18 มิ.ย. เวลา 10:00 • ประวัติศาสตร์
อังกฤษ

จักรวรรดิอังกฤษ ดวงอาทิตย์สาดแสงสู่ช่วงเวลาอับแสง ตอนที่ 4 ครอง 4 ทวีป

อังกฤษหลังจากที่เข้าไปครอบครองอเมริกา ปี ค.ศ.1606 เจมส์ทาวน์ อยู่มาประมาณสัก 100 กว่าปี คนอังกฤษที่เกิดในอเมริกา ไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นบริติช เพราะว่าเขาถูกรีดไถ โดยกองกำลังของรัฐบาลอังกฤษ เริ่มต้นมีความเป็นอเมริกันชนแล้ว ไม่ไหวละ เราต้องปลดแอก
ค.ศ.1776 สิบสามอาณานิคม (Thirteen Colonies) จึงประกาศเอกราชจากอังกฤษ มันเป็นการที่บอกว่าเราไม่ไหวแล้ว อังกฤษสู้ไม่ได้เพราะว่าอเมริกาตอนนั้นเริ่มต้นแข็งแกร่งแล้ว อเมริกาเองไม่ใช่เป้าหมายหลักของอังกฤษ การส่งกำลังเข้าไปต่อสู้กับคนอเมริกันที่เกิดที่นั่นได้ไม่คุ้มเสีย
จอร์จ วอชิงตัน (George Washington)
อังกฤษก็ถอนกำลังออกมา แต่ในครั้งนั้น จอร์จ วอชิงตัน ได้รับการช่วยเหลือจากอีก หนึ่ง อาณานิคมในพื้นที่อเมริกาที่ฝรั่งเศสไปตั้งเอาไว้เพียงแต่ฝรั่งเศสไปตั้งแต่ตอนใน เรียกว่าลุยเซียนา ก็คือพระเจ้าหลุยส์เป็นคนตั้งนั่นแหละ ฝรั่งเศสก็ให้การช่วยเหลือ จอร์จ วอชิงตัน สามารถประกาศเอกราชจากอังกฤษได้
มีความหมายว่าอังกฤษเสียสหรัฐอเมริกา แต่ 10 ปี ต่อมาด้วยความสามารถในเรื่องของการเดินเรือและความสามารถในการกำหนดทำเลสำคัญของโลก อังกฤษทดแทนอเมริกาด้วยการยึดออสเตรเลีย
ณ ขณะนั้นทั่วโลกไม่มีใครคิดถึงออสเตรเลียซึ่งอยู่ที่ตะวันออกไกล แทบจะสุดขอบโลกแล้ว คนที่เคยเดินทางผ่านออสเตรเลียมีมาแล้ว 2 ชาติ ชาติที่ 1 คือชาวดัตช์ เพราะอยู่ใกล้ปาปัวนิวกินี ปรากฏว่า ชาวดัตช์บอกว่า “ที่นี่ไม่มีอะไร เดินเรือผ่าน” ชาติที่ 2 ฝรั่งเศสเดินทางไปทีเกาะแทสเมเนีย “ไม่มีอะไร ผ่าน” สำหรับอังกฤษ ไปสำรวจมาแล้วมีพื้นที่หนึ่งถ้าทำเป็นท่าเรือจะต้องใหญ่มากน้ำลึกและไม่มีคลื่นลม คือ ซิดนีย์
ภาพการสำรวจออสเตรเลีย 1606 Willem Janszoon (สีดำ) 1606 Luis Vaez de Torres (สีคลีม) 1616 Dirk Hartog (เขียว) 1619 Frederick de Houtman (สีเหลือง) 1644 Abel Tasman (น้ำตาล) 1696 Willem de Vlamingh (เทา) 1699 William Dampier (น้ำเงิน) 1770 James Cook (ม่วง) 1797–99 George Bass (ฟ้า) 1801–03 Matthew Flinders(แดง)
ในขณะที่ชาติอื่นมองข้ามไป แต่อังกฤษเห็นบางสิ่งบางอย่างที่คนอื่นมองไม่เห็น ผมเคยเกริ่นไว้ว่าการมีตาที่ไม่ใช่แค่ตาเนื้อ แต่ด้วยการศึกษาภูมิศาสตร์ ความเข้าใจทำเลทอง ทำให้ชาติเขามีมุมมองในแบบที่เราก็คิดไม่ถึง
จะขอโดดไปเล่าเรื่องของประเทศจีนหน่อย ข้าหลวงชาวจีนถามคนอังกฤษในช่วงเวลานั้นว่า “ท่านชนะสงครามเหนือเราทำไมท่านเลือกเกาะเล็กๆที่ไม่มีคุณค่า” คนอังกฤษตอบว่า “เกาะเล็กๆนี้น้ำลึกและไม่มีคลื่นลมแปลว่าเรือสินค้าใหญ่เข้าได้ไง” เกาะที่ว่านั้นคือ ฮ่องกง เพราะอังกฤษต้องการท่าเรือใหญ่
คือสามารถขนวัสดุก่อสร้างจากอังกฤษตั้งบ้านแปลงเมืองได้ทั้งหมดเลย สำหรับออสเตรเลีย อังกฤษมองว่าพื้นที่ออสเตรเลียสุดขอบโลกตรงนี้ วันหนึ่งมันจะกลายเป็นทำเลสำคัญทางยุทธศาสตร์เพราะเรามีขอบโลกเป็นของเรา ซึ่งก็จะมีบทบาทในสงครามโลกครั้งที่ 2
1
พระเจ้าจอร์จที่ 3 พระมหากษัตริย์แห่งบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ เจ้าผู้ครอง/พระมหากษัตริย์เเห่งฮันโนเฟอร์
หลังจากที่ยึดครองอินเดียได้แล้ว เป้าหมายต่อไปคือ ต้าชิง พระเจ้าจอร์จที่ 3 (George lll of the United Kingdom) จริงๆแล้วก็คงไม่ใช่แค่พระองค์ แต่ก็คือรัฐสภาอังกฤษ คิดมาแล้ว เราจะต้องส่งข้าหลวงเราไปสำรวจ ต้าชิงเป็นยังไง พระองค์ก็เลยส่งคณะทูตไป พระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งราชวงศ์ฮันโนเฟอร์ อันนี้ถัดมาอีก 2 ราชวงศ์
พระเจ้าจอร์จที่ 3 ส่งข้าหลวงทีมีชื่อว่าจอร์จ แม็กคาร์ตนีย์ (George McCartney) เดินทางไปที่ปักกิ่ง และขอเข้าเฝ้าพระจักรพรรดิเฉียนหลง ตอนนั้นปีท้ายๆ ของพระจักรพรรดิเฉียนหลง ที่สุดทางด้านของแม็กคาร์ตนี ต้องเดินทางขึ้นเหนือไปจากปักกิ่งสู่นอกแพงเมืองจีน คือพระราชวังเฉิง เต๋อเป็นพระราชวังฤดูร้อนอยู่นอกกำแพงเมืองจีน เพราะพระจักรพรรดิ์จะไปล่าสัตว์ แม็กคาร์ตนีขึ้นเหนือไป ไปเข้าเฝ้าพระองค์เรียบร้อย
แต่ไม่ได้ไปเฉยๆ ตอนไปเอาคณะไปทำแผนที่ ซึ่งแผนที่ของอังกฤษไม่ใช่แผนที่ทางบกอย่างเดียว ทำแผนที่ทางทะเลควบคู่ไปด้วย ทุกโขดหิน ทุกกระแสน้ำ ทุกร่องน้ำอยู่ในมืออังกฤษหมด ขึ้นเหนือไปและกลับลงมาอังกฤษจึงมีแผนที่จีน ดีกว่าที่ประเทศจีนพัฒนามา 5000 ปี สิ่งที่น่าสนใจคือ การให้ความสำคัญเกียวกับเรื่องแผนที่ศาสตร์ เรื่องของภูมิศาสตร์ มันเป็นเหมือนดีเอ็นเอของพวกเขา
จอร์จ แม็กคาร์ตนีย์ (George McCartney) เอิร์ลแม็คคาร์ทนีย์ที่ 1
เอาตั้งแต่โรงเรียนแผนที่ที่โปรตุเกสของเจ้าชายอิงฟังตึเอ็งรีกึ มันอยู่ในดีเอ็นเอฝรั่ง เขาก็สามารถเดินทางไปได้ทุกจุด รู้ว่าพื้นที่ต้าชิงตามชายฝั่งเป็นยังไงและเดี๋ยวจะมาเล่าต่อ ว่านอกจากฮ่องกง เกิดอะไรขึ้น
หลังจากที่อังกฤษชนะสงครามฝิ่นเหนือต้าชิงในปี ค.ศ.1842 ในช่วงเวลานั้นมีการเซ็นสัญญากัน ที่เรียกสนธิสัญญานานกิง หนึ่ง ในเงื่อนไขคืออังกฤษบังคับให้ต้าชิงนั้นต้องเปิดเมืองท่า 5 แห่ง กว่างโจว เซียะเหมิน ฝูโจว หนิงโป และเซี่ยงไฮ้ รวมถึงยกเกาะฮ่องกงและเกาะเล็กเกาะน้อยที่อยู่โดยรอบเป็นเขตเช่าของอังกฤษ 99 ปี ที่สุดแล้วอังกฤษก็สามารถเข้าไปมีอิทธิพลเหนือต้าชิง
ณ เวลานั้นถ้ามองแผนที่โลก ประเทศที่ใหญ่ที่สุดอันดับที่ 2 ของโลก คือ แคนาดาตกอยู่ในมืออังกฤษ ออสเตรเลีย อินเดีย เอเชีย แอฟริกาบางส่วน ทั้งหมดอยู่ในมืออังกฤษเยอะมาก อย่างที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าคำกล่าวที่ว่า จักรวรรดิที่ดวงอาทิตย์ไม่เคยตก ก็เรียกได้ว่าสมกับคำกล่าว และปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อังกฤษยิงใหญ่คือการที่เขามีตาที่ 3 มันบอกแล้วว่าทำให้เขาสามารถเดินเข้าไปถูกจุดด้วย
2
อาณานิคมทั่วโลกของอังกฤษ
ทวีปแอฟริกาปัจจุบันประมาณ 59 ประเทศด้วยกัน ทวีปแอฟริกาหลายคนบอกว่าเขาถูกเดินหน้าเข้าไปควบคุมเป็นเมืองขึ้นได้อย่างไร ที่ผ่านมาที่เราได้อ่านกันไม่ว่าจะเป็นการค้าทาส การกดขี่ สงคราม ทั้งหมดอยู่รอบชายฝั่งแอฟริกาหมดเลย ไม่มีใครกล้าเข้าไปในใจกลางแอฟริกา สาเหตุเพราะ ยุง คนยุโรปเข้าไปถึงส่วนใหญ่จะตาย ตายเพราะมาลาเรีย
จนกระทั่งวันหนึ่ง นักสำรวจชาวอังกฤษเดวิด ลิฟวิงสโตน ( David Livingstone) เข้าไปในใจกลางแอฟริกาพร้อมกับลูกน้อง ลูกน้องบอกว่าถ้าเรามียาก็ดีนะ หลังจากนั้นกษัตริย์เบลเยียมชื่อกษัตริย์เลโอโปลด์ที่ 2 บอกกับคณะสำรวจว่า ลองพัฒนายาดูหน่อย มีอะไรต้านพิษยุ่งได้บ้าง ยานั้นมีชื่อ ควินิน (Quinine)
มีความหมายว่ามีเกราะป้องกันแล้ว เข้าไปได้ หลังจากนั้นชาติยุโรปเริ่มต้นหันหน้ามองหน้ากัน เราจะแบ่งเค้กแอฟริกากัน ค.ศ.1884 ชาติยุโรป 8 ชาติและอเมริการวมตัวกันแบ่งเขตแอฟริกาเรียกว่า อาณานิคมในแอฟริกา (Scramble for Africa) และประเทศที่ยึดครองได้มากที่สุดคือฝรั่งเศส
แผนที่แอฟริกาของฝรั่งเศส ค.ศ. 1911 ด้วยการอ้างสิทธิ์ สีเหลืองคืออาณานิคมอังกฤษ; สีชมพูคืออาณานิคมฝรั่งเศส; สีส้มให้เบลเยี่ยม; สีเขียวในเยอรมนี; สีม่วงในโปรตุเกส; สีชมพูเข้มในอิตาลี; สีส้มเข้มในสเปน; สีน้ำตาลในเอธิโอเปีย
