28 พ.ค. เวลา 03:56 • ท่องเที่ยว
เพจ

Antelope Canyon มหัศจรรย์จากธรรมชาติ

Chapter 71/4: Unveiling Nature's Masterpiece
ตามที่เกริ่นมาใน Blog ที่แล้วว่าวันนี้จะพาไปเที่ยวสถานที่ที่สวยมากๆ เรียกว่าสวยจนเกือบลืมหายใจเลยทีเดียว ซึ่งเราจะไปกันตั้ง 3 ที่เลย ได้แก่ Glen Canyon Dam , Antelope Canyon และ Horseshoe Bend ซึ่ง 2 ที่หลังนี่เราว่ามันเป็นสถานที่ที่ธรรมชาติสร้างมาได้สวยที่สุดเท่าที่เราเคยเห็นมาเลย และรู้สึกโชคดีมากที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้มาเห็นกับตา
ป.ล. ที่เที่ยวทุกที่ที่เราไปวันนี้ แนะนำว่าควรใส่รองเท้าที่เหมาะกับการเดินและปีนป่ายด้วยนะคะ จะได้เที่ยวกันมันส์ๆ
ก่อนอื่นเราต้องขับรถไปที่เมือง Page ก่อนเพราะที่เที่ยวของเราในวันนี้อยู่ที่เมืองนี้หมดเลย ใช้เวลาเดินทางจากบ้านที่ Flagstaff ประมาณ 2 ชั่วโมงค่ะ
วิวภูเขา Humphreys สวยๆ ที่หน้าบ้าน
วิวตลอดทางที่มุ่งหน้าสู่เมือง Page ก็สวยใช่เล่น
ถนนและวิวสองข้างทางสวยมาก
นั่งรถเพลินๆ ก็เข้าสู่เมือง Page แล้วค่ะ
เมือง Page
และจุดหมายแรกของวันนี้ Glen Canyon Dam ค่ะ
Glen Canyon Dam
Glen Canyon Dam หรือ เขื่อนเกลนแคนยอน เป็นเขื่อนคอนกรีตที่ตั้งอยู่บนแม่น้ำ Colorado (โคโลราโด) มีความสูง 220 เมตร มีความจุมากกว่า 25 ล้านเอเคอร์ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1956-1966
Glen Canyon Dam เป็นหนึ่งในอ่างเก็บน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้นที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา ซึ่งบริเวณอ่างเก็บน้ำนี้ก็ได้กลายเป็น Lake Powell (ทะเลสาบพาวเวลล์) ในเวลาต่อมา
ทางเดินไปจุดชมวิว
เขื่อนถูกตั้งชื่อตาม Glen Canyon ซึ่งเป็นช่องเขาหินทรายลึกหลายชั้นที่ถูกน้ำท่วม ส่วนอ่างเก็บน้ำและ Lake Powell ถูกตั้งชื่อตาม John Wesley Powell (จอห์น เวสลีย์ พาวเวลล์) ผู้นำในการสำรวจ Grand Canyon และแม่น้ำ Colorado โดยทางเรือเมื่อปี 1869
ทางเดินลงไปจุดชมวิวจะเป็นทางเดินหินทรายแบบนี้ ซึ่งบางจุดก็อาจจะลื่นได้ต้องใช้ความระมัดระวังกันมากทีเดียว
เดินไม่ไกลประมาณ 10 นาทีก็ถึงจุดชมวิวค่ะ
ขอบอกว่าวิวสวยมาก แล้วก็หวาดเสียวมากด้วยเช่นกัน
อูยยย…สูงมากกกก
บริเวณที่เราเดินมาตรงนี้ไม่มีอะไรกั้นเลย ต้องใช้สติล้วนๆ ดีที่คนน้อยมาก เราสามารถไถๆ ตัวให้มาอยู่ใกล้ๆ ขอบผาได้นิดหน่อยไม่กล้าลงมามาก นั่งถ่ายรูปกันไม่ยอมลุกเลยเพราะลุกไม่ขึ้น...ขาสั่นไปหมดแล้ว ลมพัดมาทีกลัวปลิวตกหน้าผามาก 😖
แม่น้ำ Colorado ที่ไหลเป็นทางยาวไปจนถึงปากเขื่อน
ด้านล่างที่เห็นคือแม่น้ำ Colorado ที่น้ำเป็นสีน้ำเงินเข้มสวยมาก
Glen Canyon Dam
ตอนขากลับไปที่รถเพิ่งจะเห็นว่ามีจุดถ่ายรูปที่เค้าทำที่กั้นไว้ให้ด้วย แต่เทียบกันแล้วสู้ตรงที่เราไปไม่ได้สวยกว่ามากๆ
ออกจาก Glen Canyon Dam ก็เกือบเที่ยงแล้วเพราะมัวแต่ถ่ายรูป เราแวะกินข้าวเที่ยงกันอย่างรวดเร็ว เพราะจองทัวร์ Antelope Canyon ไว้ตอน 13.30 ซึ่งเค้ากำหนดให้เราต้องไปถึงก่อนเวลาที่จองไว้ 30 นาทีด้วย โชคดีที่ที่เที่ยวแต่ละที่วันนี้อยู่ใกล้กันมาก
แวะร้านอาหารร้านแรกที่เจอแถวนั้น ได้มาเป็นร้านนี้
ร้านกลางทะเลทรายแต่อาหาร Fusion มากมีทั้งจีนทั้งเม็กซิกัน
อาหารอร่อยใช้ได้เลยราคาไม่แพงด้วย รีบกินแบบด่วนๆ ก่อนจะรีบพุ่งตัวไปที่ต่อไป Antelope Canyon ค่ะ
เรามาทันเวลาพอดี๊ จอดรถเสร็จเห็นประตูรถคันข้างๆ เป็นแบบนี้ มันคืออะไรอ่ะสงสัยมาก มันคือรหัสล็อกรถรึป่าว ??? ใครรู้ช่วยบอกที 🤔
เค้ามีตัวเลขด้านบนไว้ทำอะไรอ่ะ
มาเข้าเรื่องของเราต่อเถอะ…
Antelope Canyon คือสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากของ Arizona
มันมีลักษณะเป็นหุบเขาที่เรียกว่า Slot Canyon คือเป็นหุบเขาแคบๆ ที่เกิดจากการพังทลายของชั้นหิน Navajo Sandstone ซึ่งถูกกัดเซาะจากกระแสน้ำ ลม และพายุฝนเป็นเวลาหลายล้านปี โดยด้านในหุบเขามีความลึกพอที่จะบังแสงจากพระอาทิตย์โดยตรงได้ แต่จะมีลำแสงบางส่วนที่ลอดผ่านช่องเขาลงมาตกกระทบบนผนังหุบเขาซึ่งจะทำมุมที่พอดีจนเกิดเป็นแสงสีที่สวยงาม
Antelope Canyon จะแบ่งเป็นสองส่วนคือ Upper Antelope Canyon และ Lower Antelope Canyon
ภายใน Upper Antelope Canyon จะมีรูปร่างคล้ายตัว A คือทางเดินด้านล่างจะกว้างส่วนด้านบนจะแคบ ทำให้แสงที่ส่องลงมาจะมีลักษณะเป็นลำแสง ในขณะที่ Lower Antelope Canyon จะมีลักษณะตรงข้ามกับ Upper คือเป็นตัว V ที่ด้านล่างทางเดินจะแคบแต่ด้านบนจะกว้างทำให้แสงส่องลงมาได้มากกว่า เลยทำให้ทัศนียภาพของทั้งสองที่มีความแตกต่างกัน
Upper Antelope Canyon จะเป็นหุบเขาที่ได้รับความนิยมมากกว่า Lower เพราะเข้าไปได้ง่ายกว่า ไม่ต้องปีนเขาและไม่ต้องเดินไปเพราะเค้ามีรถรับส่งจากจุดนัดพบมาที่ทางเข้าเลย เส้นทางเดินชม Upper จะมีความยาว 100 เมตร (เดินไปและกลับ 200 เมตร) ใช้เวลาเดินทัวร์ประมาณ 30 นาที
ในขณะที่ Lower Antelope Canyon จะมีระยะทางทั้งหมด 407 เมตร (เดินแบบ one way) ต้องเดินจากจุดนัดพบไปที่ทางเข้าเอง ใช้เวลาเดินทัวร์ทั้งหมดประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง และในระหว่างทางจะต้องมีการขึ้นลงบันไดที่สูงชันอีกหลายครั้ง ที่นี่เลยไม่เหมาะกับเด็กเล็กและผู้สูงอายุ
อ้อ !!! การจะเข้าไปเที่ยว Antelope Canyon จะต้องได้รับอนุญาติและต้องมีไกด์คนพื้นเมืองนำเที่ยวเท่านั้นนะ เพราะมันเป็นพื้นที่ทรัพย์สินส่วนตัวของครอบครัว Bengay ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองอเมริกันบน Navajo Nation (ดินแดนของชนเผ่านาวาโฮ) ซึ่งถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และในทุกๆ 4 ปีจะมีการทำพิธีขอบคุณธรรมชาติที่สร้างให้เกิด Antelope Canyon ที่มหัศจรรย์และมอบมันให้เป็นสมบัติแก่ชนเผ่านาวาโฮด้วย
พวกเราเลือก Lower Antelope Canyon เพราะพวกเราเป็นนักผจญภัย พวกเรามันใจสู้…5555 ป่าวหรอก เพราะเราคิดว่าคุ้มค่ากว่า เราอยากใช้เวลาอยู่ในนั้นนานๆ และจากที่อ่านรีวิวมาคิดว่าที่ Lower เราน่าจะได้เห็นแสงที่สวยกว่าและได้รูปที่สวยกว่า
สำหรับที่ Lower Antelope Canyon จะมีบริษัททัวร์ 2 เจ้าที่ให้บริการคือ Ken's Tour และ Dixie Ellis's Tour เราซื้อทัวร์ของ Ken's Tour ค่าทัวร์รวมภาษีตกคนละประมาณ 3,500 บาท
เมื่อมาถึงเราต้องมารายงานตัวที่จุดนัดพบก่อน จากนั้นรอเวลาประมาณ 20 นาทีเพราะเค้าต้องจัดไกด์ให้เป็นกลุ่มๆ กลุ่มนึงจะมีลูกทัวร์ประมาณ 8–10 คน จากนั้นไกด์ก็จะอธิบายกฎการเข้าไปด้านใน Canyon หลักๆ คือไม่อนุญาติให้เอาวัตถุมีคมเข้าไป ห้ามบินโดรน ห้ามเอาไม้ selfie, ร่ม, ไม้เท้า, กล้องถ่ายรูป, ขาตั้งกล้อง, เป้, กระเป๋าสะพายผู้หญิงเข้าไป อ้อ ! ห้ามสวมรองเท้าแตะด้วยนะ
แบ่งกลุ่มเรียบร้อย บริฟเรียบร้อยก็เริ่มออกเดินทางค่ะ
เดินตามกันไปเป็นกลุ่มๆ จนถึงทางลงหุบเขา
จากนั้นก็ต้องทยอยปีนบันไดลงไปทีละกลุ่ม ไกด์จะเตือนลูกทัวร์ตลอดว่า "ห้ามถ่ายรูป" ระหว่างที่ลงบันไดเพราะอยากให้ใส่ใจกับการลงไม่อยากให้เกิดอันตรายและไม่อยากให้ช้ากันด้วย
บันไดชันและค่อนข้างลึกต้องเดินด้วยความระมัดระวัง
ลงบันไดมาก็เริ่มว้าวกับสิ่งที่ได้เห็นแล้ว
เราได้ยินเสียงอุทานของนักท่องเที่ยวที่ลงมาก่อนหน้าเต็มไปหมด ก็จะไม่ให้อุทานกันได้ยังไงในเมื่อสิ่งที่เห็นตรงหน้ามันสวยขนาดนี้
หันไปทางไหนก็เจอกับผนังและซอกหลีบของหุบเขาที่แตกต่างกัน ความโค้งมนของหินหรายที่เกิดจากน้ำที่ไหลพัดผ่านมาเป็นล้านๆ ปี ให้ภาพที่สวยงามสุดจะบรรยาย
แสงแดดที่ตกกระทบลงมายังกำแพงหินทรายและสะท้อนกันไปมา มาทำให้เกิดสีสันที่หลากหลายมาก ทั้งสีส้ม สีม่วง สีแดง สีน้ำตาล สีฟ้า สีน้ำเงิน
ไกด์จะคอยเล่าให้ลูกทัวร์ฟังว่าที่นี่มีประวัติความเป็นมายังไง แต่เอาจริงแทบไม่มีใครฟังเลย ทุกคนมัวแต่ตะลึงกับความงามที่เห็นตรงหน้า และก็ระดมถ่ายรูปกันไม่ยั้ง เราชอบที่ทางทัวร์เค้าจัดเวลาลงให้ห่างกันประมาณ 5 นาทีเพื่อไม่ให้เกิดความคับคั่ง ทำให้พอมีที่ให้ถ่ายรูปได้ตลอดทาง
มีจุดที่ต้องปีนบันไดชันมากๆ ด้วย
อ้อ !!! สิ่งที่ไกด์แนะนำอีกอย่างคือให้ตั้งค่า Filter กล้องมือถือเป็นโหมด Vivid Warm เพราะจะทำให้ได้สีสันที่สดขึ้นกว่าเดิมอีก ซึ่งรูปที่ออกมาก็สวยมากจริงๆ
 
มาถึงจุดที่เป็น highlight ของ Lower Antelope Canyon ซึ่งตอนนี้ไกด์เลื่อนมาอยู่ใกล้พวกเราเลยชี้ให้ดู ไม่งั้นพวกเราก็คงไม่ได้สังเกตุและไม่ได้เก็บภาพสวยๆ เหล่านี้ (ก่อนหน้านี้คงมีหลายจุดแต่เราเดินห่างจากไกด์เลยไม่ได้ยิน 🥲 มันต้องเดินเรียงแถวเพราะทางเดินค่อนข้างแคบ)
The Yellow Sunset
The Eagle
The Lady in The Wind
The Heart
เดินมาจนใกล้ถึงทางออก รู้สึกว่าทำไมมันแป๊บเดียวเองทั้งๆ ที่อยู่ในนั้นกันชั่วโมงกว่า
ทางออกเป็นซอกผาแคบๆ แค่นี้เอง เหมือนหลุดจากโลกในจินตนาการออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงเลย
กลับขึ้นมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง
สุดประทับเลยเนอะ 🤩
ช่วงเวลาที่แนะนำให้มาเที่ยวที่ Antelope Canyon คือช่วงหน้าร้อนตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงตุลาคม เพราะเป็นช่วงเวลาที่ตำแหน่งของดวงอาทิตย์จะสร้างลำแสงที่ส่องไปถึงพื้นหุบเขา ในช่วงหน้าหนาวก็สามารถมาได้แต่อาจจะได้แสงสีที่ไม่สวยเท่าหน้าร้อน
ความประทับใจที่ได้จาก Antelope Canyon คือ ไม่นึกเลยว่าธรรมชาติจะสามารถสร้างสีสันที่สวยงามได้ขนาดนี้ เราเคยเห็นแต่ความอลังการของสถานที่แต่ก็ไม่เคยเห็นสถานที่ไหนที่มีสีสันสวยงามขนาดนี้มาก่อน ถือเป็นการเดินทางไกลที่คุ้มค่าจริงๆ
ป.ล. รู้มั้ยว่า Antelope Canyon เป็นหุบเขาที่สวยที่สุดแต่ก็อันตรายที่สุดเช่นกัน ไกด์เล่าว่าเวลาฝนตกจะอันตรายมากเพราะอาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันได้ ซึ่งเคยเกิดเหตุการณ์นี้มาแล้วในปี 1997 ที่เคยมีน้ำท่วมฉับพลันจนทำให้มีนักท่องเที่ยวเสียชีวิตที่ Lower Antelope Canyon มาแล้ว
อีก 1 ป.ล. มีคนแนะนำจุดถ่ายรูปอีกที่ที่บอกว่าเหมือน Antelope Canyon เลยแถมไม่ต้องซื้อทัวร์เข้าไปด้วย มันจะอยู่บริเวณหลังปั๊มน้ำมัน Shell ซึ่งมีอยู่ปั๊มเดียวในบริเวณนั้น สามารถ search หาเส้นทางใน Google Map ได้เลยค่ะ
อีกจุดที่เค้าว่าสวยเหมือนกัน
แต่พวกเราไม่ได้เข้าไปดูหรอก เพราะคิดว่าที่ที่เราไปอ่ะคือสุดยอดแล้วล่ะ
มาถึงที่สุดท้ายของวันนี้ Horseshoe Bend ค่ะ
ขับรถจาก Antelope Canyon มาแค่ 13 นาทีเอง เมื่อมาถึงทางเข้าจุดจอดรถเราจะต้องเสียค่าเข้าก่อน ซึ่งเค้าคิดตามประเภทของรถไม่ได้คิดตามจำนวนคน
รถเราเป็น Commecial Vehicle บรรทุกคนได้ 1–14 คนเค้าคิดที่ 35 USD ค่ะ
ทางเดินไปจุดชมวิว
จอดรถเสร็จก็เดินไปตามทางอีกประมาณ 1.4 ไมล์ (2.25 กม. ไป-กลับก็ 4.5 กม. เอ๊งงง 😤) อากาศดีมาก เย็นสบายแต่แดดก็แรงอยู่เหมือนกัน อย่าลืมพกหมวกกับแว่นกันแดดมาด้วยนะ
ใกล้ละ เห็นเป็นเหวอยู่ลิบๆ
ความมหัศจรรย์ของ Horseshoe Bend คือมันเป็นส่วนโค้งของแม่น้ำ Colorado ที่ไหลตามเส้นทางธรรมชาติจนเกิดเป็นรูปเกือกม้าแบบนี้ ให้ดูรูปด้านล่างจะได้พอเห็นภาพค่ะ
รูปจาก Google Earth
ถึงจุดชมวิวแล้ว ที่จุดชมวิวจะมีทั้งที่มีรั้วกั้นและไม่มีรั้วกั้น และเราก็เลือกมาจุดที่ไม่มีรั้วกั้นซึ่งเสียวถึงขั้นสุดเนื่องจากจุดชมวิวนี้มีความสูงอยู่ที่ประมาณ 1,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
Horseshoe Bend สวยอลังมาก
ทุกย่างก้าวบอกตัวเองต้องมีสตินะเฟร้ย ไม่ต้องรีบค่อยๆ เดิน เราจะไม่เสี่ยงใดๆ เพื่อให้ได้ภาพที่สวยที่สุด เพราะไอ้ตรงจุดที่ถ่ายก็สวยที่สุดสำหรับเราแล้ว 😁
เห็นนักท่องเที่ยวหลายคนพยายามเข้าไปจุดที่อยู่ใกล้หน้าผาให้มากที่สุด น่าหวาดเสียวมาก
แค่เห็นคนยืนใกล้ๆ หน้าผาก็ใจสั่นแล้ว
โอย…สวยเหลือเกินที่นี่ เชื่อมะ มันมีแค่วิวเดียวแต่ถ่ายไปเกือบร้อยได้ แชะกันอยู่นั่นแหละ พอเลือกรูปมาลงก็เหมือนกันทั้งนั้น 😂
เป็นอีกที่ที่วิวสวย…และเพิ่มความหวาดเสียวด้วย 😖…จนเกือบลืมหายใจจริงๆ
จบทริปวันนี้กันที่ Basecamp ร้านอาหารแถวบ้านที่เมือง Flagstaff
อาหารอร่อยมาก
เป็นมื้อเย็นที่อิ่มเอิบมาก กินไปก็ชื่นชมภาพไป จริงๆ อยากไปที่ The Monument Valley อีกที่นึงแต่เส้นทางมันต้องฉีกออกไปหลายชั่วโมงเลยต้องตัดใจ ได้แต่หวังว่าถ้ามีโอกาสได้มาอีกจะตามไปเก็บแน่นอน
สำหรับ Blog นี้หวังว่าทุกคนจะชอบนะคะ เพราะมันสวยมากทุกที่จริงๆ เหมือนได้ดูงานศิลปะที่วาดโดยธรรมชาติเลย แล้วพบกันใน Blog ต่อไปซึ่งก็ยังคงมีความอลังการไม่แพ้ Blog นี้เลยค่ะ 😊
โฆษณา