราสองคนนี้เป็นพวกไม่ค่อยเฉลียวนัก คงอุ้มตรงไปที่นัดหมายอย่างเดียว”
จูถงถามว่า “พวกของท่านที่ว่านี้มีชื่อว่าอะไร”
เหลยเหิงตอบว่า “ข้าก็ไม่รู้จัก ได้ยินเรียกกันว่าพายุหมุนดำหลี่ขุย”
จูถงสะดุ้งใจว่า “คงไม่ใช่หลี่ขุยที่เที่ยวฆ่าคนในวงนักเลงกระมัง”
อู๋ย่งว่า “เขานั่นแหละ”
จูถงกระทืบเท้าว่าซวยแล้ว รีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ออกจากเมืองมาได้ราวยี่สิบลี้ก็เห็นตัวหลี่ขุยตะโกนมาว่า “ข้าอยู่นี่”
จูถงรีบรุดหน้ามาถามว่า “เอาคุณชายน้อยไปไว้ที่ไหน”
หลี่ขุยขานคารวะแล้วว่า “คารวะท่านพี่พัศดี เสี่ยวหยาเน่ยอยู่นี่”
จูถงว่า “ท่านอุ้มเสี่ยวหยาเน่ยมาคืนข้าดีดี”
หลี่ขุยชี้ขึ้นเหนือหัวว่า “เส้นผมของเสี่ยวหยาเน่ยอยู่บนหัวข้า”
จูถงมองแล้วงง ถามอีกว่าคุณชายน้อยอยู่ไหนกันแน่
หลี่ขุยว่า “ข้าเอายาสลบทาที่ปากแล้วแบกออกมาจากในเมือง ตอนนี้หลับอยู่ในดงนั่น ท่านไปดูเองสิ”
จูถงอาศัยแสงจันทร์กระจ่างรีบเข้าไปหาดูในดง เห็นเสี่ยวหยาเน่ยนอนกองอยู่บนพื้นจึงตรงเข้าไปประคองขึ้นมา กลับพบว่าหัวแบะออกเป็นสองซีกเสียแล้ว ตายอยู่ตรงนั้น
จูถงโกรธจัด วิ่งออกมาจากในดงก็ไม่เห็นสามคนนั่นเสียแล้ว จึงพล่านหาทั่วบริเวณ เห็นพายุหมุนดำแต่ไกลเอาขวานตบกันตะโกนมาว่า “มา มา มา มาสู้กันสักยี่สิบสามสิบเพลง”
จูถงเลือดขึ้นหน้าเสียแล้ว ถลกชุดเสื้อผ้าขึ้นวิ่งก้าวยาวๆ ปราดเข้ามา หลี่ขุยหันหลังวิ่งหนี จูถงวิ่งกวดตามหลัง หลี่ขุยเป็นพวกจัดเจนป่าเขา มีหรือที่จูถงจะไล่ทัน วิ่งตามจนเหนื่อยหอบ หลี่ขุยก็ตะโกนมาอีกว่า “มา มา มา สู้กับเจ้าให้ตายกันไปข้างหนึ่ง”
จูถงแค้นจนอยากจะจับกินเสียตรงนั้น แต่วิ่งกวดอย่างไรก็ไล่ไม่ทัน วิ่งตามจนฟ้าสาง หลี่ขุยก็ยังทิ้งระยะอยู่ข้างหน้า กวดเร็วก็หนีเร็ว กวดช้าก็หนีช้า ไม่กวดก็ไม่หนี วิ่งไล่มาจนหนีเข้าไปในคฤหาสน์แห่งหนึ่ง จูถงจึงคิดว่า “ไอ้หมอนั่นถึงที่หลบซ่อนเสียแล้ว อย่างไรข้าก็ไม่ปล่อยมันไป”
จูถงตามเข้าไปในคฤหาสน์จนถึงหน้าห้องโถง มองไปด้านในเห็นอาวุธปักเรียงรายทั้งสองฝั่ง จูถงว่า “คิดว่าน่าจะเป็นบ้านขุนนาง” จึงหยุดยืนแล้วตะโกนว่า “ในคฤหาสน์มีใครอยู่ไหม”
คนผู้หนึ่งก้าวเท้าออกมาจากหลังฉากกั้น
