15 มิ.ย. เวลา 04:00 • ไลฟ์สไตล์

ความสุขเจ้าเอย...

ผมนั่งอ่านหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจแบบเดิมๆคือพิมพ์เป็นฉบับ
นั่งอ่านช่วงเช้าๆ
หนังสือพิมพ์บางลงไปตามเวลาแต่ยังคงติดตามอ่านอยู่เพราะชอบอ่านฉบับพิมพ์มากกว่าอ่านผ่านจอ
มันคือความสุขเล็กๆในยามเช้าที่ได้หยิบจับกางหนังสือพิมพ์ออกมาอ่านไล่ไปเรื่อยๆ
ไม่ใช่ปัดขึ้นลงซ้ายขวา
แบบนั้นมันจะเกิดออฟฟิศซินโดรมได้
ผ่านตาที่คอลัมน์อาหารสมองโดยอ.วรากรณ์ สามโกเศศ ลงวันที่6ก.พ.67 ก็สะดุดกับชื่อ ข้อแนะจากวิชาความสุข
คอลัมน์ที่นำเสนอครับ
อ.เขียนไว้ว่าปี2561ม.Yale มีวิชาที่ว่าด้วยความสุข(Psychology snd The Good Life) เป็นที่นิยมของนักศึกษามาก ลงเรียนกัน1200กว่าคน ต่อมาช่วงโควิดก็เปลี่ยนเป็นออนไลน์ มีคนลงทะเบียนเรียนถึง3.3ล้านคน
ผู้เข้าเรียนส่วนใหญ่บอกตรงกันว่าวิชานี้ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างสำคัญ และวิชานี้ก็แพร่หลายไปยังมหาวิทยาบัยอื่นๆด้วย
อ.เล่าว่าจุดเริ่มต้นมาจากแนวคิดของMartin Seligman นักจิตวิทยาช่วงทศวรรษที่1990ว่า วิชาจิตวิทยาควรเน้นที่การพัฒนาสุขภาพจิตแทนการแก้ไขปัญหาสุขภาพจิตดังที่เป็นมา
ดังนั้นสาขาวิชาPositive Psychologyจึงเกิดขึ้น เน้นไปที่ความเข้มแข็งของบุคลิกภาพและพฤติกรรมที่ทำให้ปัจเจกสร้างชีวิตที่มีความสุข มีความหมายและเป้าหมายได้
ข้อแนะนำมีราว10ข้อครับ
1.ยิ้ม
2.จดความรู้สึกขอบคุณต่อสิ่งต่างๆใน1วันที่ผ่านมา
3.ทำสิ่งที่ทำให้เกิดความพึงพอใจในแต่ละวัน
4.คุยกับเพื่อน คนรู้จัก คนแปลกหน้าบ้าง
5.รับฟังความคิดเห็นจากผู้อื่น
6.เดินท่ามกลางธรรมชาติ
7.ทำสิ่งที่เรียกว่าเมตตาต่อผู้อื่น
8.นึกถึงความโชคดีและรู้สึกขอบคุณเสมอ
9.ยกโทษให้ตัวเอง
10.มีความคิดริเริ่มเช่นการจดไอเดียแล้วทำตาม
อ่านดูแล้ว เออ พอจะทำไหวอยู่เหมือนกัน
และข้อที่ว่าคือยิ้มนี่ล่ะครับ
ดูจะง่ายและเป็นประโยชน์ที่สุดอย่างหนึ่งจากทั้งหมด
ต่อกันกับคอลัมน์บ้านเขาเมืองเราโดยอ.ไสว บุญมา ลงวันที่29มี.ค.67
คอลัมน์ที่ว่าครับ
อ.เขียนถึงรายงานความสุขโลก(World Happiness Report)ที่ว่าชาวฟินแลนด์มีความสุขที่สุดในโลกเป็นปีที่7ติดต่อกัน แต่พวกเขามักไม่ค่อยยิ้มแย้มแจ่มใส ต่างจากคนไทยที่ยิ้มกันจังแต่มีความสุขในลำดับที่58
อ.เขียนถึงปัจจัยที่พวกเขาไม่ค่อยยิ้มน่าจะเป็นเพราะภาวะอากาศที่หนาวเย็นและในบางช่วงก็ไม่มีแสงแดดส่องสว่างอยู่หลายเดือนติดต่อกัน
อ.ยกนิตยสาร U.S. News & Wofld Reportที่นำเสนอปัจจัยสร้างสุขของชาวฟินแลนด์ไว้5ปัจจัยครับ
1.ระบบสวัสดิการอันเข้มแข็ง(รวมถึงบำนาญ การพยาบาลและอื่นๆ)
2.ความเท่าเทียมกันทางเพศ
3.การให้ความสำคัญสูงแก่ครอบครัว
4.การให้ความสำคัญสูงต่อสิ่งแวดล้อม
5.มีการศึกษาสูง
แต่อ.สรุปปัจจัยอีก3อย่างที่ทำให้ชาวฟินแลนด์มีความสุขกว่าชาวไทยอย่างมีนัยสำคัญคือ
1.รายได้ของชาวฟินแลนด์สูงกว่าไทย-มากกว่าไทย2.5เท่า
2.ความเหลื่อมล้ำของฟินแลนด์น้อยกว่าไทยตามดัชนีชี้วัดGiniที่26.6 ไทย35.1
3.ความฉ้อฉลของฟินแลนด์น้อยกว่าไทย-ฟินแลนด์โปร่งใสเป็นลำดับ2ของโลก ไทย35 จาก180ประเทศ
หรือว่าเราจะยิ้มกันไปแกนๆแบบไม่รู้จะว่ายังไงหรือทนๆไปเถอะพวกมากกว่าจะยิ้มให้กันอย่างจริงใจ?
ความสุขที่ผมนึกได้...
ในยามละอ่อนน้อย การได้อยู่พร้อมหน้ากับครอบครัวอย่างอบอุ่นคือความสุขที่สุด
ในยามทำงาน งานกับเงินคือลมหายใจเข้าออก
ล่วงเข้าปูนนี้ อโรคยา ปรมาลาภา น่าจะเหมาะ
หรือใครจะเถียงว่าไม่ใช่?
เรื่องความสุขที่พูดถึงมาทั้งหมดผมเห็นด้วยนะ แต่ก็ขอพูดอีกครั้งในฐานะที่ยังทำมาหากินอยู่ในเมือง
เงินหรือรายได้คือปัจจัยสำคัญที่สุดในการดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุขตั้งแต่เกิดยันตาย
ยิ่งมนุษย์ก้าวหน้าและมีชีวิตที่ยืนยาวมากขึ้น เงินหรือรายได้ยิ่งทวีความสำคัญ
เกิดมาก็ใช้เงิน โตมาก็เรียนหนังสือก็ใช้เงิน แก่ตัวสุขภาพดีไม่ดีก็ใช้เงินอีกนั่นล่ะ
ไม่เถียงครับว่าถ้าทำตามคำแนะนำข้างต้น10ข้อนั้นมันน่าจะทำให้ผู้ปฏิบัติตามนั้นมีความสุขเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
ความสุขแบบนี้ผมเรียกเองว่ามันคือความสุขใจ ทำแล้วจิตใจเบิกบาน ไม่ได้ต้องการการตอบแทนอะไร เป็นความสุขที่แท้กับมนุษย์ ไม่ต้องลงทุนเป็นตัวเงิน ถ้าทุกคนทำได้ โลกจะน่าอยู่เพิ่มขึ้นหลายเท่า
เงินทองคือมายา ข้าวปลาคือของจริง
จริงแท้ครับ
แต่ในความเป็นจริงของชีวิตเราในเมืองตอนนี้ เงิน รายได้หรือทุนที่เรามีเป็นตัวหล่อเลี้ยงชีวิตที่สำคัญมาก
เราอยู่โดยปราศจากมันไม่ได้แบบ100% เผลอๆ 99%ที่เราอยู่ได้ก็เพราะมัน
เงินไม่ได้ทำให้เรามีความสุขแบบที่กล่าวมาแต่มันทำให้ปัจเจกอย่างเราๆท่านๆอยู่ได้อย่างอุ่นใจ
พื้นฐานคือกินอิ่ม นอนอุ่น สุขภาพร่างกายดี มีความปลอดภัยในชีวิต งานการมั่นคง สุดท้ายจึงมาช่วยเหลือเผื่อแผ่คนอื่นและทำประโยชน์เพื่อสังคมส่วนรวม
สังเกตดูจะเห็นว่าก่อนที่จะเผื่อแผ่ถึงผู้อื่น ปัจเจกควรอยู่ได้อย่างเป็นสุข เมื่อหลายๆปัจเจกไปรอด พลังเพื่อสังคมจึงเพิ่มพูน และตามมาด้วยสังคมโดยรวมเป็นสุข
นี่ล่ะที่เราต้องการจริงๆ
หลายท่านคงว่าผมคิดแต่เรื่องเงินมากเกินไป ชีวิตไม่ได้มีแค่เงิน มันมีอย่างอื่นด้วย
ครับ แต่ก่อนที่จะมีอย่างอื่นได้ ตัวเราเองก็ต้องรอดด้วย ไม่ใช่เตี้ยอุ้มค่อม
ผมติดใจที่คุณโน้สอุดมเคยบอกไว้ว่า ก่อนจะสโลว์ไลฟ์ได้มันต้องมีเงินก่อนถึงจะทำได้ ไม่ใช่เอะอะก็จะไปสโลว์ไลฟ์ จะเอาอะไรกินกันล่ะ (ท่อนหลังนี้ผมเสริมให้)
เพื่อนผมผ่านเมืองนอกเมืองนามาบอกว่า มึงต้องมีเงินก่อน แล้วมึงจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ ไม่มีเงินมึงก็หมาตัวหนึ่ง
ผมว่ามันคือเรื่องจริง ชีวิตจริง ไม่ได้มองโลกสวยงามตามทุ่งลาเวนเดอร์
cr. google
ขอบอกกล่าวอีกครั้งว่าแม้เรื่องเงินคือเรื่องสำคัญแต่ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต ไม่ควรให้เงินมาครอบงำเราไปทุกเรื่อง ทำอะไรก็เห็นแก่เงินหรือผลตอบแทนไปหมด
บาลานซ์เรื่องความสุขกายกับความสุขใจไว้ดีกว่าครับ
ช่วยเหลือผู้อื่นเท่าที่ตัวเราเองจะทำได้
บริจาคเงินหรือสิ่งของเพื่อคนอื่นบ้างก็ไม่ผิดกติกา
ทำบุญด้วยการลงแรงหรือลงเงินก็ได้คงตามแต่เราสะดวก
ฯลฯ
แค่อย่าทำเกินกำลังของเราผมว่าก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับสถานการณ์ตอนนี้
ความสุขมันอยู่ที่คุณคิดถึงมันอย่างไรและจะทำอย่างไรเพื่อให้มีตัวเรามีความสุข
อ้อ ควรเคารพสิทธิเสรีภาพของคนอื่นๆด้วยนะ ไม่ใช่คิดแต่ของตัวเอง
หน้าที่ ความรับผิดชอบ หิริโอตตัปปะด้วยล่ะ อย่าลืม
จำให้แม่นๆ
cr. google

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา