18 มิ.ย. เวลา 03:05 • ท่องเที่ยว
ลาสเวกัส

เที่ยว Las Vegas เมืองแห่งแสงสีที่ไม่เคยหลับไหล

Chapter 71/7: Las Vegas, the Neon Jungle Story
เที่ยวตามป่าตามเขามาหลาย Blog ถึงเวลามาดูแสงไฟนีออนที่สุดจะอลังการของ Las Vegas กันแล้ว
Las Vegas (ลาสเวกัส) เมืองที่คนอเมริกันและคนทั่วโลกให้ฉายาว่า "Sin City" หรือ "เมืองบาป" โอ้ว…แรงนะเนี่ย แล้วทำไม Las Vegas ถึงได้ถูกเรียกแบบนี้ล่ะ เราไปดูกันค่ะ
จะขอย้อนอดีตไปตั้งแต่ยุคต้นกำเนิดของรัฐ Nevada เลยนะ พอดีไปเจอข้อมูลมาจาก https://www.westgateresorts.com/blog/las-vegas-history/ อ่านแล้วสนุกมากเลย
เดิมทีพื้นที่ของรัฐ Nevada ก็คือทะเลทรายล้วนๆ ที่มีชนพื้นเมืองอเมริกันดั้งเดิมเผ่า Southern Paiute เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณนี้ตั้งแต่เมื่อประมาณปี ค.ศ. 300 มาแล้ว
ต่อมาในช่วงปี 1800 เริ่มมีพ่อค้าชาวยุโรปเดินทางเข้ามาค้าขายที่ Los Angeles และใช้พื้นที่บริเวณนี้เป็นที่พักระหว่างทาง ซึ่งชาวยุโรปกลุ่มแรกที่เข้ามาคือพ่อค้าชาวสเปน และพวกเขาได้ตั้งชื่อพื้นที่บริเวณนี้ว่า Las Vegas (ลาสเวกัส) ซึ่งเป็นภาษาสเปนหมายถึง "ทุ่งหญ้าหรือที่ราบลุ่ม"
ในยุคนั้น Las Vegas ยังเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเม็กซิโก แต่ต่อมาเมื่ออเมริกาทำสงครามชนะเม็กซิโกก็ได้ผนวกเอารัฐ Nevada เข้าไปเป็นดินแดนของตนด้วย แต่พื้นที่บริเวณนี้ก็ยังคงร้างผู้คนเพราะมันกันดารและเต็มไปด้วยอันตราย
จนปี 1864 เมื่อกองทัพสหรัฐฯ เดินทางเข้ามาคุ้มครองความปลอดภัยให้กับผู้คนที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานที่รัฐ Nevada ด้วยเส้นทางรถไฟสายแปซิฟิกที่สร้างขึ้นใหม่จากกองทัพสัมพันธมิตร ทำให้เริ่มมีผู้คนเข้ามาอยู่อาศัยมากขึ้น ความเจริญก็เกิดขึ้นตามมา
โรงแรม Bellagio
บุคคลที่มีความสำคัญต่อความเจริญของ Las Vegas คือ Octavius Gass นักธุรกิจและนักการเมืองผู้มีบทบาทสำคัญในการก่อสร้างทางรถไฟสาย Los Angeles-Salt Lake ซึ่งวิ่งผ่าน Las Vegas และเชื่อมต่อกับส่วนอื่นๆ ของประเทศ ซึ่งทางรถไฟสายนี้ได้ดึงดูดผู้คนและธุรกิจเข้ามายัง Las Vegas มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาระบบสาธารณูปโภครวมถึงระบบชลประทานควบคู่ไปด้วย ทำให้เมืองนี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
เศรษฐกิจของ Las Vegas ยังคงเฟื่องฟูอย่างมาก เนื่องจากในช่วงปี 1931 มีโครงการขนาดยักษ์คือการก่อสร้าง Hoover Dam (เขื่อนฮูเวอร์) (เดี๋ยวจะมาเล่าเรื่องเขื่อนในตอนหน้านะคะ 😄) ซึ่งโครงการนี้ต้องใช้คนเป็นจำนวนมากในการก่อสร้าง จึงเกิดการหลั่งไหลของแรงงานชายเข้ามามากมาย เมื่อมีชายโสดเข้ามารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก สถานบันเทิง สถานบริการทางเพศ และบ่อนการพนันก็เกิดขึ้นตามมาด้วยเช่นกัน
หลังจากการก่อสร้างเขื่อนเสร็จสมบูรณ์บรรดาแรงงานเหล่านี้ก็เริ่มย้ายออกไป แต่มีคนกลุ่มใหม่ที่ย้ายเข้ามาทำธุรกิจแทน นั่นคือ…องค์กรอาชญากรรมหรือ "มาเฟีย" นั่นเอง เนื่องจากพวกเขามองเห็นโอกาสและศักยภาพของเมือง Las Vegas ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว จึงได้สร้างคาสิโนเถื่อนและธุรกิจอื่นๆ ที่ผิดกฎหมายขึ้นมามากมาย
Caesars Palace
ในยุคนั้นการพนันและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังคงเป็นสิ่งผิดกฎหมายในประเทศอเมริกา แต่บ่อนคาสิโนและเหล้าเถื่อนกลับหาได้ง่ายดายในเมืองนี้ จึงทำให้ชื่อเสียงของ Las Vegas ดังกระฉ่อนไปทั่วประเทศ และถูกเรียกว่า "Sin City" นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เมื่อเห็นว่าควบคุมไม่ได้ รัฐบาลท้องถิ่นของรัฐ Nevada จึงพิจารณาข้อดีข้อเสียของการจัดตั้งธุรกิจคาสิโนและบ่อนการพนันต่างๆ จนสุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่า ธุรกิจการพนันจะสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับเมืองและธุรกิจต่อเนื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว ร้านอาหาร โรงแรม
จนในที่สุด สภานิติบัญญัติแห่งรัฐ Nevada ได้ออกกฎหมายให้การพนันสามารถทำได้อย่างถูกกฎหมายในปี 1931 แต่เฉพาะในบางพื้นที่และภายใต้เงื่อนไขที่เข้มงวดเท่านั้น นี่เลยเป็นจุดเปลี่ยนในประวัติศาสตร์ของ Las Vegas ที่ทำให้เมืองนี้กลายเป็นเมืองหลวงแห่งการพนันของโลก
ช่วงแรกมีคาสิโนเพียงไม่กี่แห่งที่ได้รับใบอนุญาต และส่วนใหญ่จะตั้งอยู่บนถนน Freemont Street ซึ่งต่อมารู้จักกันในชื่อ Glitter Gulch เพราะเต็มไปด้วยแสงไฟนีออนสว่างจ้าที่ใช้เพื่อดึงดูดผู้คนให้เข้ามา ซึ่ง Las Vegas เป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่เมืองในยุคนั้นที่มีการประดับประดาไฟในเวลากลางคืน
Mobster ดังๆ ที่เราอาจจะเคยได้ยินชื่อในหนังอย่าง Bugsy Siegel ก็ได้มาลงทุนเปิดโรงแรมหรู Flamingo ขึ้นในปี 1946 และมันได้กลายเป็นสถานที่ยอดนิยมในหมู่ผู้คนในวงการฮอลลีวูดอย่างรวดเร็ว
โรงแรม Flamingo ที่ยังคงความคลาสสิกไม่เสื่อมคลาย
สิ่งที่ Bugsy Siegal สร้างให้กับ Flamingo ได้กลายเป็นมาตรฐานสำหรับโรงแรมที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้น จนทำให้ถนนสายนี้เต็มไปด้วยโรงแรมและคาสิโนสุดหรูจนมันถูกเรียกขานว่า Las Vegas Strip
Las Vegas Strip
Las Vegas Strip เป็นถนนที่มีความยาวประมาณ 4.2 ไมล์ หรือประมาณ 6.8 กม. เท่านั้น แต่มันเต็มไปด้วยโรงแรมและคาสิโนสุดหรูและมีชื่อเสียงที่สุดในโลกหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น Flamingo, Caesars Palace และ Bellagio
Caesars Palace
Bellagio
Las Vegas ไม่เพียงแต่ดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักแสวงโชคเท่านั้น แม้แต่ดารา นักแสดง และนักร้องชื่อดังมากมายไม่ว่าจะเป็น Frank Sinatra, Barbra Streisand, The Beatles และ Elvis Presley ก็เคยมาเปิดการแสดงที่นี่
Las Vegas Strip
ปัจจุบันอิทธิพลของมาเฟียได้เลือนหายไปแล้ว และเมือง Las Vegas ก็กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ปลอดภัย และดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้หลั่งไหลเข้ามามากมาย
รู้มั้ยว่า 1 ใน 3 ของรายได้จากภาษีของรัฐ Nevada ก็มาจากธุรกิจคาสิโนนี่เอง
และปัจจุบัน Las Vegas ไม่ได้ขึ้นชื่อแค่เรื่องของคาสิโนและสถานบันเทิงเท่านั้น มันยังเป็นเมืองยอดนิยมที่ติดอันดับ Top 3 สำหรับจัดการประชุมทางธุรกิจระดับประเทศอีกด้วย
นี่ก็เป็นประวัติย่อๆ ของเมือง Las Vegas หรือ Sin City ที่ผู้คนทั่วโลกรู้จักกัน
เรื่องของเมือง Las Vegas เป็นเรื่องที่เขียนแล้วสนุกมากเลย เพราะเหมือนเราได้อ่านประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเมืองนี้ไปด้วย
1
ไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะเกิดมาจากดินแดนทะเลทรายที่รกร้างไร้ผู้คนและเต็มไปด้วยความกันดาร แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นดินแดนแห่งแสงสี สถานบันเทิง และความหรูหราระดับโลกที่ใครๆ ก็อยากได้มาสัมผัสซักครั้ง
เล่ามาซะยาวเลยเดี๋ยวจะเบื่อกันซะก่อน งั้นเราเข้าไปเดินเที่ยวในโรงแรม Caesars Palace กันดีกว่าค่ะ
บริเวณ Lobby ของโรงแรม Caesars Palace
โรงแรมสุดจะหรูหราเลย มองไปทางไหนก็เห็นแต่นักท่องเที่ยวเต็มไปหมด
พอเข้ามาด้านในโรงแรมแล้ว เรียกว่าแทบจะไม่เห็นเดือนเห็นตะวันกันเลยทีเดียว เพราะมันปิดทึบไปหมด นัยว่าให้นักเสี่ยงโชคไม่ต้องเห็นว่านี่เช้าหรือค่ำจะได้ขลุกอยู่แต่ในนี้ทั้งวัน เพราะยิ่งอยู่นานโอกาสที่คาสิโนจะดูดเงินจากนักเสี่ยงโชคก็ยิ่งมากขึ้นนั่นเอง
ด้านในเค้าจะแบ่งเป็นโซนๆ มีโซนคาสิโนร้านอาหาร และโซนช็อปปิ้ง
ตู้สล็อตที่ดูแล้วเหมือนตู้เกมเลย สีสันสุดจะดึงดูดให้เข้าไปกดซักตา แต่ขอบอก…ไม่ได้เงินอิชั้นหรอกค่ะ เพราะอิชั้นไม่เล่น 😁
โซนที่เป็นโต๊ะเล่น แต่เรียกว่าอะไรไม่รู้ 😅
ตู้แบบดั้งเดิมที่ยังมีให้เห็นอยู่ และยังคงใช้งานได้ด้วย
ข้างในโซนคาสิโนนี่เหม็นบุหรี่มากเลย คิดว่าเค้าคงอนุญาตให้สูบบุหรี่ได้แหละ
มาอีกฝั่งซึ่งเป็นโซนช็อปปิ้งกันมั่งค่ะ
ท้องฟ้าอะไรจะสีม่วงขนาดนั้น
ฝั่งนี้ก็ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเช่นกัน เรียกว่าไปโยกสล็อตฝั่งโน้นได้เงินมาก็เชิญมาช็อปที่ฝั่งนี้ต่อกันเลย 😆
ร้านรวงเยอะโฮกๆ แบรนด์เนมยกกันมาทุกแบรนด์
ช็อปต่างๆ ก็ยังคงเป็นสไตล์โรมัน
เดินตามเสียงเพลงมาจนเจอกับการแสดง Atlantis Show อันนี้
Atlantis Show
ทีแรกนึกว่าเป็นคนแสดง ปรากฎเป็นแค่หุ่นขยับตัวไปมา แต่น่าจะมีอะไรเด็ดกว่านั้นเพราะคนไปยืนดูเยอะมาก แต่เราดูอยู่แป๊บเดียว
มื้อเย็นวันนี้เราจองร้านอร่อยที่มาเปิดสาขาที่ Caesars Palace ด้วย 😋
Peter Luger
Peter Luger นั่นเอง สาขานี้หะรูหะรามากๆ
Jumbo Shrimp Cocktail, Iceberg Wedge Salad
Bacon ชิ้นใหญ่ๆ
US Prime Steak for 3 และ Single Steak
เมนูที่สั่งก็เช่นเคย Jumbo Shrimp Cocktail, Iceberg Wedge Salad, Bacon คนละชิ้น, Steak for 3 และด้วยความหิวดันไปสั่ง Single Steak มาอีกที่แทบจุกเลยทีเดียว
แต่ก็อร่อยสมชื่อ ประทับใจทุกครั้งสำหรับ Peter Luger ร้านสเต๊กในดวงใจ
ช็อคโกแลต signature ของเค้าล่ะ
หลังจากอิ่มละก็ออกมาเดินย่อยต่อ เห็นคิวหน้าร้านบุฟเฟ่ต์ชื่อดัง Bacchanal ที่อยู่ตรงข้าม Peter Luger แถวยาวเหยียดเลย
บอกลาท่าน Ceasar ก่อนจะเดินไปที่ Bellagio ต่อ
จาก Caesars Palace เดินไปนิดเดียวก็เจอกับ Bellagio ค่ะ
โถงทางเดินของ Bellagio จะอลังไปไหน
ด้านในของ Bellagio ก็จะคล้ายๆ ที่ Ceasars Palace คือจะแบ่งเป็นโซนคาสิโนและโซนช็อปปิ้ง ร้านรวงก็เหมือนกันเลยไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู ส่วนตัวคิดว่า Ceasars Palace ตกแต่งเก๋ดีเพราะทำเป็นอาคารสไตล์โรมันทั้งหมดเลย
เกือบลืมว่าต้องไปดูน้ำพุเต้นรำที่หน้าโรงแรม Bellagio ออกมาทันได้เห็นนิดนึงด้วยสวยมากเลย น้ำพุที่นี่เค้าจะแสดงเป็นรอบๆ นะ วันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่ 15.00–19.30 จะแสดงทุกครึ่งชั่วโมง 20.00–เที่ยงคืนจะเปิดทุก 15 นาที ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ จะเปิดแสดงตั้งแต่เที่ยงวันเลย
คำเตือน !!! เวลาเดินชมวิวอย่าเพลินจนลืมระวังตัวกันนะ เพราะที่ไหนมีนักท่องเที่ยวเยอะ ที่นั่นก็มักจะมีมิจเยอะด้วยเช่นกัน
1
และอีกหนึ่งคำเตือนคือ !!! บรรดาสาวๆ ที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้นที่เชิญชวนให้นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปด้วย พวกเธอไม่ได้ให้ถ่ายฟรีๆ เด้อ แต่คิดค่าถ่ายรูปกันแพงเชียวแหละ ใครไม่ได้อยากได้รูปกับคุณๆ เป็นที่ระลึกก็แนะนำให้เลี่ยงดีกว่าค่ะ
Las Vegas ยามค่ำนี่มีเสน่ห์จริงๆ เลย
Blog นี้ก็ประมาณนี้ค่ะ อยากพาพวกเรามารู้จักกับ "เมืองบาป" ที่โด่งดังไปทั่วโลก ถ้าใครมีโอกาสมาเที่ยวอเมริกา ลองหาเวลาซัก 2–3 วันมาเที่ยวที่ Las Vegas นะคะ รับรองจะต้องร้อง WoW กับแสงสีที่ได้เห็นแน่นอน
สำหรับคนที่ไม่ชอบเล่นคาสิโน ในเมืองยังมีที่ให้ทำกิจกรรมที่น่าสนใจอีกเยอะเลยนะ ไม่ว่าจะเป็น The Sphere ตึกทรงกลมที่ใหญ่ที่สุดในโลก, ชิงช้าสวรรค์ The Linq, SlotZilla's Zipline ที่เล่นไปด้วยชมเมืองไปด้วย และโชว์ดีๆ อีกมากมาย
และถ้าใครเบื่อเมืองอยากชมธรรมชาติ ไม่ไกลจาก Las Vegas ก็ยังมีที่เที่ยวที่น่าสนใจให้ไปทำกิจกรรมกันด้วย ซึ่งเราจะพาไปใน Blog หน้าค่ะ อย่าลืมมาอ่านกันนะ สำหรับ Blog นี้ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ 😊
โฆษณา