2 มิ.ย. เวลา 08:00 • ประวัติศาสตร์
อังกฤษ

จักรวรรดิอังกฤษ ดวงอาทิตย์สาดแสงสู่ช่วงเวลาอับแสง ตอนที่ 3 สุภาพบุรุษ จอมโหด

โลกทั้งใบถูกสำรวจ.. จนครบละ อังกฤษกลายเป็นประเทศที่มีศักยภาพ พระราชินีเอลิซาเบธที่ 1 พระองค์ก็สวรรคต ในปี ค.ศ.1603 หลังจากนั้น.. เมื่อพระนางเสด็จสวรรคตโดยไม่มีทายาท อังกฤษก็จำเป็นต้องหากษัตริย์พระองค์ใหม่ กษัตริย์พระองค์ใหม่ที่ใกล้ชิดที่สุด และสำคัญมากต้องเป็น“โปรเตสแตนต์“ ใครดีหว่า?? เรามีกษัตริย์สกอตอยู่พระองค์หนึ่ง มีพระนามว่า “พระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์” อัญเชิญพระองค์มาเป็นกษัตริย์อังกฤษด้วย มีความหมายว่า.. อังกฤษกับสกอตก็ได้ร่วมกัน โดยมีประมุขพระองค์เดียวกัน
1
เพราะฉะนั้น พระองค์ก็เลยมีพระนาม 2 นัมเบอร์คือ “พระเจ้าเจมส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ และพระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์“ พระองค์เป็นปฐมกษัตริย์ของราชวงศสจ๊วต พอพระองค์มาฟังสิ่งที่”พระราชินีเอลิซาเบธที่ 1 ” ทรงทำไว้ พระองค์ก็ดำริว่า.. เฮ้ย การขยายอำนาจต่อไปน่าสนใจ เพราะฉะนั้น “รอเบิร์ต เซซิล” (sir robert cecil ) ผู้เป็นที่ปรึกษาของพระราชินีเอลิซาเบธ ยังคงให้ข้อเสนออยู่ว่า.. พระองค์เราจำเป็นต้องมีการส่งเรือแล้วเดินหน้าต่อไปเพื่อไปยึดครองอาณานิคม
2
พระเจ้าเจมส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ และพระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์
เพราะเหมือนกับประจวบเหมาะมากเลย เวลากำลังดีเลย หันหน้าไปทางไหนดีละ อเมริกาไง ที่ผ่านมา สเปนกับโปรตุเกสยึดครองอเมริกาใต้ถูกไหม? ถามว่า.. ทำไมยึดครองอเมริกาใต้ เพราะพวกสเปน โปรตุเกสเข้าไปที่อเมริกาเหนือ บอกอากาศก็เหมือนเรา พืชก็เหมือนเรา ทองคำก็ไม่มี ซึ่งทั้ง 2 ประเทศนี้ ต้องการพืชเมืองร้อน ต้องการอ้อย คือพวกเขาต้องการสิ่งที่เขาไม่มี แต่อังกฤษ ไม่ใช่
เราลองไปก่อน ก็เลยได้มีการส่งเรือไป 3 ลำ ชื่อว่า “ซูซาน คอนสแตนต์”(susan constant), “ก็อดสปีดี” (godspeed) และ “ดิสคัฟเวอรี” (discovery) เดินทางข้ามแอตแลนติกไป แล้วก็ไปตั้งอาณานิคมแห่งแรกในพื้นที่อเมริกาเหนือ
อาณานิคมแห่งนั้นมีชื่อว่า “เจมส์ทาวน์” ง่ายๆเลย ก็มาจากชื่อของพระองค์ “พระเจ้าเจมส์” และพื้นที่บริเวณโดยรอบมีชื่อว่า “เวอร์จิเนีย” ซึ่งตั้งให้เป็นพระเกียรติยศกับพระองค์ผู้ทำให้อังกฤษเป็นมหาอำนาจนั้นก็คือ “พระราชินีผู้ประพฤติธรรม ราชินีผู้ครองพรหมจรรย์หรือพระราชินีเอลิซาเบธที่ 1” นั้นเอง มาจากคำว่า “เวอร์จิน” (virgin)
เมืองเจมส์ทาวน์ในรัฐเวอร์จิเนีย
อย่างที่บอกเวลาอังกฤษทำอะไร อังกฤษชอบทำในรูปแบบบริษัท และบริษัทที่ส่งไป บริษัทแรกคือบริษัทที่ส่งเรือ 3 ลำนี้ เป็นบริษัทที่เกิดจากความร่วมมือกันของ 2 บริษัท ชื่อ “บริษัทลอนดอนคอมพานี” (London Company) กับ ”บริษัทพลีมัธ“ (Plymouth Company) รวมตัวกัน เปลี่ยนชื่อเป็น “บริษัทเวอร์จิเนียคอมพานี” (Virginia Company of London) แล้วก็ไปยึดครองพื้นที่ จากหนึ่งก็ค่อยๆขยายไป
แต่เรื่องยังไม่จบแค่นี้ เพราะว่าหลังจากที่สเปนพ่ายแพ้ อาณานิคมเดิมของสเปนที่มีความเก่งทางการเดินเรือกลายมาเป็นเสี้ยนหนามของอังกฤษก็คือ “เนเธอร์แลนด์” ครั้งหนึ่ง“ฮอลแลนด์”เคยตกเป็นเมืองขึ้นของราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค ซึ่งในเวลานั้น ”ฮอลแลนด์หรือเนเธอร์แลนด์“ เองเริ่มต้นขยายแสนยานุภาพทางทะเลมากแล้ว ก็เริ่มต้นเดินเรือแข่งขันกับอังกฤษ
1
เพราะฉะนั้นก็เลยมีการต่อสู้กันระหว่าง 2 ประเทศนี้ มีทั้งหมด 4 ครั้งด้วยกัน สำหรับฮอลแลนด์เอง เขาก็เดินเรือลงใต้ไปเจอแอฟริกาใต้ และบางทีเขาก็เดินเรือข้ามแอตแลนติกแล้ว ก็ไปสถาปนาเมืองที่มีชื่อว่า ”นิวอัมสเตอร์ดัม ปัจจุบันคือ นิวยอร์ก“
อังกฤษเองก็รู้สึกว่า “ฮอลแลนด์” นี้เป็นเสี้ยนหนามเราเหลือเกิน เอาแบบนี้ละกัน หลังจากนั้นไม่นาน “ดยุกแห่งยอร์ก” เป็นพระอนุชาของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 พระองค์ก็เดินทัพข้ามแอตแลนติก แล้วก็ไปต่อสู้กับ“พวกดัตช์” และสามารถได้เมืองนั้นมา ก็เลยเปลี่ยนชื่อเป็น “นิวยอร์ก“ เพราะว่า.. ผู้บัญชาการกองเรือที่ไปโจมตี ”นิวอัมสเตอร์ดัม“ ในเวลานั้นได้คือ ”ดยุกแห่งยอร์ก“ ก็เลยกลายเป็นชื่อ ”นิวยอร์ก“
ภาพวาดเหตุการณ์เปลียนชื่อเมือง นิวอัมสเตอร์ดัม
แล้วก็ขยายพื้นที่ไม่ว่าจะเป็น”เจมส์ทาวน์“ หรือพื้นที่ต่างๆเป็นที่เรียบร้อย ก็ได้สถาปนาเมืองขึ้นของอังกฤษที่มีชื่อว่า ”สิบสามอาณานิคม“ (Thirteen Colonies) นี่คือการขยายอำนาจข้ามแอตแลนติกไป เราก็เลยทำให้เห็นว่าตอนนี้ ภูมิทัศน์ของอังกฤษกลายเป็นว่าเริ่มต้นยึดครองอเมริกา หลังจากนั้นเขาก็จะมาดูว่า.. แล้วจะขยายไปที่ไหนต่อ
ขอวกกลับไปที่อังกฤษก่อน เพื่อที่เราจะได้เห็นบริบทภายในของอังกฤษ หลังจาก” พระเจ้าเจมส์ที่ 1 ” เสด็จสวรรคตแล้ว พระโอรสของพระองค์คือ “พระเจ้าชาลส์ที่ 1 ” เป็นบุคคลที่มีปัญหากับทางรัฐสภาค่อนข้างเยอะ จนในที่สุดพระองค์ก็ถูกประหารชีวิตคือ.. เป็นกษัตริย์อังกฤษที่ถูกประหารโดยรัฐสภาในปี ค.ศ 1619
”สิบสามอาณานิคม“ (Thirteen Colonies)
ทางรัฐสภาได้นำเอาพระเศียรของพระองค์เนี้ยต่อกับลำตัวของพระองค์และเย็บด้วยด้ายสีดำเป็นการถวายพระเกียรติพระองค์ได้ (นี้คือการถวายพระเกียรติเหรอ) แต่ที่สุดแล้ว “โอลิเวอร์ ครอมเวลล์” ( Oliver Cromwell) เข้ามาปกครองระบอบสาธารณรัฐ เรียกว่า “สาธารณรัฐอังกฤษ ” โดยอยู่ในฐานะ “เจ้าผู้อารักขา” (Lord Protector) แห่งอังกฤษ
ต่อมาภายหลังได้มีการอัญเชิญ“พระเจ้าชาลส์ที่ 2 ” ซึ่งเป็นพระโอรสของ “พระเจ้าชาลส์ ที่1 “ ให้ทรงขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์อีก แล้วพระอนุชาของพระองค์ก็คือ ”ดยุกแห่งยอร์ก“ พระองค์นี่แหละที่เป็นคนสานต่องานในการขยายอำนาจต่อไปด้วย เพราะจะเห็นว่า อังกฤษเริ่มต้นแล้ว แต่แน่นอนสิ่งที่อังกฤษอยากได้ที่สุด ไม่ใช่แค่ “อเมริกา” อเมริกาก็เติบโตไป และอังกฤษอยากได้อะไรล่ะ!! “อินเดีย”
“ฮอลแลนด์”ไปครองอำนาจที่ปลายสุดของแหลมกู๊ดโฮปแอฟริกา อังกฤษคิด..เอายังไงดีกับฮอลแลนด์ ส่งคนไปรบที่สุดเลย อังกฤษส่งกองเรือไปแล้วยึดแอฟริกาใต้ ในเวลานั้นยังไม่เป็นแอฟริกาใต้แต่เรียกว่า..“ปลายสุดของแอฟริกา“ เพราะฉะนั้นพื้นที่แอฟริกาใต้ ครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองขึ้นของฮอลแลนด์
1
ภาพวาดของพระเจ้าชาลส์ที่ 1 , โอลิเวอร์ ครอมเวลล์ , พระเจ้าชาลส์ที่ 2 ตามลำดับ
ต่อมาเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ถามว่า.. สำคัญยังไง?? แหลมกู๊ดโฮปเปรียบเหมือนประตูสู่อินเดีย เพราะว่าบริเวณนั้นคือจุดที่เราจะเห็นน้ำ 2 สี ข้างหนึ่งเป็นแอตแลนติก อีกข้างเป็นมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ของโลก ในที่สุดอังกฤษได้พื้นที่นั้นเรียบร้อย ประตูเปิดละ เราไปอินเดียได้
จากนั้นอังกฤษก็เลยเริ่มต้นไปสำรวจอินเดีย โดยส่งเรือสำรวจในนามบริษัทซึ่งบริษัทนี้ มีการตั้งกันมานานแล้วคือ “บริติชอีสต์อินเดีย“(British East India) ตั้งขึ้นมาในช่วงท้ายของรัชสมัย “พระราชินีเอลิซาเบธที่ 1“ พวกเขาเตรียมพร้อมในการที่จะยึดครองพื้นที่ ที่เขาอยากได้ที่สุดนั่นก็คือ“อินเดีย” ลองคิดดูละกันว่า ทุกอย่างมันเกิดมาจากการที่เราสำรวจโลกทั้งใบ และอังกฤษใช้ความสามารถในการเดินเรือ ในการพัฒนาแผนที่ ในการกำหนดยุทธศาสตร์ว่า.. เขาจะเดินทางไปที่ไหนกันบ้าง
เล่ามาถึงตรงนี้เนี่ย สิ่งที่เป็นความแตกต่างที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเนเธอร์แลนด์ โปรตุเกส สเปน 3 ชาตินี้ ที่ครองอำนาจมาก่อนอังกฤษแม้จะในระยะเวลาสั้นๆ แต่อังกฤษที่สุดท้ายแล้วกลับครองความยิ่งใหญ่ได้เกือบ 300 ปี ถึงแม้ว่าอังกฤษเป็นผู้ที่ตามมาที่หลัง แต่ว่าถ้าเกิดเขาไม่เก่งจริง เขาก็จะไม่สามารถยืนหยัดได้นาน อะไรทำให้อังกฤษแตกต่างจาก 3 ชาตินั้น
1
พระราชินีเอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ ผู้มีฉายา พระราชินีผู้ประพฤติธรรม , ราชินีผู้ครองพรหมจรรย์
ประเด็นแรกเลยคือ เรื่องการพัฒนาเทคโนโลยี อย่างเรือก็อดสปีดี(godspeed) เป็นการบอกว่า เค้าเล่นถูกเกม อธิบายแบบนี้ละกัน อังกฤษอาจจะไม่ใช่ทีมที่เก่งที่สุด แต่รู้ว่าในการที่จะต่อสู้กับกองกำลังที่มีจุดอ่อนบางประการ รู้แค่จุดเดียวพวกเขาสามารถชนะได้ อีกอย่างต้องยอมรับว่าอังกฤษจะทำอะไรก็ตาม เขาจะคำนึงถึงเรื่องเงินเป็นสำคัญ หลายครั้งที่เราพูดถึงประวัติศาสตร์เหมือนเงินเนรมิตได้ แต่จริงๆไม่ใช่
“บริติชอีสต์อินเดีย” เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1600 พอดีเลย ที่หลายคนอาจจะรู้ว่า.. เป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลกเพราะมีกองกำลังทหาร บริษัทนี้ ผมขอเรียกแบบง่ายๆ ละกันว่า.. เป็น“บริษัทที่ได้รับพระบรมราชานุญาต” จริงๆก็คือ “รัฐวิสากิจ” รัฐมีเงินน้อย รัฐทำไง?? ระดมทุน “บริษัทวีโอซี” (Dutch East India Company) ซึ่งถือว่า.. เป็นบริษัทแรกในโลกที่ออกหุ้น ลักษณะเดียวกัน บริษัทวีโอซีคือ เราจะเดินเรือแล้ว
"อีสต์อินเดียเฮาส์" สำนักงานใหญ่บริษัทฯ
รัฐมีเงินไม่พอ เราจะทำการร่วมลงทุนกัน ระหว่างรัฐกับเอกชน(Public-Private Partnership หรือ PPP)ดีกว่า ซึ่ง“บริติชอีสต์อินเดีย” ก็ทำในปี 1600 โดยประกาศไป เราจะเดินเรือ ใครที่เชื่อว่า.. การเดินเรือครั้งนี้จะสำเร็จ เราจะไปเอาของมาขายในบ้านเรา และเราจะรวย ท่านลงขันมากับเรา เราจะให้ผลตอบแทน เช่น 20% หรือ 8% แล้วแต่ความยากง่ายของการเดินทางแต่ละครั้ง เพราะฉะนั้นกองทัพเนี่ยไม่ใช่แค่เดินด้วยท้อง แต่ต้องเดินด้วยเงินด้วย ซึ่งในการเดินทัพหรือการเดินทางแต่ละครั้งจะมีมติการคำนวณเงินตลอดเวลา
อีกสิ่งที่สำคัญ คือ ในช่วงสมัย“ราชวงศ์สจ๊วต” มีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่อังกฤษถูกปกครองด้วยพระราชินีอังกฤษ กับพระสวามีที่เป็นชาวดัตช์คือ “พระเจ้าวิลเลียมออเรนจ์ หรือพระเจ้าวิลเลียมที่ 3 แห่งอังกฤษ“ (William Henry) ในช่วงนั้น อังกฤษเองต้องต่อสู้กับฝรั่งเศสต้องใช้กองเรือ พระองค์บอกว่า.. เราไม่มีเงินสร้างกองเรือ ก็เลยตั้งองค์กรขึ้นมาหนึ่งองค์กร ซึ่งอยู่จนถึงปัจจุบันเพื่อระดมทุน องค์กรนั้นมีชื่อว่า ”แบงค์ออฟ อิง แลนด์“ (bank of england) ซึ่งก็คือธนาคารแห่งชาตินี้ละ เริ่มต้นเกิดขึ้นมาเพื่อต้องการระดมทุน
เพราะฉะนั้นมิติทางการเงิน อาจจะมีการถามว่า.. สมัย”พระเจ้าเฟลิเปที่ 2 แห่งสเปน“ ทรงเอาเงินมาจากไหน?? วิธีของสเปนคือ การไปเอาทองคำมาจากอเมริกาใต้ แล้วก็เอาทองคำพวกนี้กับน้ำตาลเทเข้ามาขายในยุโรป เพราะฉะนั้นพระองค์ก็ทรงมีเงิน พระองค์ทรงมีความมั่งคั่ง แต่อังกฤษใช้วิธีแบบนี้ เราจะเห็นชื่อบริษัทแบบนี้ รวมถึงเมื่อสักครู่จำได้ไหมว่า.. “ดยุกแห่งยอร์ก“ ผู้สามารถบัญชาการกองเรือ จนกระทั่งครอบครอง ”นิวอัมสเตอร์ดัม” ที่บางคนเรียก ”ฮอลแลนด์“ จนกระทั่งกลายมาเป็น “นิวยอร์ก” ได้
1
“พระเจ้าวิลเลียมออเรนจ์ หรือพระเจ้าวิลเลียมที่ 3 แห่งอังกฤษ“ (William Henry)
ยังมีหนึ่งบริษัทที่ถูกตั้งขึ้นมาในยุคของพระองค์ด้วย บริษัทนั้นมีชื่อว่า..“บริษัทรอยัลแอฟริกัน”ก่อตั้งโดย “พระเจ้าเจมส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ” ชื่อก็บอกอยู่ว่า “แอฟริกา” ทำอะไรล่ะ? คำตอบคือ “ค้าทาส“ ระหว่างแอตแลนติก เพราะฉะนั้นทาสในยุคแรกๆ ก็คือตรงกับสมัยราชวงศ์์สจ๊วตของอังกฤษ ทาสจะมีการสลักเอาไว้ที่อกว่า ”ดีโอวาย “ (DOY = The Duke of York) เพราะทุกอย่างจะเห็นว่าราชสำนักเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง
ซึ่งต้องยอมรับอังกฤษแบบนี้ว่า.. พระราชอำนาจไม่ได้เยอะ ตั้งแต่วิวัฒนาการทางการเมืองของเขา แต่สิ่งที่เขาคิดคือ การรวมตัวกันและการเงินสำคัญยิ่ง การตั้งเป็นบริษัทเพื่อที่จะระดมทุนได้ ซึ่งจากโมเดลธุรกิจของทั้ง 2 ประเทศนี้ สรุปง่ายคือ สเปนจะเป็นแบบซื้อมาขายไป ในขณะที่อังกฤษจะเป็นเหมือนการปล่อยหุ้นกู้ คือระดุมทุนมาก่อนเลย แล้วได้กำไรก็จะมาแบ่งกัน พอเล่ามาถึงตรงนี้ หลายๆคนน่าจะเริ่มเห็นภาพล่ะ ตลาดหุ้นน่าจะมาจากประเทศอะไร? เดาไม่ยากเลย ”อังกฤษ“ ครับ แต่เดียวจะมาเล่าในโอกาสต่อไป
จากที่เล่ามาในมุมของอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็น “เชิร์ช ออฟ อิงแลนด์ ”(Church of England) เป็นเรื่องศาสนา , เรื่องพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 เป็นเรื่องชู้สาว , เรื่องของการตั้งบริษัทเพื่อระดุมทุนเป็นเรื่องของการเงิน , เรื่องเทคโนโลยีทางเรืออย่างเรือก็อดสปีด (godspeed) ก็จะเป็นในเรื่องของกองทัพ ซึ่งถ้าจะเล่าในมุมของการล่าอาณานิคมแต่เพียงอย่างเดียว เราก็จะเห็นแต่ความยิ่งใหญ่ของกองทัพ แต่ไม่รู้ที่มาที่ไป และจากที่เล่ามาทุกอย่างมันม้วนเข้ามาเป็นก้อนเดียวกันหมด เป็นปัจจัยที่ทำให้อังกฤษยิ่งใหญ่
ภาพพื้นที่แถวกัว (GOA)
คนอังกฤษเขาเรียกอินเดียว่าเป็น ”เคราน์ จู เอิล(Crown Jewels) เป็นเพชรยอดมงกุฎ“ และเราจะต้องไปอินเดีย แต่การไปอินเดียเนี่ยจะต้องยอมรับอิทธิพลของโปรตุกีสกับเฟรนยังมีอยู่ เพราะว่าโปรตุเกสครอบครองพื้นที่แถวกัว (GOA) เป็นพื้นที่ตอนใต้ทางตะวันออก พูดง่ายๆต่ำกว่า”มุมไบ“ลงมานิดนึง ส่วนนั้นเป็นพื้นที่ของโปรตุเกสเพราะฉะนั้นเราจะไม่แปลกใจ ถ้าบอกว่า ”ท้าวทองกีบม้าซึ่งเป็นเมียของเจ้าพระยาวิไชเยนทร์“ เป็นลูกครึ่งโปรตุกีส อินเดีย ญี่ปุ่น เพราะเขามาจากพื้นที่นั้น
เข้ามาจากพื้นที่นั้นเรียบร้อย อังกฤษเดินเรือไป จุดนี้ยังไม่เหมาะ เราครอบครองอินเดียทั้งประเทศไม่ได้ “ชมพูทวีป” ที่เรียกอินเดียในปัจจุบัน มีขนาดใหญ่กว่าประเทศไทย 6 เท่า ประเทศไทย 500,000 กว่าตารางกิโลเมตร ส่วนอินเดีย 3.2 ล้านตารางกิโลเมตร อังกฤษบอกเราไม่สามารถครอบครองได้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นอังกฤษได้ตั้งศูนย์กลางอีกทิศหนึ่งของอินเดีย ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือก็คือ “เมืองโกลกาตา” แล้วเราจะค่อยๆ ขยายอำนาจเข้าไปทีละนิดทีละนิด จนในที่สุด
“เมืองโกลกาตา”
เมื่อโปรตุเกสและฝรั่งเศสอ่อนกำลัง พวกเขาก็ออกไป สุดท้ายอังกฤษจะกลายเป็นผู้ปกครองการเข้าไปครั้งแรกไม่ใช่ในฐานะของราชสำนักอังกฤษ แต่เป็น “บริติชอีสต์อินเดีย”(British East India) บริษัทมาอีกแล้ว บริษัทที่มีกองทัพ บริษัทประเทศไทย ไม่มีกองทัพ เล่าตลกนะ แต่สมัยนั้นเป็นแบบนั้น บริษัทเขามีกองทัพเข้าไปยึดครอง และวิธีการของอังกฤษที่น่าสนใจมากคือ ถ้าเราไปรบเนี่ยเราเสีย เอาแบบนี้ดีกว่า เราเล่นการเมือง
อินเดียเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ แล้วเป็นพื้นที่ที่มีความแตกต่างทางศาสนา ทางความเชื่ออินเดียในช่วงโมกุล ราชวงศ์สุดท้ายเป็นอิสลาม คนอินเดียเป็นฮินดูส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้นเนี่ยผู้ปกครองรัฐต่างๆ ของอินเดีย ถ้าเป็นเจ้าครองนครที่เป็นฮินดูเรียกว่า “มหาราชา“ ถ้าเกิดว่าเป็นชาวมุสลิมเรียกว่า ”นาวาบ“ (NAWAB) เราเล่นให้พวกเขาเนี่ยสู้กันก็แล้วกัน เราให้ผลประโยชน์กับนาวาบคนนี้ เพื่อไปสู้กับมหาราชาคนนี้ เพื่อที่จะค่อยๆกินอินเดีย โดยใช้ทรัพยากรทางทหารน้อยที่สุด
The Kingsman (ออร์ลันโด ออกซ์ฟอร์ด คือคนภาพบนสุด)
หลายท่านอาจจะติดภาพของคนอังกฤษว่า ”เป็นสุภาพบุรุษ“ แต่ผมจะขออ้างอิงจากคำพูดของตัวละคร ”ออร์ลันโด ออกซ์ฟอร์ด“ (เรล์ฟ ไฟนส์ นักแสดง)ในหนังเรื่อง ” The Kingsman“ ซึ่งในเรื่องเขาเป็นอภิสิทธิ์ชนชาวอังกฤษ กล่าวว่า “บรรพบุรุษของเราเป็นคนถ่อย พวกเขาปล้น สะดม โกหก และฆ่า จนกระทั่งวันหนึ่งบอกว่า.. พวกเราเป็นผู้สูงศักดิ์ แต่เกียรติยศเหล่านี้ไม่ได้มาจากความกล้าหาญ แต่มันมาด้วยความแข็งแกร่งและความเหี้ยมโหด”
“Our ancestors , They were terrible people. They robbed , lied , pillaged and killed, until one day they found themselves noblemen. But that onbility, it never came from chivalry. It came from being tough and ruthless”
ซึ่งถ้ามองย้อนกลับไปสิ่งที่อังกฤษทำมีคุณูปการต่อประเทศเป็นอย่างมาก วิธีการที่อังกฤษจะเข้าไปเพื่อบริหารอาณานิคมถือเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าอังกฤษเข้าไปที่อินเดียแล้วใช้ทหารทั้งหมดในการควบคุม มีแต่ตายกับตาย ยื่นผลประโยชน์ให้กับนาวาบคนนี้ เพื่อไปคานดุลอำนาจกับมหาราชา
ที่สุดแล้ว อังกฤษก็ค่อยๆขยายอำนาจ ถ้าจะถามว่า.. อังกฤษสามารถครอบครองอินเดียได้เมื่อไหร่?? ก็ประมาณศตวรรษที่ 18 จริงๆ อังกฤษเข้าไปก่อนหน้านั้นประมาณร้อยกว่าปี เข้าไปทีละนิดทีละน้อย จนกระทั่งเกิดสงครามที่เราเรียกว่า.. “สงครามปลาศี” (Plassey) ประมาณสักปี 1757 สงครามปลาศีเป็นการประกาศว่า.. ”อังกฤษภายใต้บริติชอีสต์อินเดียจะทำการยึดครองอินเดียทั้งหมด“ ยุคนั้นก็เรียกกันว่า “บริติชราช”(British Raj Colony)
ฝากกดถูกใจ กดแชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ
Reference ตอนที่ 3 สุภาพบุรุษ จอมโหด
โฆษณา