แต่มีทะเลทราย ซาฮาร่า เพราะฉะนั้นเป็นพื้นที่ทำอะไรไม่ได้ อังกฤษอันดับที่ 2 และอังกฤษได้เนื้ออร่อยไป หนึ่งในนั่นคืออียิปต์และซูดานซึ่งมีน้ำมันเยอะ ถามว่าตรงนี้มันมีความสำคัญยังไง การแบ่งตรงนั้น อาณานิคมในแอฟริกา (Scramble for Africa) ต้องบอกว่าใช้เวลาเพียงแค่ 30 ปี แบ่งทั้งหมดโดย 8 ชาติด้วยกัน
ขอมาโฟกัสที่อังกฤษก่อน ช่วงนั้นสามารถขยายอำนาจได้เร็ว เพราะในช่วงนั้นโลกใบนี้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมไปแล้วและการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ว่าถึงทำให้เกิด 3 สิ่งที่มีความสำคัญ 1 มีรถไฟแล้ว เวลาพวกเขาเดินกำลังพล เข้าลำเลียงพลเป็นหลักพันหลักหมื่นได้ด้วยรถไฟ เร็วขึ้นแน่นอน 2 มีเรือกลไฟ เครื่องจักรไอน้ำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การเดินทางทุกน่านน้ำง่ายขึ้น 3 อังกฤษผลิตปืนกลได้แล้ว
เพราะฉะนั้นสามารถเดินหน้ายึดครองแอฟริกาได้ อังกฤษน่าจะได้ประมาณสัก 30% ของทั้งทวีปแอฟริกา เพราะฉะนั้นอังกฤษมีอาณานิคมในทุกๆทวีป คือการปฏิวัติอุตสาหกรรม มีในทุกประเทศทางยุโรป โดยเริ่มมาจากความอยากรู้ ทำการทดลอง อย่างสกอตแลนด์มีมหาวิทยาลัย มากกว่าอังกฤษด้วยซ้ำมี 5 แห่ง ในยุคเรอเนซองส์ อังกฤษมี 2 แห่งคือ อ็อกฟอร์ด (Oxford)กับเคมบริดจ์ (Cambridge)
1
อ็อกฟอร์ด (Oxford)กับเคมบริดจ์ (Cambridge) ตามลำดับ
อังกฤษตื่นรู้ทางปัญญาและเริ่มต้นทำการทดลองสิ่งต่างๆเยอะมากจนกระทั่งที่สุด นำพาพวกเขาสู้ความยิ่งใหญ่ได้ ถ้าถามว่าปฏิวัติอุตสาหกรรมเริ่มเมื่อไหร่ เริ่มต้น ค.ศ.1730 แต่กว่าที่คนจะเห็นและสัมผัสได้ถึงวิทยาการที่อังกฤษเองก็ดี ชาติต่างๆ เพียรพยายามศึกษาวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ก็อีกร้อยกว่าปี ค.ศ.1830 เราได้เห็นนวัตกรรมที่เป็นเครื่องจักรเครื่องกล
พูดง่ายๆมีการสั่งสมองค์ความรู้ต่างๆมา สิ่งแรกคือเครื่องปั่นด้าย (SPINNING JENNY) ทำไมต้องเครื่องปั่นด้าย เพราะวัตถุดิบด้ายมีแล้วจากอินเดีย นำเข้ามาเพราะฉะนั้นทุกอย่าง มันทะลักเข้ามาเรียบร้อยแล้วเหลือจะแปรรูปมันอย่างไร เริ่มต้นมีเครื่องจักรไอน้ำ จากนั้นค้นพบการใช้ถ่านหิน สิ่งต่างๆเริ่มต้นที่แมนเชสเตอร์์ จากแมนเชสเตอร์มีคนเป็นหลักหมื่น กลายเป็นหลักแสนภายในแค่ไม่กี่ปีกลายเป็นศูนย์กลางขึ้นมา
1
เพราะฉะนั้นวิทยาการต่างๆที่อังกฤษมีการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงการแพทย์ ช่วงนั้นสั่งสมองค์ความรู้แล้ว มันมาระเบิดกันในครั้งเดียวในปี ค.ศ.1830 ทรัพยากรเริ่มต้นมีไม่จำกัด เพราะต้องไม่ลืมว่า เขาอยากจะได้ถ่านหิน น้ำตาล ยาง ปาล์มทุกอย่างมีหมด ถ้าเกิดว่าเขาไม่มีทรัพยากรมากมายเหล่านี้ก็อาจจะทำให้การปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดขึ้นมาไม่ได้
เครื่องปั่นด้าย (SPINNING JENNY) พิพิธภัณฑ์และหอศิลป์แบล็คเบิร์น (Spinning jenny at Blackburn Museum and Art Gallery)
เพราะฉะนั้นที่สุดทุกอย่างรวมตัวกัน จนกระทั่งกลายเป็นว่าบริติชเอ็มไพร์กลายเป็นจักรวรรดิที่มีความมั่งคั่ง ไม่ว่าจะเป็นในเชิงของพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นในเชิงวิทยาการ ในเชิงของการเงิน ซึ่งอย่างที่เราเห็น บริษัทต่างๆก็ทำการค้ากันมากมายมหาศาลเพราะฉะนั้นก็เลยกลายเป็นจักรวรรดิที่ยืน หนึ่ง บนโลกใบนี้
ถ้าจะถามว่า ทำไมอังกฤษจริงๆแล้วคงความเป็น หนึ่ง ในโลกนี้ได้แค่ประมาณ 300 กว่าปี น้อยกว่าโรมัน ออตโตมันครองพื้นที่ทั้งหมด ถ้าคิดแบบเต็มราชวงศ์ 600 กว่าปี เอาเฉพาะช่วงที่ยึดครองยุโรป 400 กว่าปี แต่อิทธิพลในเชิงวัฒนธรรม ภาษา ระบบการเงิน
ด้วยความที่เขาเนี่ยมีเมืองขึ้นอยู่ในทั่วทุกมุมโลกแทบทุกทวีปจนที่สุดแล้ว บริติช ปอนด์สเตอร์ลิง เลยกลายเป็นสกุลเงินที่ทรงอำนาจที่สุดในโลก เพราะก่อนที่เราจะเข้าใจว่าดอลลาร์แข็งแกร่งในวันนี้ ต้องบอกว่าก่อนหน้านั้นคือปอนด์สเตอร์ลิง
สำหรับภาษาเพราะทุกคนจำเป็นต้องพูดภาษาอังกฤษเหมือนกันเพราะมันมีหลายดินแดนมากและภาษาต้องยอมรับ ว่าการที่มหาอำนาจโลกพูดภาษานั้น ทำให้ภาษานี้เป็นภาษากลางที่ทุกคนสื่อสารกันหมด ภาษากลาง (common language ) มันเลยกลายเป็นอำนาจที่อยู่ซ่อนอยู่ของบริติชเอ็มไพร์มาโดยตลอด
นี้คือความแตกต่างจากมหาอำนาจอื่นๆในอดีต คือมันยังทรงอิทธิพลจนถึงวันนี้ เพราะมันมีเรื่องของเชิงวัฒนธรรมหรือเชิงการเงินตรงนี้ด้วย ถึงตรงนี้ อังกฤษครอบครองทั้ง อินเดีย มีอิทธิพลในจีน มีอิทธิพลมากมาย เอเชียตระวันออกเฉียงใต้(Southeast Asia) เช่น แหลมมลายู ดังนั้นถ้าถามว่าอังกฤษเริ่มต้นดิ่งลงเมื่อไหร่ต้องบอกว่าสงครามโลก 2 ครั้ง ทำให้อังกฤษกลายเป็นคนจน
1
ซึ่งในทุกประเทศจะมีช่วงที่รุ่งโรจน์และโรยรา เดียวตอนหน้าเราจะมาติดตามช่วงเวลาที่ถือว่าเป็นช่วงที่ยากลำบาก เป็นขาลงของอักฤษแล้ว เรียกได้ว่าเป็นช่วงถังแตกก็ว่าได้ แล้วอังกฤษกลับมาผงาดเป็นสิงโตที่ยิ่งใหญ่ได้ยังไง ติดตามตอนหน้าครับ
ฝากกดถูกใจ กดแชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ
Reference ตอนที่ 4 ครอง 4 ทวีป
โฆษณา