累代金枝玉叶,先朝凤子龙孙。
丹书铁券护家门,万里招贤名振。
待客一团和气,挥金满面阳春。
能文会武孟尝君,小旋风聪明柴进。
กิ่งทองใบหยกตกหลายทอดเผ่าพงศ์
สืบสายหงส์มังกรวงศ์ก่อนหน้า
อักษรชาดโลหะบัฏราชปฏิญญา
เลื่องลือชาพาผู้กล้าไหลมาสู่
รับรองแขกอบอุ่นทั่วทั้งผอง
หว่านเงินทองดังฝนต้องฤดู
ดุจเมิ่งฉางเชี่ยวชาญทั้งบุ๋นบู๊
รับรู้ชื่อพายุหมุนน้อยไฉจิ้น
(กิ่งทองใบหยก 金枝玉叶 หมายถึง เชื้อพระวงศ์)
(เมิ่งฉางจวิน 孟尝君 องค์ชายแห่งแคว้นฉีสมัยรณรัฐ เลี้ยงดูเหล่าผู้มีความสามารถไว้ถึงสามพันคน)
ผู้ที่ปรากฎตัวคือ พายุหมุนน้อยไฉจิ้น ถามมาว่า “ท่านน่ะเป็นใคร”
จูถงเห็นบุคลิกคนผู้นี้มีสง่าราศี จึงรีบคำนับแล้วตอบว่า “ผู้น้อยคือพัศดีอำเภอวิ่นเฉิงจูถง กระทำความผิดรับโทษเนรเทศมาที่นี่ เมื่อคืนนี้พาคุณชายน้อยของท่านเจ้าเมืองออกมาชมลอยประทีป พายุหมุนดำสังหารคุณชายน้อยไปเสียแล้วหนีเข้ามาในคฤหาสน์ของท่าน ใคร่ขอให้ท่านเพิ่มกำลังจับกุมตัวส่งทางการ”
ไฉจิ้นว่า “ที่แท้ก็คือท่านเจ้าเครางาม เชิญนั่งเถิด”
จูถงว่า “ผู้น้อยขอบังอาจเรียนถามนามของท่าน”
ไฉจิ้นตอบว่า “ผู้น้อยแซ่ไฉชื่อจิ้น ฉายาพายุหมุนน้อย”
จูถงว่า “ได้ยินชื่อเสียงท่านมานาน” แล้วรีบกราบคารวะกล่าวว่า “มิคาดว่าวันนี้จะได้พบท่าน”
ไฉจิ้นว่า “ข้าเองก็ได้ยินชื่อเจ้าเครางามมานาน เชิญสนทนายังห้องโถงด้านในเถิด”
จูถงตามไฉจิ้นมายังด้านใน แล้วถามว่า “เจ้าพายุหมุนดำนั่น เหตุใดจึงกล้าหลบเข้ามาในคฤหาสน์ของท่าน”
ไฉจิ้นว่า “ข้าอนุญาต ผู้น้อยนิยมคบหาเหล่าผู้กล้าในวงนักเลงเป็นปกติ ทั้งนี้ก็เพราะบรรพบุรุษของข้ามีพระคุณสละราชบัลลังก์ อดีตฮ่องเต้พระองค์ก่อนจึงทรงพระราชทานพระราชปฏิญญาโลหะบัฏอักษรชาด 丹书铁券 แม้จะเป็นผู้กระทำผิดอาญาหลบเข้ามาในบ้าน ก็ไม่มีผู้ใดกล้ามาค้น
ไม่นานมานี้มีสหายรักซึ่งท่านก็รู้จัก ปัจจุบันเป็นชั้นหัวหน้าอยู่ที่เขาเหลียงซาน ชื่อว่าฝนยามแล้งซ่งกงหมิง เขียนจดหมายลับมาขอให้อู๋เสวียจิว เหลยเหิง พายุหมุนดำมาพักในบ้านข้า เพื่อหาโอกาสเชิญท่านขึ้นเขาเข้าร่วมอุดมการณ์ แต่ท่านไม่ยินยอม จึงจงใจให้หลี่ขุยสังหารเสี่ยวหยาเน่ยเพื่อให้ท่านไม่มีทางที่จะกลับไปได้ จำต้องขึ้นเขา ท่านอาจารย์อู๋ พี่เหลย ไยไม่ออกมาสนทนากันเสียเลย”
อู๋ย่ง เหลยเหิงจึงโผล่มาจากห้องด้านข้างมาคารวะจูถงแล้วกล่าวว่า “พี่ท่าน โปรดอภัยด้วยเถิด ทั้งหมดนี้เป็นบัญชาของท่านพี่ซ่งกงหมิงกำชับเอาไว้ ไว้ถึงค่ายแล้วก็คงทราบเอง”
จูถงว่า “ถึงจะเป็นเจตนาดีของพวกท่านพี่น้อง แต่ออกจะอำมหิตไปหน่อย” ไฉจิ้นจึงช่วยพูดเกลี้ยกล่อมอีกคน
จูถงว่า “ข้าไปก็ไป แต่ขอดูหน้าเจ้าพายุหมุนดำหน่อย”
ไฉจิ้นว่า “พี่หลี่ ท่านรีบออกมาสนทนากันหน่อย”
หลี่ขุยจึงโผล่มาจากห้องด้านข้างลากเสียงยาวขานคารวะ
จูถงพอเห็นหน้า ไฟที่สุมอกก็ลุกโพลงขึ้นสามพันจ้าง ลุกขึ้นปรี่เข้าหาหลี่ขุยคาดว่าจะเอากันให้ตายไปข้างหนึ่ง ไฉจิ้น เหลยเหิง อู๋ย่งจึงช่วยกันขอเอาไว้
จูถงว่า “หากจะให้ข้าขึ้นเขา ต้องยอมตามข้าข้อหนึ่งก่อน ข้าจึงจะไป”
อู๋ย่งว่า “อย่าว่าแต่ข้อเดียวเลย กี่สิบข้อก็แล้วแต่ท่าน ข้อที่ว่าคืออะไร”
จูถงว่า “หากจะให้ข้าขึ้นเขา ก็ฆ่าเจ้าพายุหมุนดำนี่ระบายโทสะเสียก่อน ข้าจึงยอม”
หลี่ขุยได้ฟังแล้วโกรธจัดว่า “ให้เจ้ากัดนกเขาข้า พี่เฉาพี่ซ่งสั่งมา เกี่ยวอะไรกับข้า”
จูถงก็โกรธจะสู้กับหลี่ขุยให้รู้ดำแดง ทั้งสามจึงเข้าห้ามอีกครั้ง
จูถงว่า “ถ้ามีพายุหมุนดำอยู่ เป็นตายข้าก็ไม่ขึ้นเขา”
 
ไฉจิ้นว่า “ไม่ยากอะไร ข้ามีวิธี ทิ้งพี่หลี่ไว้กับข้าที่นี่ ท่านทั้งสามก็ขึ้นเขาไปสมเจตนาท่านเฉาซ่งทั้งสอง”
จูถงว่า “วันนี้มาเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ท่านเจ้าเมืองย่อมต้องทำหนังสือไปยังอำเภอวิ่นเฉิงให้จับกุมครอบครัวของข้า ทีนี้จะทำอย่างไร”
อู๋เสวียจิวว่า “ใต้เท้า 足下 โปรดวางใจ ป่านนี้ซ่งกงหมิงคงให้คนไปรับครอบครัวท่านขึ้นเขาแล้ว” จูถงจึงค่อยวางใจ
ไฉจิ้นจัดสุราอาหารเลี้ยงส่ง ทั้งสามจะออกเดินทางในวันนั้นเลย ไฉจิ้นจึงมอบม้าสามตัวให้ขี่ ก่อนออกเดินทาง อู๋ย่งกำชับหลี่ขุยว่า “เจ้าต้องระวัง อยู่บ้านท่านขุนนางใหญ่อย่าก่อเรื่องให้ท่านเดือดร้อน รอสักสามถึงหกเดือนให้จิตใจเขาสงบลงแล้ว ข้าจะมารับเจ้ากลับขึ้นเขา บางทีอาจจะเชิญท่านขุนนางใหญ่ไปเข้าพวกเสียด้วยเลย” แล้วทั้งสามก็ขึ้นม้าออกเดินทางกลับ
ทั้งสามเดินทางโดยสวัสดิภาพจนมาถึงร้านของจูกุ้ยก็ใช้คนให้ไปแจ้งข่าวยังค่ายใหญ่ เฉาไก้ ซ่งเจียง นำเหล่าหัวหน้า ประโคมมโหรีมารอต้อนรับที่หาดทรายทอง แล้วพากันขึ้นไปยังค่ายใหญ่คุยถึงความหลัง แล้วจูถงจึงว่า “ผู้น้องขึ้นเขามาแล้ว ทางเจ้าเมืองชางโจวคงต้องส่งหนังสือแจ้งทางอำเภอวิ่นเฉิงให้จับครอบครัวผู้น้อง จะทำอย่างไรดี”
1
ซ่งเจียงหัวเราะใหญ่แล้วว่า “พี่ท่านวางใจ อาซ้อมาถึงบนเขาหลายวันแล้ว ตอนนี้พำนักอยู่กับไท่กงบิดาข้า พี่ท่านไปดูเองเถิด”
ซ่งเจียงนำจูถงมายังที่พักของบิดา จูถงเห็นภรรยาและข้าวของของตน ภรรยาบอกว่า “ไม่กี่วันก่อนมีคนนำหนังสือมาแจ้งว่าท่านขึ้นเขามาเข้าพวกแล้ว ให้เก็บของตามมาที่นี่”
จูถงกลับออกมาขอบคุณเหล่าพี่น้อง และกินเลี้ยงฉลอง  จากนั้นซ่งเจียงให้จูถงกับเหลยเหิงตั้งค่ายรักษาการณ์บนยอดเขา
ทางด้านเจ้าเมืองชางโจว ตกค่ำแล้วไม่เห็นจูถงพาเสี่ยวหยาเน่ยกลับมาจึงส่งคนกระจายกันออกค้นหาทั้งคืน มีคนมาพบศพนอนตายอยู่กลางดง เจ้าเมืองไปดูด้วยตัวเองแค้นใจยิ่งนัก เก็บศพมาทำพิธี วันรุ่งขึ้น มีหนังสือให้ตามจับตัวจูถง ส่วนทางอำเภอวิ่นเฉิงมีรายงานมาว่า ภรรยาของจูถงได้หลบหนีไปก่อนแล้ว จึงได้มีประกาศจับแจกจ่ายไปตามหัวเมืองต่าง ๆ
1
ทางด้านหลี่ขุย พำนักอยู่ที่บ้านไฉจิ้นได้ราวหนึ่งเดือน เห็นคนผู้หนึ่งมาอย่างรีบด่วนส่งหนังสือให้ไฉจิ้นฉบับหนึ่ง ไฉจิ้นเปิดอ่านแจ้งความแล้วถึงกับตกตะลึงกล่าวว่า “เรื่องเป็นเช่นนี้ ข้าคงต้องไปดูสักเที่ยว”
หลี่ขุยถามว่า “ท่านขุนนางใหญ่มีเรื่องอันใดเร่งด่วน”
ไฉจิ้นว่า “ท่านอาของข้า ไฉหวงเฉิง 柴皇城 ปัจจุบันพำนักอยู่ที่เมืองเกาถัง 高唐州 ถูกน้องเมียของเจ้าเมืองเกาเหลียน 高廉 ชื่อว่า อินเทียนซี 殷天锡 ยึดเอาสวนดอกไม้ไป จึงโกรธจนล้มหมอนนอนเสื่อ ตอนนี้อาการทรุดหนักอาจจะไม่รอด มีเรื่องต้องการสั่งเสียแก่ข้าจึงให้คนมาตาม ท่านอาไม่มีลูกหลาน ข้าจึงจำต้องไปด้วยตนเองสักครั้ง”
หลี่ขุยว่า “ในเมื่อท่านขุนนางใหญ่ต้องเดินทางไป ข้าขอตามไปด้วย”
ไฉจิ้นว่า “พี่ท่านยอมไป ก็ไปด้วยกันเถิด”
ไฉจิ้นให้จัดเตรียมม้าดีไว้สิบกว่าตัว เช้าวันรุ่งขึ้นเวลายามห้าก็นำบ่าวไพร่ในคฤหาสน์ติดตามไปด้วยจำนวนหนึ่ง ออกเดินทางมุ่งหน้าเมืองเกาถัง
ตอนก่อนหน้า : เสี่ยวหยาเน่ย
ตอนถัดไป : อินเทียนซี

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา