26 มิ.ย. เวลา 10:23 • ประวัติศาสตร์

ขุนโจรเหลียงซาน 133

ม้าห่วงโซ่ปราบเหลียงซาน (4) หมัดหน้ากลองลักเกราะ
สือเชียนเห็นสวีหนิงกลับมาถึงเดินเข้าบ้านไป เห็นคนสองคนถือตะเกียงมาปิดประตูกอง ใช้โซ่ล่ามแล้วแยกย้ายกลับบ้าน เสียงกลองจากหอบอกเวลายามหนึ่ง อากาศหนาวเมฆหนาไม่มีแม้แสงดาว สือเชียนลงจากต้นไม้มาอย่างเงียบเชียบ ย่องไปยังประตูหลังบ้านสวีหนิง ปีนข้ามกำแพงโดยไม่เปลืองแรง ด้านในเป็นลานบ้านเล็ก ๆ สือเชียนหมอบซุ่มอยู่นอกห้องครัว มองเข้าไปเห็นแสงตะเกียงในห้องครัวสว่าง สาวใช้สองคนกำลังเก็บของอยู่ยังไม่แล้วเสร็จ
สือเชียนปีนเสาไม้ค้ำขึ้นไปขดตัวหลบหลังไม้กระดานปิดหน้าจั่ว มองไปยังชั้นบนของหอ เห็นมือทวนทองสวีหนิงและภรรยานั่งผิงไฟอยู่หน้าเตา อุ้มลูกวัยหกขวบไว้กับอก พอมองไปยังห้องนอน เห็นจริงว่ามีหีบหนังใบใหญ่มัดไว้บนคาน หน้าประตูห้องมีคันธนูและลูกศรแขวนอยู่ชุดหนึ่ง มีดอีกหนึ่งเล่ม บนราวมีเสื้อผ้าหลายหลากสี
สวีหนิงตะโกนเรียกว่า “เหมยเซียง มาพับผ้าให้ข้าหน่อย”
สาวใช้นางหนึ่งขึ้นมาจากชั้นล่าง หยิบเอาชุดองครักษ์ เสื้อคลุม ผ้าโพก ผ้าเช็ดหน้า ต่างๆ พับใส่ในห่อผ้า แล้วใส่ลงในตะกร้าอบผ้า 烘笼 ตั้งไว้ที่เตา พอถึงยามสอง สวีหนิงก็ขึ้นเตียงจะเข้านอน ภรรยาถามว่า “พรุ่งนี้ก็เข้าเวรด้วยหรือ”
สวีหนิงว่า “พรุ่งนี้ฮ่องเต้เสด็จศาลหลงฝู ต้องไปเข้าเฝ้าแต่ยามห้า”
ภรรยาจึงกำชับเหมยเซียงว่า “พรุ่งนี้นายท่านเข้างานยามห้า ยามสี่พวกเจ้าต้องตื่นมาเตรียมหุงหา”
1
สือเชียนตรองว่า “หีบหนังบนคานนี้มีชุดเกราะอยู่แน่ หากข้าลงมือเสียกลางดึก เกิดพลาดขึ้นมา คงหนีออกจากเมืองไม่พ้น จะเสียงานใหญ่ รอลงมือยามห้ายังไม่สาย”
สือเชียนฟังเสียงสวีหนิงสองสามีภรรยา และสาวใช้ทั้งสองที่ปูที่นอนนอนอยู่หน้าประตูด้านนอกห้องเห็นว่าหลับสนิทแล้ว ก็ลงมาเงียบๆ ใช้ก้านต้นอ้อแหย่ผ่านลายหน้าต่างเป่าตะเกียงที่ตั้งบนโต๊ะในห้องนอนให้ดับ แล้วกลับไปซ่อนตัวจนประมาณยามสี่ สวีหนิงตื่นขึ้นมาปลุกสาวใช้ให้ไปเตรียมอาหาร
สาวใช้ตื่นขึ้นมาเห็นตะเกียงดับจึงว่า “ไอ้หยา เมื่อคืนตะเกียงดับ”
สวีหนิงว่า “ยังไม่รีบไปเอาตะเกียง จะรอเมื่อไร”
เหมยเซียงเปิดประตูหอ ลงบันไดมา สือเชียนไถลลงจากเสา มาซุ่มในเงามืดที่ประตูหลัง เหมยเซียงเปิดประตูหลังเดินออกไป สือเชียนรีบเข้าไปในห้องครัวหลบอยู่ใต้โต๊ะ
เหมยเซียงได้ตะเกียงมาแล้วกลับเข้ามาแล้วปิดประตูหลังเสีย เดินเข้ามาก่อไฟในห้องครัวต้มน้ำเดือดแล้ว ก็นำน้ำล้างหน้าขึ้นไปชั้นบน สวีหนิงล้างหน้าแล้วเสร็จ สั่งให้อุ่นเหล้า สาวใช้นำเนื้อและชุยปิ่งขึ้นไป สวีหนิงกินอิ่มแล้วก็ให้ยกอาหารไปให้พวกเวรยาม สือเชียนได้ยินเสียงสวีหนิงลงมาสั่งลูกน้องกินอาหารเช้าแล้วก็สะพายห่อผ้าถือทวนทองออกจากบ้าน เหมยเซียงจุดตะเกียงตามไปส่ง
สือเชียนรีบมุดออกจากโต๊ะในห้องครัวขึ้นชั้นบน ไต่ชั้นวางของขึ้นไปบนคานและซุ่มหมอบอยู่ สาวใช้ทั้งสองกลับเข้ามาปิดประตู เป่าตะเกียงที่ถือดับ ถอดเสื้อออกแล้วเข้านอนต่อ
สือเชียนอยู่บนคานฟังเสียงสองสาวใช้ว่าหลับแล้ว ก็ล้วงก้านต้นอ้อออกมาเป่าตะเกียงดวงที่อยู่ในห้องดับ แล้วค่อยๆ แก้เชือกผูกหีบหนังออกแล้วกำลังจะยกลงมาจากคาน ภรรยาของสวีหนิงรู้สึกตัวตื่นได้ยินเสียงผิดปกติจึงตะโกนถามเหมยเซียงว่า “บนคานเสียงอะไรดัง”
สือเชียนแกล้งทำเสียงหนู
สาวใช้ตอบว่า “นายหญิงไม่ได้ยินเสียงหนูร้องหรือ มันกัดกันกระมัง เสียงแบบนี้”
สือเชียนแกล้งส่งเสียงหนูกัดกัน ไถลลงมาจากคานแล้วค่อยๆ เปิดประตูห้องแบกหีบอย่างใจเย็นลงบันไดมา เปิดประตูออกไปนอกบ้าน เดินมาถึงประตูกองซึ่งปกติเปิดแล้วตั้งแต่ยามสี่ เพื่อให้คนที่ต้องเข้าเวรยามได้เข้าออก สือเชียนแบกหีบปะปนกับผู้คนออกไป พอพ้นมาได้ก็รีบออกนอกเมืองตรงไปยังโรงเตี๊ยม ฟ้ายังไม่ทันสางจึงต้องเคาะประตูเรียก พอเข้าห้องก็จัดแจงเก็บข้าวของรวมเป็นหนึ่งหาบ หาบออกมา จ่ายค่าที่พัก แล้วออกเดินทางมุ่งมาทางตะวันออก
เดินทางมาได้สี่สิบกว่าลี้ พบร้านอาหารแห่งหนึ่งจึงแวะใช้เตาหุงหาอาหาร ก็พบเข้ากับจอมเวทเทพเดินหนไต้จงซึ่งติดตามมาฟังข่าวและคอยประสานงาน ไต้จงเห็นว่าได้ของมาแล้ว ก็หาโอกาสแอบคุยกันว่า “ข้าจะนำชุดเกราะกลับค่ายก่อน ท่านกับทังหลงค่อยๆ ตามมา”
สือเชียนเปิดหีบหยิบชุดเกราะโซ่ขนห่านป่า 雁翎锁子甲 มัดใส่ห่อผ้าส่งให้ไต้จง ไต้จงรับมาผูกติดตัว แล้วใช้เวทเดินหนเร่งกลับเหลียงซาน
สือเชียนนำหีบหนังเปล่าผูกกับหาบไว้โจ่งแจ้งให้เห็นกันชัดๆ กินข้าวเสร็จแล้ว จ่ายค่าทำครัว นำหาบขึ้นบ่าเดินออกจากร้านไป
เดินทางมาได้ยี่สิบลี้ก็พบกับทังหลง ทั้งสองจึงเข้าไปคุยกันในร้านอาหาร
ทังหลงว่า “ท่านทำตามแผนข้า ไปตามเส้นทางนี้ พบร้านเหล้า ร้านอาหาร หรือโรงแรมที่พัก ที่มีวงกลมขาววาดไว้บนประตู ก็แวะเข้าไปกินดื่มหรือพักแรม เอาหีบตั้งวางไว้ให้คนสังเกตเห็น ค่อยๆ ไประยะหนึ่ง รอข้าตามมา”
สือเชียนจึงเดินทางไปตามแผน ทังหลงนั่งดื่มต่อไม่รีบร้อน หมดจอกแล้วจึงค่อยเข้าเมืองหลวง
ทางบ้านของสวีหนิง พอฟ้าสาง สาวใช้ทั้งสองตื่นขึ้นมาเห็นประตูหอเปิด ลงมาดูด้านล่างประตูกลางบ้านและประตูใหญ่ต่างเปิดหมด จึงรีบสำรวจดูในบ้านก็ไม่พบว่ามีสิ่งใดหาย จึงขึ้นมาหานายหญิงบนหอบอกว่า “ไม่ทราบว่าทำไมประตูจึงเปิดทิ้งไว้ แต่ของไม่มีอะไรหาย”
นายหญิงว่า “เมื่อตอนยามห้า มีเสียงดังบนคาน เจ้าว่าเสียงหนูกัดกัน ลองไปดูสิว่าหีบหนังยังอยู่ปกติไหม”
