26 มิ.ย. เวลา 03:49 • ท่องเที่ยว
เนวาดา

เที่ยว Nevada ค้นหาความลับที่ซ่อนอยู่ในทะเลทราย

Chapter 71/8: Nevada, More Than Meets the Eye
หลังจากไปชมแสงสีในเมือง Las Vegas กันมาใน Blog ที่แล้ว วันนี้เราจะออกไปที่เที่ยวที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเท่าไหร่ และภารกิจของวันนี้คือ…ตามล่าหาของดีที่ซ่อนอยู่ในทะเลทรายค่ะ
ทุกคนรู้มั้ย Nevada เป็นดินแดนแห่งทะเลทรายก็จริง แต่มันมีที่เที่ยวที่น่าสนใจไม่แพ้ที่ Arizona เลยนะ อย่างที่ที่เราจะไปกันวันนี้ เริ่มจากที่แรก Valley of Fire State Park ค่ะ
Valley of Fire State Park หรือหุบเขาแห่งไฟ ตั้งอยู่ใน Mojave Desert (ทะเลทรายโมฮาวี) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของ Las Vegas มีระดับความสูงระหว่าง 402–917 เมตร ครอบคลุมพื้นที่เกือบ 46,000 เอเคอร์ หรือประมาณ 116,380 ไร่ อุทยานแห่งนี้เปิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1934 แล้วและเป็นอุทยานที่เก่าแก่ที่สุดของรัฐ Nevada
ในอดีตเมื่อประมาณ 150 ล้านปีก่อน Valley of Fire คือพื้นที่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำทะเล ต่อมาน้ำทะเลได้ลดลงจนเหือดแห้งทำให้พื้นที่บริเวณนี้กลายเป็นทะเลทราย จากนั้นได้เกิดการเคลื่อนตัวของเนินทรายจนเนินทรายเหล่านี้ได้ก่อตัวเป็นภูเขาหินทรายสีแดงส้มที่เรียกว่า Aztec Sandstone (หินทรายแอซเท็ก)
ด้วยลักษณะของหินที่เป็นสีแดงส้มนี้ทำให้เวลาที่มันสะท้อนกับแสงอาทิตย์จะดูเหมือนมันลุกเป็นไฟก็เลยทำให้ได้ชื่อว่า Valley of Fire นั่นเอง (ภาพประกอบด้านล่าง)
รูปจาก : https://www.papillon.com
และสิ่งนี้ก็ได้กลายเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้อุทยานแห่งนี้มีชื่อเสียงต่อมา
นอกจากนั้น Valley of Fire ยังเป็นสถานที่ยอดนิยมในการถ่ายหนังโฆษณารถยนต์ และเป็นโลเคชั่นในการถ่ายหนังดังอีกหลายเรื่อง เช่น Viva Las Vegas ที่นำแสดงโดย Elvis Presley, Total Recall, Star Trek Generations เป็นต้น
เล่ามาขนาดนี้…น่าไปดูซักครั้งใช่มะ 😄
เราใช้เวลาเดินทางจากตัวเมือง Las Vegas ประมาณ 45 นาทีก็ถึง Valley of Fire แล้วค่ะ อ้อ ! ที่นี่ต้องเสียค่าเข้าคันละ $10 ค่ะ
บอกเลยว่าแค่ลงมาถ่ายป้ายทางเข้าก็รู้สึกได้ถึงดีกรีความร้อนที่เตรียมจะแผดเผาเราในวันนี้กันแล้ว
คำเตือน !!! ใครที่จะมาเที่ยวที่นี่อย่าลืมเตรียมอุปกรณ์กันแดดกันมาให้เต็มที่นะคะ ทั้งหมวก แว่นกันแดด เสื้อคลุม เพราะแดดและลมที่นี่แรงมากๆ และช่วงเวลาที่เหมาะจะมาเที่ยวที่ Valley of Fire คือตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงเดือนเมษายน เพราะอากาศจะไม่ร้อนจัดแล้ว (เรามาเดือนพฤษภาคมก็เตรียมใจเลย 🥵)
นี่ปิดขนาดนี้ยังไม่รอดหน้าดำ
ภายใน Valley of Fire มีจุดให้ไปชมหลายจุดเลย แต่เราปักหมุดไว้ว่าอยากไปดูบางจุดเท่านั้นเพราะคิดว่าไปทั้งหมดคงไม่ไหว ด้วยความที่มันค่อนข้างร้อนและแดดแรงมากๆ
จุดแรกที่เรามากันคือ Beehives ซึ่งถ้าเข้ามาจากทางเข้าฝั่งตะวันตกก็จะเจอกับ Beehives หินที่มีรูปร่างเหมือนรังผึ้งก่อนเลย
ความโดดเด่นของ Beehives นอกจากมันจะเหมือนรังผึ้งแล้ว มันยังมีลักษณะของชั้นหินแบบตะกอนขวาง (cross bed) อีกด้วย ซึ่งเกิดจากการพัดและเปลี่ยนทิศทางของน้ำหรือลม ทำให้ตะกอนตกเอียงเทไปเป็นแนวตามกระแสน้ำหรือกระแสลม
Beehives
ขนาดของ Beehive ไม่ได้ใหญ่มาก สามารถปีนขึ้นไปได้ด้วยนะ
วิวรอบๆ Beehives ก็สวยอยู่
อันนี้ก็หน้าตาคล้าย Beehives
เราขับรถไปที่จุดต่อไปชื่อ Atlatl Rock ค่ะ
ที่ Atlatl Rock จะมี Petroglyphs หรือภาพแกะสลักโบราณบนก้อนหินให้ดูด้วย
มีบันไดเหล็กให้ปีนขึ้นมาดูได้ไม่น่ากลัวค่ะ
ปีนขึ้นมาจนสุดจะเจอกับ Petroglyphs ภาพแกะสลักของชนพื้นเมืองอเมริกันที่มีอายุกว่า 4,000 ปี
ภาพ Petroglyphs
จุดต่อไปคือ Arch Rock หรือหินที่มีรูปร่างเหมือนซุ้มประตู
Arch Rock
Arch Rock เกิดมาจากลมและฝนที่ค่อยๆ ชะล้างเม็ดทรายบนหินจนมันเกิดเป็นรูปทรงโค้งมนแบบนี้ ไม่รู้ว่าในอนาคตมันจะพังลงมาเมื่อไหร่
Arch Rock
ดูในรูปนึกว่า Arck Rock จะเป็นหินก้อนใหญ่ ปรากฎว่าไม่ใหญ่มากแถมอยู่สูงจากพื้นดินพอสมควร ซึ่งเค้าไม่อนุญาติให้ปีนขึ้นไปดู ต้องใช้กล้องซูมเอา
จุดต่อไปเราตั้งใจจะไปดูสิ่งนี้ค่ะ
รูปจาก https://usadventurer.com/things-to-do-in-valley-of-fire-state-park/
มันคือ Fire Wave
วิวระหว่างทาง สวยมากเลย
แต่เวปที่เราหาข้อมูลเค้าใส่ชื่อผิดว่าเป็น Rainbow Vista ไอ้เราก็มุ่งหน้าไปที่นั่นในทันใด 😂
พอเริ่มเดินก็เจอกับป้ายเทรลก่อนเลย ก็ยังเข้าใจกันว่า อ๋อ! มันอยู่ข้างในนั้นเดี๋ยวก็เจอ
เดินไปเรื่อยๆๆๆ เป็นครึ่งชั่วโมง รอบกายก็มีแต่ทะเลทรายและทะเลทราย
เริ่มเดินก็ยังยิ้มได้อยู่
งานนี้เพิ่มการปีนป่ายโขดหินมาเป็นพักๆ ด้วยเหนื่อยเอาเรื่องเลย
เจอทางถึงกับร้องโอ้ว…แต่ยังมีความหวัง
ทางเดินเป็นทรายเดินแล้วมันจะยวบๆ หน่อยต้องใช้แรงเยอะขึ้นกว่าปกติ
ทรายสีสวยมาก
แต่เดินหายังไงก็ไม่เจอซักทีเลยตัดใจกลับรถดีกว่า สรุปเดินไปกลับประมาณชั่วโมงนึง ตัวดำหน้าแดงเลย
เจอ Arch ที่ค้นพบเองโดยบังเอิญอีกหนึ่งอัน
ถึงจะเหนื่อยแต่วิวระหว่างทางก็สวยมาก
แดดเผาจนเหนื่อยมาก ไปจุดอื่นไม่ไหวละ ก็เลยออกจาก Valley of Fire ไปเที่ยวที่อื่นต่อ
ถนนตรงจุดจอดรถ Rainbow Vista สวยดี
แต่ด้วยความสงสัยว่าทำไมเราหาหินก้อนนั้นไม่เจอน้าาา ปรากฎว่าพอมาหาข้อมูลดูใหม่ เอ๊า !!! เวปนั้นเค้าใส่ชื่อผิด 😭 เศร้ามากถึงมากที่สุด แต่ก็ได้ประสบการณ์ใหม่ ได้เดินเทรลกลางทะเลทรายที่ Rainbow Vista แทน
หน้าแดงมากแถมทรายก็เต็มตัวไปหมด
สรุป…ถึงจะอดเห็น Fire Wave ที่ตั้งใจมาดูที่สุด แต่ก็ประทับใจ Valley of Fire นะเพราะมันมีความสวยงามในแบบของมันเอง เป็นความงามที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางทะเลทราย ต้องขอบคุณธรรมชาติที่สร้างสิ่งหล่านี้ให้กับพวกเราและขอให้มันยังคงอยู่แบบนี้ไปอีกนานๆ นะ
จาก Valley of Fire เราไปดูอะไรให้รู้สึกเย็นๆ ขึ้นหน่อยที่ Hoover Dam ซึ่งอยู่ไม่ไกลค่ะ
ระหว่างทางผ่าน Lake Mead ด้วย
Hoover Dam (เขื่อนฮูเวอร์) หรืออีกชื่อที่รู้จักกันคือ Boulder Dam (เขื่อนโบลเดอร์) เป็นเขื่อนคอนกรีตรูปโค้งที่ตั้งอยู่บนแม่น้ำ Colorado บริเวณหุบเขา Black Canyon ระหว่างชายแดนของรัฐ Arizona และรัฐ Nevada มีความสูง 221.4 เมตร และยาว 379 เมตร
ที่ทางเข้ามีด่านตรวจรถก่อนเข้าไปในเขื่อนด้วย
เขื่อนถูกสร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1931–1936 เริ่มเปิดใช้งานในวันที่ 1 มีนาคม 1936
การก่อสร้าง Hoover Dam ถือเป็นหนึ่งในโครงการวิศวกรรมที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา ต้องใช้แรงงานคนมากกว่า 1,000 คน และเมื่อสร้างเสร็จก็มีคนงานที่ต้องสังเวยชีวิตไปมากกว่า 100 คน
Hoover Dam
และน้ำที่ Hoover Dam เก็บกักได้ก็ทำให้เกิดเป็น Lake Mead (ทะเลสาบมี้ด) ที่เราขับรถผ่านก่อนเข้ามาที่เขื่อน
เมื่อเริ่มก่อสร้างเขื่อน ได้มีการสร้างเมือง Boulder ขึ้นเพื่อใช้เป็นที่พักอาศัยของคนงาน นั่นเลยเป็นที่มาของชื่อ Boulder Dam ซึ่งเป็นอีกชื่อของ Hoover Dam นั่นเอง ซึ่งเมือง Boulder ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง Las Vegas
ในสมัยนั้นมีกฎหมายเข้มงวดที่ห้ามเล่นการพนันและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเมือง Boulder ทำให้บรรดาคนงานที่เข้ามาก่อสร้างเขื่อนต้องหนีเข้าไปหาความสำราญที่ Las Vegas ในวันหยุดแทน ทำให้ธุรกิจการพนัน แอลกอฮอล์ และสถานบันเทิงใน Las Vegas เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างที่เราเล่าไปใน Blog ที่แล้ว
(อ่านได้ที่ลิงค์ข้างใต้เลยค่ะ 😄)
ไฟฟ้าที่ใช้ใน Las Vegas ก็มาจากเขื่อนนี้นี่เอง
Hoover Dam เป็นอีกหนึ่ง Highlight ที่คนที่มาเที่ยว Las Vegas ก็มักจะต้องมาเยือนด้วยเสมอ
ออกจาก Hoover Dam เราก็ไปแวะที่ Shopping Mall แถวบ้านชื่อ 
Town Square Las Vegas ไปเดินเล่นให้หายเหนื่อยก่อนกลับเข้าบ้าน
เป็น Mall ที่ออกแบบได้ค่อนข้างสวยเลย
Town Square Las Vegas
ลืมเล่าให้ฟังว่าตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาใน Las Vegas เราสังเกตุว่าที่นี่มี Mall, Supermarket และ Outlets เยอะมากๆๆ เรียกว่าเยอะกว่าเมืองไหนๆ ที่เคยไปมาเลย ประมาณว่าทุกๆ 2-3 กม. จะต้องเห็นที่ Shopping ซักแห่งประมาณนี้เลย เป็นเพราะพื้นที่เหลือเฟือหรือคนที่นี่มีกำลังซื้อสูงก็ไม่รู้
เราได้ลองชิมเครื่องดื่มแบบ Mexican ด้วยล่ะ หน้าตาน่าลองมากเลยจิ้มๆ มาซักแก้วนึง แพงจนตกใจ จำได้ว่าประมาณ $18 มั้ง แพงมากกกก
รสชาติไม่ได้แปลกอะไรเพราะเราดันไปเลือกอันที่เค้าผสมเครื่องดื่มชูกำลังลงไปด้วย แต่ที่ชอบคือมะม่วงที่ใส่มาในแก้วกะซอสพริกที่ป้ายมาที่รอบๆ ปากแก้ว กินแล้วเหมือนกินมะม่วงจิ้มพริกเกลือบ้านเราเลย แต่ของเค้าไม่หวานมีแต่รสเค็มอย่างเดียว
จาก Mall เราก็ขับรถกลับบ้านกันเลยเพราะเพลียแดดมากๆ เป็นอันจบการตามล่าหาของดีในทะเลทรายในวันนี้แต่เพียงเท่านี้
มาต่อกันที่วันสุดท้ายใน Las Vegas กันเลย เพราะมีที่เที่ยวอีกทีที่อยากจะพาไป ฟีลทะเลทรายเหมือนกัน
สัมภาระกองพะเนินกับการย้ายบ้านครั้งสุดท้ายแล้ว
จุดเที่ยวนี้จะอยู่ระหว่างทางจาก Las Vegas เข้า Los Angeles ที่เราว่าควรมาเพราะมันสวยดีและใช้เวลาไม่นาน (ไม่เหมือนเดินเทรลเมื่อวานแน่นอน 😅) ชื่อว่า Seven Magic Mountains
Seven Magic Mountains เป็นผลงานศิลปะที่อยู่ในหุบเขา Ivanpah ทางใต้สุดของ Las Vegas Boulevard สร้างขึ้นโดยศิลปินชาวสวิส Ugo Rondinone เพื่อให้ผู้ที่มาชมได้สัมผัสถึงความมหัศจรรย์ของทะเลทรายโมฮาวีอันยิ่งใหญ่
นับได้ 7 กันมั้ย
Seven Magic Mountains เป็นผลงานที่ Ugo Rondinone ตั้งใจทำให้ตรงข้ามกับ Concept งาน Human Nature ของเขาที่ถูกจัดแสดงอยู่ที่ Rockefeller Center ที่เป็นการนำเอาธรรมชาติมาไว้ในเมืองที่ถูกสร้างขึ้นมา ในขณะที่ Seven Magic Mountains เป็นการนำเอาสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมานั่นก็คือหินที่ถูกตัด ถูกคว้านแกน ถูกทาสีและนำมาวางซ้อนกันมาจัดแสดงในพื้นที่ธรรมชาติ โดยที่ก้อนหินแต่ละก้อนมีน้ำหนักระหว่าง 10 ถึง 25 ตัน หรือ 9,100 ถึง 22,700 กก. เลยทีเดียว
สู้แดดกันไป
Seven Magic Mountains เปิดให้คนเข้าชมเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2016 ซึ่งเดิมทีความตั้งใจของผู้จัดจะจัดแสดงงานชิ้นนี้เพียงสองปีจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2018 แต่มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมงานเป็นจำนวนมาก จนต้องขยายเวลาจัดแสดง Seven Magic Mountains ต่อไปจนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2027
ใครมาเที่ยว Las Vegas ก็ยังเจอกับงานชิ้นนี้ได้จนถึงปี 2027 นะคะ
ก็จบ Blog พาเที่ยวทะเลทรายยาวๆ อีก Blog แล้ว หวังว่าจะชอบกันนะคะ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าที่เราจะกลับเข้าเมือง LA แล้ว สำหรับ Blog นี้ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ 😊
โฆษณา