24 มิ.ย. เวลา 10:26 • ประวัติศาสตร์

ขุนโจรเหลียงซาน 132

ม้าห่วงโซ่ปราบเหลียงซาน (3) ฟ้าคำราม
หลิงเจิ้นเดินทางมาถึงค่ายรายงานตัวต่อแม่ทัพฮูหยันจว๋อ และแม่ทัพหน้าหันเทา แล้วก็สอบถามถึงที่ตั้ง ระยะทางและภูมิประเทศของค่ายน้ำและค่ายบนเขาเหลียงซาน เพื่อตระเตรียมปืนใหญ่สำหรับยิงโจมตีสามชนิด หนึ่งคือ ปืนลมไฟ 风火炮 สองคือ ปืนล้อทอง 金轮炮 สามคือ ปืนแม่ลูก 子母炮 ก่อนอื่นให้ทหารเตรียมฐานตั้งปืนขึ้นที่ริมฝั่งน้ำสำหรับยิงปืนใหญ่
ทางฝ่ายซ่งเจียงกำลังหารือการศึกกับเสนาธิการอู๋ที่ค่ายหาดปากเป็ด สายสืบมารายงานว่า“ทางเมืองหลวงส่งนายทหารปืนใหญ่นายหนึ่งเพิ่งมาถึง มีชื่อว่า ฟ้าคำรามหลิงเจิ้น ขณะนี้กำลังตั้งฐานยิงปืนใหญ่อยู่ที่ริมฝั่งน้ำ เตรียมยิงปืนโจมตีค่าย”
อู๋เสวียจิวว่า “ไม่เป็นไร ค่ายของเรามีน้ำล้อมอยู่โดยรอบ ล้วนเป็นหนองคลองท่า เมืองหว่านเฉิงบนเกาะกลางหนองก็อยู่ห่างชายน้ำเข้าไปอีก ถึงมีปืนยิงลัดฟ้าก็ไม่ถึงชานเมือง เราออกจากค่ายที่หาดปากเป็ดนี่ก่อน ดูวิถีกระสุนแล้วค่อยหารือกัน”
ซ่งเจียงจึงให้ทิ้งค่ายเล็ก ยกผ่านด่านกลับขึ้นเขา เฉาไก้ กงซุนเสิ้งออกมารับเข้ามายังโถงร่วมธรรมแล้วถามว่า “แล้วนี่มีแผนรับศึกเช่นไร”
ถามไม่ทันขาดคำ มีเสียงปืนใหญ่ดังขึ้นสามครั้ง สองนัดแรกตกลงกลางน้ำ นัดที่สามถูกค่ายเล็กที่หาดปากเป็ด ซ่งเจียงกังวลใจยิ่ง เหล่าหัวหน้าต่างหน้าถอดสี
อู๋เสวียจิวว่า “ส่งคนไปล่อให้หลิงเจิ้นมายังริมน้ำ จับตัวคนผู้นี้แล้วค่อยหารือกัน”
เฉาไก้จึงสั่งการว่า “ให้หลี่จวิ้น จางเหิง จางซุ่น สามหย่วน หกคนนำเรือออกปฏิบัติการดังนี้…ดังนี้… จูถง เหลยเหิง คอยประสานอยู่บนฝั่ง”
หกนายทัพเรือรับคำสั่งแล้วก็แบ่งหน้าที่เป็นสองหน่วย หน่วยแรกหลี่จวิ้น จางเหิง นำทหารชำนาญทางน้ำห้าสิบนายใช้เรือเร็วสองลำลอบลัดเลาะพงอ้อข้ามฝั่งไป หน่วยที่สอง จางซุ่นและสามหย่วนพี่น้องนำเรือเล็กสี่สิบลำคอยหนุน
หลี่จวิ้น จางเหิงข้ามฝั่งมาแล้วก็ตรงไปยังที่ตั้งฐานปืนใหญ่ โห่ร้องแล้วเข้าทำลายฐานเสีย ทหารที่เฝ้าฐานถอยหนีไปรายงานแก่หลิงเจิ้น หลิงเจิ้นคว้าทวนนำปืนลมฝนมาสองกระบอก พาทหารราวพันคนรีบมายังที่ตั้งฐานปืน หลี่จวิ้น จางเหิงพาทหารหนี
หลิงเจิ้นไล่ตามมาถึงชายฝั่งที่มีพงอ้อขึ้น แลไปเห็นเรือเล็กจอดเทียบฝั่งเป็นแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่งอยู่สี่สิบลำ บนเรือมีทหารอยู่ร้อยกว่าคน รวมทั้งพวกหลี่จวิ้น จางเหิงที่หนีขึ้นเรือไปด้วย แต่จงใจไม่ออกเรือ พอเห็นทหารของหลิงเจิ้นมาถึง ก็โห่ร้องแล้วพากันกระโดดหนีลงน้ำ หลิงเจิ้นจึงให้ทหารยึดเรือเอาไว้
จูถง เหลยเหิง ซึ่งอยู่บนฝั่งตรงข้าม ให้ทหารรัวกลองและโห่ร้อง หลิงเจิ้นชิงเรือได้หลายลำจึงสั่งให้ทหารทั้งหมดลงเรือบุกข้ามฝั่งไป พอเรือทั้งหมดแล่นมาอยู่กลางน้ำ จูถง เหลยเหิงก็ให้เปลี่ยนไปตีม้าล่อ ทหารน้ำโผล่จากใต้น้ำมาสี่ห้าสิบคนตรงเข้าถอดไม้หมุดท้ายเรือทุกลำ ปล่อยน้ำเข้าท้องเรือ ด้านนอกก็โคลงเรือให้คว่ำทำให้ทหารบนเรือตกน้ำ
หลิงเจิ้นจะรีบกลับเรือเข้าฝั่ง แต่พายคัดท้ายก็ตกน้ำหายไปเสียแล้ว นายทัพน้ำโผล่จากน้ำมาสองคนประกบเรือจับลากมา แล้วโคลงเรือจนหลิงเจิ้นตกน้ำ คนในน้ำก็คือหยวนเสี่ยวเอ้อ เข้ามาโอบร่างหลิงเจิ้นไว้แล้วลากมาขึ้นฝั่งตรงข้าม ทหารบนฝั่งจับมัดแล้วนำตัวขึ้นเขาไป ทหารจมน้ำตายเสียกว่าครึ่ง ถูกจับเป็นสองร้อยกว่า เหลือหนีรอดไปได้เพียงส่วนน้อย
怎许船军便渡河,不施火炮却如何。
空说半天轰霹雳,却愁尺水起风波。
ไยให้เรือทหารข้ามน้ำไป
มีปืนใหญ่ไม่ใช้เป็นไรหนา
ป่วยการโอ่อสนีบาตฟาดนภา
น่าเวทนาน้ำตื้นก่อคลื่นลม
 
(น้ำตื้นก่อคลื่นใหญ่ 尺水丈波 น้ำแค่คืบก่อคลื่นสูงเป็นจ้าง สำนวนจีน เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่)
ฮูหยันจว๋อพอรู้ข่าว ก็รีบนำทหารมาชายฝั่ง แต่เรือข้ามกลับไปหาดปากเป็ดหมดแล้วไม่เหลือใคร ธนูก็ยิงไม่ถึง ได้แต่แค้นใจยกทัพกลับ
ทางฝ่ายเหลียงซาน เมื่อจับหลิงเจิ้นเป็นเชลยแล้วก็นำตัวขึ้นเขา ซ่งเจียงได้รับรายงาน ก็นำเหล่าหัวหน้าลงเขามารับยังด่านที่สอง พอเห็นหลิงเจิ้น ซ่งเจียงก็ตรงเข้าแก้มัดให้ด้วยตัวเองแล้วตำหนิลูกน้องว่า “ข้าบอกให้ไปเชิญท่านผู้บัญชาการมา ทำไมถึงเสียมารยาทเช่นนี้”
หลิงเจิ้นกราบคารวะซ่งเจียงที่ไว้ชีวิต
ซ่งเจียงรินสุราให้หลิงเจิ้นดื่มด้วยตัวเอง แล้วจับมือหลิงเจิ้นขอเชิญขึ้นเขา
พอขึ้นมาถึงค่ายใหญ่ ก็พบว่าเผิงฉี่กลายมาเป็นหนึ่งในหัวหน้าเขาเหลียงซานไปแล้ว หลิงเจิ้นถึงกับอึ้งพูดอะไรไม่ออก
เผิงฉี่เกลี้ยกล่อมหลิงเจิ้นว่า “ท่านหัวหน้าเฉาและซ่งทั้งสองกระทำการผดุงธรรมแทนฟ้า รวบรวมเหล่าผู้กล้า รอวันเวลานิรโทษกรรม หวนรับใช้บ้านเมือง ในเมื่อพวกเรามาถึงที่นี่แล้ว ก็ควรคล้อยตามชะตา 从命” ซ่งเจียงก็ร่วมหว่านล้อมด้วย
หลิงเจิ้นว่า “ผู้น้อยยินยอมอยู่ให้ช่วงใช้ 趋侍 ไม่มีปัญหา ติดอยู่ว่ายังมีแม่เฒ่าและภรรยาอยู่ที่เมืองหลวง หากมีคนรู้เข้า คงถูกจับประหาร จะทำเช่นไร”
ซ่งเจียงว่า “เรื่องนั้นโปรดวางใจ จะไปรับตัวส่งให้ท่านในเร็ววัน”
หลิงเจิ้นขอบคุณว่า “เมื่อท่านหัวหน้าคิดไว้รอบคอบเช่นนี้ แม้นตายก็ตาหลับ”
เฉาไก้สั่งการว่า “จัดเลี้ยงรับรอง”
(ฟ้าคำรามหลิงเจิ้น 轰天雷凌振 ดาวมารดิน ตี้ส้า ลำดับที่ 16 ลำดับรวมที่ 52 เป็นผู้เชี่ยวชาญปืนไฟแห่งเขาเหลียงซาน)
วันถัดมา เหล่าพี่น้องเหลียงซานร่วมชุมนุมที่โถงร่วมธรรม หาวิธีรับมือม้าห่วงโซ่
เสือดาวเหรียญทองทังหลงลุกขึ้นกล่าวว่า
“ผู้น้อยมีข้อเสนอ บรรพบุรุษของผู้น้อยตีอาวุธหาเลี้ยงชีพ บิดาผู้ล่วงลับก็สืบทอดความรู้นี้จนได้เป็นหัวหน้าค่ายอยู่ในบังคับบัญชาของนายท่านฉงจิงเลวี่ยผู้เฒ่าที่เมืองหยันอัน ม้าห่วงโซ่นี้มีใช้ในการศึกกับราชวงศ์ก่อน สามารถทำลายได้ด้วยทวนตะขอ 钩镰枪 ซึ่งผู้น้อยมีแบบภาพที่ได้รับสืบทอดมา สามารถตีขึ้นมาได้ทันที เพียงแต่ไม่รู้วิธีใช้ ผู้ที่รู้วิธีใช้คงมีแต่ลูกพี่ลูกน้องของผู้น้อยที่เป็นครูฝึก วิชานี้ถ่ายทอดแก่ลูกหลานไม่สอนคนนอก มีทั้งวิธีใช้จากหลังม้าหรือเดินเท้า”
หลินชงนึกได้จึงถามว่า “คงเป็นครูฝึกสวีหนิง 徐宁 แห่งกองทวนทอง 金枪班 กระมัง”
ทังหลงตอบรับว่า “คือเขาผู้นี้”
หลินชงว่า “ท่านไม่พูดถึง ข้าก็ลืมเสียแล้ว สวีหนิงผู้นี้ เพลงทวนทอง เพลงทวนตะขอ ล้วนเป็นหนึ่งในใต้หล้า เมื่อครั้งข้าอยู่เมืองหลวงเคยถกเพลงยุทธกันเสมอ สนิทสนมกันดี แต่จะพาตัวขึ้นเขามาได้อย่างไร”
ทังหลงว่า “สวีหนิงมีของวิเศษตกทอดมาแต่บรรพบุรุษ เป็นสมบัติประจำตระกูล ข้าเคยติดตามท่านพ่อไปเยี่ยมอาหญิงที่เมืองหลวง ได้เคยเห็น เป็นเกราะทองบุด้วยขนห่านป่า 雁翎圈金甲 เกราะชุดนี้มีน้ำหนักเบาแต่แข็งแรงทนทาน หอกดาบธนู ยิงแทงไม่เข้า เรียกกันว่า เทียบถังหนี 赛唐猊 (ถังหนี 唐猊 สัตว์ร้ายในตำนานมีหนังหนาทำชุดเกราะได้) เหล่าคุณชายมีชาติตระกูลมาขอชมก็ไม่ยอมให้ชม
เกราะชุดนี้สวีหนิงหวงดังชีวิต ใส่ไว้ในหีบหนังใบหนึ่งแขวนที่คานกลางห้องนอน หากชิงเอาชุดเกราะนี้มาได้ ไม่ต้องห่วงว่าเขาจะไม่มาตาม”
อู๋ย่งว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ยากอะไร มีพี่น้องยอดฝีมืออยู่ที่นี่ คราวนี้คงต้องให้หมัดหน้ากลองไปสักครา”
สือเชียนตอบรับทันทีว่า “กลัวแต่จะไม่มีของที่ว่า ถ้ามี อย่างไรก็เอามาจนได้”
ทังหลงว่า “ถ้าท่านลักชุดเกราะมาได้ ข้ารับรองว่าเอาตัวเขาขึ้นเขามาได้”
ซ่งเจียงถามว่า “ท่านจะเอาตัวเขาขึ้นเขามาได้อย่างไร”
ทังหลงเดินไปกระซิบข้างหูซ่งเจียง ซ่งเจียงหัวเราะแล้วว่า “แผนนี้วิเศษแท้”
อู๋เสวียจิวว่า “ให้คนไปเมืองหลวงด้วยอีกสามคน คนหนึ่งไปจัดซื้อดินปืน เครื่องไฟ ของใช้สำหรับปืนใหญ่ อีกสองคนไปรับครอบครัวของหลิงเจิ้น”
เผิงฉี่จึงลุกขึ้นกล่าวว่า “หากมีคนไปอิ่งโจวรับครอบครัวของผู้น้องขึ้นเขามาด้วยจะเป็นพระคุณยิ่ง”
ซ่งเจียงว่า “ถวนเลี่ยนวางใจ ท่านทั้งสองทำหนังสือคนละฉบับ ผู้น้อยให้คนไปจัดการ”
ซ่งเจียงให้หยางหลินนำหนังสือและเงินทอง พาผู้ติดตามไปรับครอบครัวของเผิงฉี่ที่อิ่งโจว
ให้เซวียหย่งแต่งเป็นคนเล่นกระบองขายยาไปรับครอบครัวหลิงเจิ้นที่ตงจิง
ให้หลี่หยุนแต่งเป็นพ่อค้าร่วมทางไปเมืองหลวงหาซื้อดินปืน เครื่องไฟ
ให้เยว่เหอ ไปกับทังหลงสำหรับเรื่องพาสวีหนิงขึ้นเขา โดยให้ร่วมทางไปพร้อมกับเซวียหย่ง
แรกสุด ให้สือเชียนลงเขาไปก่อน
ต่อมาคือให้ทังหลงตีเหล็กทำทวนตะขอตามแบบไว้เป็นตัวอย่างให้กับเหลยเหิง เพื่อให้ช่างตีเหล็กบนเขาช่วยกันตีโดยมีเหลยเหิงเป็นผู้กำกับ ทั้งนี้ก็เพราะครอบครัวเหลยเหิงนั้นเดิมเป็นช่างตีเหล็ก
ทางค่ายจัดโต๊ะเลี้ยงส่งแล้ว หยางหลิน เซวียหย่ง หลี่หยุน เยว่เหอ ทังหลง ก็อำลาลงเขาไปปฏิบัติหน้าที่
วันถัดมา ก็ส่งไต้จงลงเขาตามไปเสาะข่าวติดตามความคืบหน้า
ทางด้านสือเชียนผู้ลงเขามาก่อนใคร เดินทางมาจนถึงตงจิงเมืองหลวง จึงพำนักที่โรงเตี๊ยมนอกเมือง วันรุ่งขึ้นเข้าเมืองมาเที่ยวสอบถามหาบ้านพักของสวีหนิงครูฝึกกองทวนทอง มีคนบอกว่า “ผ่านเข้าประตูกอง เดินไปทางตะวันออก บ้านหลังที่ห้า ประตูมีเขาสีดำ”
1
สือเชียนเดินผ่านประตูกอง เดินไปสำรวจหน้าบ้านสวีหนิง และเดินต่อไปทางหลังบ้าน เห็นกำแพงบ้านเป็นกำแพงสูง แลเห็นหลังกำแพงมีหอตกแต่งงามวิจิตรอยู่สองหอ ด้านข้างมีเสาไม้ค้ำอยู่หนึ่งต้น
สือเชียนสำรวจดูรอบหนึ่งแล้วเดินมาถามข้างบ้านว่า “ครูฝึกสวีอยู่บ้านหรือไม่”
“คงเข้าเวรอยู่ด้านในยังไม่กลับ”
“ไม่ทราบว่าจะกลับเมื่อไร”
“เย็นๆ ก็กลับ พอเช้ายามห้าก็กลับเข้ากองใหม่”
สือเชียนขออภัยที่รบกวน แล้วก็กลับมายังโรงเตี๊ยมนอกเมือง เอาเครื่องมือทำมาหากินเก็บติดตัว แล้วไปบอกเสี่ยวเอ้อว่า “คืนนี้ข้าคงไม่กลับ ข้าวของในห้อง ฝากดูแลด้วย”
เสี่ยวเอ้อว่า “ท่านวางใจเถิด ไม่มีอะไรผิดพลาดหรอก”
สือเชียนกลับเข้าเมือง หาอาหารเย็นกินแล้ว ก็มายังบ้านสวีหนิง แลดูซ้ายขวาหาที่ซ่อนตัวไม่ได้ ฟ้ามืดแล้ว เป็นราตรีกลางฤดูหนาวไร้แสงเดือน สือเชียนเห็นหลังศาลเจ้าที่ มีต้นไป่ต้นใหญ่ สือเชียนปีนขึ้นยอดไม้ไปนั่งคร่อมอยู่บนคาคบ แล้วเฝ้ามอง
ตอนก่อนหน้า : ม้าห่วงโซ่
ตอนถัดไป : หมัดหน้ากลองลักเกราะ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา