28 พ.ค. เวลา 03:36 • หุ้น & เศรษฐกิจ

🔥[สรุป] หลักสูตรอบรมการลงทุนแบบเน้นคุณค่า : THAI VI 21 (Part 1)🔥

✴️“เงินเป็นเพียงตัวแปรหนึ่ง ในสมการแห่งความสุข” ข้อคิดการลงทุนในหุ้นจาก ‘บอล : ภาคย์ภูมิ ศิริหงษ์ทอง’
การเริ่มต้นค้นหาหุ้นเพื่อเข้าลงทุนนั้น เราจำเป็นต้องรู้ก่อนว่าธุรกิจที่ดีและไม่ดีแตกต่างกันอย่างไร? ทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ เราจำเป็นต้องรู้ว่าหุ้นราคาถูกและหุ้นราคาแพงดูอย่างไร? ซึ่งความแม่นยำเกิดขึ้นจากการเรียนรู้ ฝึกฝน ควบคุมสภาพจิตใจ และมุ่งมั่นเดินทางตามแผนการที่วาดวางไว้ตั้งแต่ต้น
ธุรกิจน่าลงทุนคือ กิจการที่แข็งแกร่ง มีการเติบโตในอนาคต และราคาสมเหตุสมผล ความแข็งแกร่งของกิจการสามารถประเมินได้จาก ‘Durable Competitive Advantage : DCA’ หรือ “ความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน” มีการเติบโตทางรายได้และกำไรสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
ทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานของกิจการ การวิเคราะห์อุตสาหกรรมและธุรกิจทำให้เราเข้าใจ วิเคราะห์ ประเมิน ทั้งความเสี่ยงและผลประกอบการในอนาคต รวมถึงการประเมินมูลค่าหุ้นได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น อย่าลืมศึกษาเรื่อง ‘5 Forces Model’ หรือในชื่อไทยๆอย่าง “แรงผลักดันทั้ง 5 ด้าน”
🎈“Price is what you pay, value is what you get.” : Warren Buffett
🟢“ประเด็นที่ควรพิจารณาสำหรับการคัดเลือกหุ้น”
1️⃣ บริษัทนั้นมี ‘5 Forces Model’ ในแต่ละด้านอย่างไร?
2️⃣ ผลลัพธ์จากการวิเคราะห์ ‘5 Forces Model’ นั้นคุณคิดว่าธุรกิจมี ‘Durable Competitive Advantage : DCA’ อย่างไร?
3️⃣ ปัจจุบันบริษัทได้ลงมือทำอะไรบ้างเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งสำหรับ ‘DCA’ ของตนเอง?
4️⃣ ปัจจัยความเสี่ยงของบริษัทอยู่ตรงไหน?
5️⃣ กลยุทธ์การเติบโตในอนาคตของบริษัทคืออะไร?
🟢“การวิเคราะห์การเติบโต”
การเติบโตของผลประกอบการ ทำให้มูลค่ากิจการเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต หุ้นราคาถูกที่ธุรกิจไม่เติบโตแล้วนั้นมี ‘Runway’ สั้นกว่า ถ้าหากเราสามารถเข้าซื้อหุ้นเติบโตในราคาถูก ก็มีโอกาสทำกำไรหลายเด้ง หลักการวิเคราะห์หุ้นเติบโตนั้นต้องดูอัตราการเติบโตของภาพรวมอุตสาหกรรมในอนาคต ความสามารถในการกินส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทที่เราสนใจ การเติบโตควรโตทั้งรายได้และกำไรควบคู่กันไป อย่างน้อยที่สุดควรเติบโตมากกว่า “GDP+เงินเฟ้อเฉลี่ย”
5-10% ต่อปีก็พอรับได้ แต่ถ้าหุ้นมีราคาแพงและไม่ได้คุณภาพดีมากก็ควรคาดหวังการเติบโตระดับ 15-25% ต่อปีในระยะสั้นๆไม่เกิน 5 ปี มากกว่านี้ยากแล้ว
📌“บริษัทน่าลงทุนคือ กิจการแข็งแกร่ง เติบโต แต่ไม่มีใครเอา”
การถือครองหุ้นที่ไม่มีใครสนใจอาจได้ราคาดี แต่กว่าราคาหุ้นจะขึ้นนั้นใช้เวลาแสนนาน จังหวะเข้าซื้อจึงสำคัญมากๆ ต้องอ่านให้ขาดว่าตลาดจะเปลี่ยนมุมมองต่อหุ้นนี้เมื่อไหร่? หุ้นราคาเหมาะสมก็ไม่ได้แปลว่าถูกเสมอไป ความถูกแพงนั้นต้องเปรียบเทียบกับคุณภาพและการเติบโตในอนาคต
1
🎈"I am a better investor because I am a businessman and a better businessman because I am an investor.” : Warren Buffett
🟢“หลักการวิเคราะห์ผู้บริหาร”
ผู้บริหารที่ดีควรหมั่นทบทวนความสามารถในการแข่งขันของบริษัท มีวิสัยทัศน์ระยะยาว เฝ้ามองหาโอกาสทางการลงทุนใหม่ๆอยู่เสมอ ลงทุนในสิ่งที่จะทำให้ผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นของบริษัทเพิ่มมากขึ้น หมั่นตรวจสอบและประเมินความเสี่ยง ซื่อสัตย์ ไม่เอาเปรียบนักลงทุนรายย่อย มีแรงจูงใจ มีความทะเยอะทะยานอยากสร้างความมั่งคั่ง เข้าใจตลาดทุนและเข้าใจความต้องการของนักลงทุน มีผลประโยชน์อยู่ฝั่งเดียวกันกับเรา มีจริตความเป็นเจ้าของสูง
แล้ว ‘Checklist’ ผู้บริหารก่อนที่เราจะเข้าซื้อหุ้นของบริษัทมีอะไรบ้าง?
1
🔸เขาเป็นผู้บริหารมืออาชีพ หรือเป็น ‘เจ้าของ’ กิจการดังกล่าวเป็นความมั่งคั่งหลักในชีวิตเขาหรือไม่? ผู้บริหารที่มีความเป็นเจ้าของควรถือหุ้นบริษัทตัวเองมากกว่า 25-70% ความเป็นเจ้าของนั้นทำให้ผู้บริหารมีแรงจูงใจในการทำงาน ทุ่มเทแรงกายแรงใจ มองอนาคตระยะยาว
🔸ตรวจสอบประวัติด่างพร้อยของเขาในอดีต เคยฉ้อโกง โดนคดีความไหม? เคยปั่นหุ้นตัวเองหรือเปล่า?
🔸ตรวจสอบประวัติการทำงานของเขา เคยพูดหรือสัญญาอะไรเอาไว้ แล้วทำได้จริงอย่างที่พูดไหม? เวลามีปัญหาจัดการอย่างไร?
🔸กล้าเสี่ยง หากผิดพลาดก็พร้อมยอมรับแล้วกลับมาเริ่มต้นใหม่
🔸รอบคอบต่อการวางแผนทางการเงิน และการจัดการความเสี่ยงของธุรกิจ
🔸โครงสร้างทางธุรกิจเสี่ยงต่อการฉ้อโกงได้โดยง่ายหรือไม่? เคยเชียร์หุ้น หรือเคยซื้อขายหุ้นของตนเองหรือเปล่า?
🔸เต็มใจให้ข้อมูลหรือตอบคำถามต่อนักลงทุนไหม? ถ้าบริษัทไม่มีฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ (IR) หรือไม่มาออกงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (OPPDAY) เราจะไปหาข้อมูลจากไหนได้บ้าง?
🔸เข้าใจนักลงทุน นำมุมมองในฐานะนักลงทุนไปประกอบธุรกิจ
🎈“In looking for people to hire, you look for three qualities: integrity, intelligence, and energy. And if they don't have the first, the other two will kill you.” : Warren Buffett
🟢“Investment Playbook : คู่มือสำหรับผู้ชนะในเกมส์การลงทุน”
1️⃣ ‘Homerun Hitter’ : พบเห็นได้บ่อยที่สุดสำหรับเซียนวีไอ สร้างพอร์ตโตไวติดจรวด แต่ลอกเลียนแบบได้ยากที่สุด คุณต้องเข้าใจหุ้นบริษัทใดบริษัทหนึ่งอย่างลึกซึ้ง คาดการณ์กำไรในอนาคตได้แม่นยำ มองเห็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ในตลาดไม่เห็น “คุณต้องเป็นมนุษย์ 1%” ซึ่งเก่งกว่านักวิเคราะห์ทั้งหลาย ทำการบ้านละเอียดมาก มีการสืบเสาะ คลุกวงใน ลงพื้นที่ภาคสนาม (Scuttlebutt) เพื่อค้นหาความได้เปรียบและจัดพอร์ตหุ้นแบบกระจุกตัว
2️⃣ ‘Super Stock Pickers’ : เหมาะสมสำหรับมือใหม่ วิธีการไม่ยากจนเกินไป เลียนแบบได้ค่อนข้างง่าย เฝ้ามองและค้นหาหุ้นที่แข็งแกร่ง มีความสามารถในการแข่งขัน มีอัตราการเติบโตที่ดี แต่คุณไม่ควรคาดหวังผลตอบแทนอันรวดเร็วหวือหวา ต้องมีมุมมองระยะยาว วิธีการเช่นนี้นั้นสามารถดึงพลังแห่งผลตอบแทนทบต้นให้แสดงออกมาได้อย่างเต็มที่ หุ้นที่ผ่านเกณฑ์การลงทุนมีน้อยมาก แถมคุณยังจำเป็นต้องศึกษาเศรษฐกิจระดับมหภาคเอาไว้บ้าง และอาจใช้วิธีค่อยๆซื้อสะสมได้ในระยะยาว
3️⃣ “Bargain Hunter” : ช่วงชิงจังหวะเมื่อตลาดหรือคนส่วนใหญ่ผิดพลาด นั่นก็คือ “ยามวิกฤต” คุณต้องฝืนความรู้สึกตนเองเพื่อกระทำสิ่งตรงกันข้ามกับคนส่วนใหญ่ แนวทางนี้เหมาะสมกับผู้ที่ชอบซื้อของดีราคาถูก แต่ต้องทำการบ้านอย่างละเอียด ประเมินมูลค่าให้แม่นยำ และสำคัญที่สุดคือ “ต้องมั่นใจต่อสมมติฐานของตนเอง” ส่วนมากเป็นการซื้อหุ้นในภาวะวิกฤต ตลาดหุ้นพังทลาย หรือซื้อหุ้นที่มีปัญหาภายในกิจการแบบชั่วคราว
4️⃣ “Stone Turner” : ลงทุนในหุ้นนอกสายตาขนาดเล็ก สภาพคล่องต่ำ หากแต่มีประเด็นบางอย่างซึ่งอาจทำให้กำไรเติบโตมหาศาลในอนาคต ปัญหาสำหรับการลงทุนแนวทางนี้ก็คือ มักค้นหาข้อมูลยากมากๆหรือไม่ได้เลย เป็นเหตุให้ต้องจัดพอร์ตกระจายการลงทุน 20-50 บริษัท แนวทางนี้ให้ผลตอบแทนดีที่สุดเมื่อเทียบกับความเสี่ยง แต่ต้องแลกกับความทุ่มเท มันใช้พลังงานในการทำการบ้านเยอะมาก
5️⃣ “Tech Stock Masters” : เล่นเกมส์ระยะยาว ขุดคุ้ยหาหุ้นที่มีการเติบโตระยะยาว มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงๆ เป็นผู้ชนะในอุตสาหกรรม ควรเลือกธุรกิจที่เราเข้าถึงได้ เคยเป็นลูกค้า จะทำให้เห็นภาพชัดเจน เข้าใจธุรกิจมากขึ้น ควรระวังว่าเราอาจใช้วิธีการประเมินมูลค่าแบบทั่วไปไม่ได้ ต้องประเมินแบบมองโอกาสในอนาคต มันจับต้องได้ยากมากๆ
สุดท้ายเราจำเป็นต้องเดินถอยหลังย้อนกลับมาทบทวนความคิดตนเองให้ดีก่อนว่า เป้าหมายทางการลงทุนส่วนตัวของเราคืออะไร? มีใครเป็นต้นแบบหรือเปล่า? เรามีจุดเด่นและข้อจำกัดอย่างไร? ทั้งหมดนี้ก็เพื่อค้นหาและออกแบบ “คู่มือสำหรับผู้ชนะในเกมส์การลงทุน” อันมีอัตลักษณ์เฉพาะตัว สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่พอร์ตหุ้นยังเล็ก คำแนะนำคืออย่ารีบอยากมาเป็นนักลงทุนเต็มเวลา ควรทำงานอื่นๆที่สร้างรายได้ แล้วหมั่นโยกย้ายเงินออมมาเติมพอร์ต พอร์ตจะโตไวมากๆ ดีกว่ามานั่งคาดหวังผลตอบแทนการลงทุน
☑️อย่าคิดจะเป็นนักลงทุนเต็มเวลา จนกว่าเงินปันผลจะเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายจำเป็นทุกอย่างในชีวิต อย่าไปกู้เงินมาลงทุน จนกว่าจะรู้ถ่องแท้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่?
☑️การประเมินมูลค่าหุ้นเป็นศิลป์มากกว่าศาสตร์ สูตรทางคณิตศาสตร์นั้นเรียนรู้ได้เพียงไม่กี่นาที หากแต่ใช้เวลานับสิบปีเพื่อฝึกฝนและหยิบใช้อย่างเชี่ยวชาญ หากเราประเมินมูลค่าเป็นและแม่นยำ จะทำให้มองเห็นโอกาสอันงดงาม ในขณะที่คนอื่นมองไม่เห็น
☑️เราจะไม่จ่ายราคาแพง ไม่ว่าธุรกิจจะดีเพียงใด เมื่อคุณลงทุนแล้วได้กำไร ไม่ได้แปลว่าเก่ง ตลาดหุ้นนั้นพึ่งพาโชคชะตามากกว่าที่คิด การถูกด้วยเหตุผลที่ผิด เป็นกับดักทางความคิดอันน่ากลัวที่สุด
☑️แม้เราลงมือทำทุกอย่างถูกต้อง แต่ผลลัพธ์ที่ดีต้องให้กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ จนกว่าจะถึงวันนั้น เราจำเป็นต้องมีความศรัทธาต่อเส้นทางที่เลือกเดิน ความศรัทธาคือสิ่งที่ขาดเสียไม่ได้เลยหากคุณโหยหาความสำเร็จ
☑️การลงทุนคือ “เกมส์ความน่าจะเป็น” อย่าลืมนึกถึงความเสี่ยงที่จะล้มเหลว หลักการแบบดันโด (Dhandho Investor) หยิบฉวยมาใช้ได้เสมอ “ออกหัวได้เยอะ ถ้าออกก้อยเสียนิดหน่อย”
📌เงินเป็นเพียงตัวแปรหนึ่ง ในสมการแห่งความสุข
📌เงินเป็นเพียงเหตุ ที่นำพาเราไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการ
📌อยากมีความสุขอย่างไร ก็ต้องทำ ‘เหตุปัจจัย’ ให้ดี
📌เตือนตนเองบ่อยๆว่า เราไม่จำเป็นต้องมีเงินเยอะ เพื่อทำในสิ่งที่อยากทำ เพราะสุดท้ายแล้ว “เงินสำคัญน้อยกว่าเวลา”
🌿การมีเพื่อนนักลงทุนที่ดีเป็นเรื่องสำคัญ ค้นหา ‘ชาร์ลี มังเกอร์ (Charlie Munger)’ ของเราให้เจอ เขาจะเป็นเพื่อนช่วยคิด สอบทาน ตักเตือน ปลอบใจ และรบรอยจุดอ่อนของเราเพื่อเดินทางสู่การเป็นนักลงทุนผู้ชาญฉลาด อย่าลืมมองหาต้นแบบในการลงทุนและการใช้ชีวิต หวังว่า ‘THAI VI’ จะเป็นจุดเริ่มต้นในการค้นหา “กลุ่มเพื่อนที่ดีในระยะยาว”
🖋️บอล : ภาคย์ภูมิ ศิริหงษ์ทอง
กรรมการสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) : THAI VI
โฆษณา