สองสาวใช้มาดูแล้วร้องว่าแย่แล้ว “หีบหนังไม่รู้ว่าไปไหนแล้ว”
นายหญิงตกใจกล่าวว่า “วานคนรีบไปศาลหลงฝู เรียนนายท่านให้รู้ ให้เขาออกตามหา”
สาวใช้ไหว้วานคนไปหาสวีหนิงที่ศาลหลงฝูสามสี่เที่ยวแล้วก็ไม่ได้ความ ล้วนกลับมาบอกว่า “พวกกองทวนทองตามเสด็จเข้าไปด้านใน ด้านนอกเป็นองครักษ์จากกองอื่น ไม่ให้ใครเข้าไป คงต้องรอท่านกลับมาเอง”
สวีหนิงกลับมาบ้านตอนโพล้เพล้ เพียงย่างเท้าก้าวผ่านประตูกอง เพื่อนบ้านก็มาบอกว่า “ขโมยขึ้นบ้านท่าน ภรรยาท่านรอท่านอยู่ทั้งวัน ไม่เห็นกลับมาสักที”
สวีหนิงตกใจ รีบกลับเข้าบ้าน สาวใช้รออยู่หน้าประตูแจ้งว่า “นายท่านออกไปตอนยามห้า ก็มีขโมยเข้ามาจำเพาะเอาแต่หีบหนังบนคานไป”
สวีหนิงยิ่งพลุ่งพล่านหนัก ความฉุนเฉียวแล่นขึ้นมาจากท้องน้อย
ภรรยาว่า “หัวขโมยนี่ไม่รู้แอบเข้ามาเมื่อไร”
สวีหนิงว่า “อย่างอื่นยังพอทำเนา แต่เกราะขนห่านป่านี่เป็นของสำคัญตกทอดมาแต่บรรพบุรุษสี่ชั่วคน ให้หายไม่ได้ หวางไท่เว่ยเคยขอซื้อถึงสามหมื่นก้วน ข้าก็ไม่ขาย เกรงว่าวันหน้าออกศึกสงครามต้องใช้ กลัวอยู่ว่าจะหายไปจึงเอาเชือกมัดเก็บไว้บนคาน ใครมาขอดู ก็บอกปัดหมด คราวนี้หากรู้ถึงไหนคงได้หัวเราะเยาะข้าแน่ หายไปครานี้ จะทำอย่างไรดี”
คืนนั้นสวีหนิงนอนไม่หลับทั้งคืน เฝ้าแต่ครุ่นคิด “ไม่รู้ว่าใครที่ไหนมาขโมยไป ต้องเป็นคนที่รู้ว่าข้ามีเกราะชุดนี้อยู่”
ภรรยาว่า “เมื่อคืนตอนตะเกียงดับ ขโมยนั่นคงเข้ามาซ่อนตัวในบ้านแล้ว คงเป็นคนที่อยากได้ของของท่าน ขอซื้อแล้วไม่ขาย จึงใช้ขโมยมือดีมาลักไป ต้องค่อยๆ สอบสวน กระโตกกระตากไปจะกลายเป็นแหวกหญ้าให้งูตื่น”
สวีหนิงนอนไม่หลับ จนฟ้าสางยังลุกขึ้นมานั่งมึนงง
蜀王春恨,宋玉秋悲,
吕虔遗腰下之刀,雷焕失狱中之剑。
珠亡照乘,璧碎连城。
王恺之珊瑚已毁,无可赔偿;
裴航之玉杵未逢,难谐欢好。
正是凤落荒坡凋锦羽,龙居浅水失明珠。
ระทมดังสู่อ๋อง
เศร้าหมองดังซ่งวี่
เหลยห้วนสูญกระบี่
หลวี่เชี่ยนทำมีดหาย
 
มุกควรเมืองดับเถกิง
หยกเหลียนเฉิงแหลกสลาย
กัลปังหาทุบทำลาย
หาสิ่งใดคืนหวางไข่
 
สากหยกของเผยหัง
ยังไม่พบ อดพิสมัย
เสียขนหงส์ร่วงนภาลัย
ตกน้ำตื้นเสียมุกมังกร
(รายการโศกนาฎกรรมในประวัติศาสตร์หรือตำนาน)
(กัลปังหาของหวางไข่ : พระมาตุลาหวางไข่ 王恺 ชอบอวดความมั่งมี แต่อวดอะไรก็ถูกสือฉง 石崇 ข่มด้วยของที่ดีกว่าเหนือกว่า จนวันหนึ่งนำต้นกัลปังหาพระราชทานต้นใหญ่หายากมาอวด ถูกสือฉงใช้ค้อนทุบทำลาย
เรื่องเผยหัง 裴航 ใช้สากหยกตำหาคู่ เคยกล่าวถึงในตอนพานเฉี่ยวหยุนกับเผยหยูไห่)
หลังอาหารเช้า มีเสียงคนมาเคาะประตู ยามเข้ามาแจ้งว่า “มีคนชื่อทังหลงเป็นบุตรหัวหน้าค่ายทังเมืองหยันอัน มาขอพบ” สวีหนิงจึงให้เชิญมายังห้องรับแขก
ทังหลงพบสวีหนิงก็ก้มกราบแล้วกล่าวว่า “ท่านพี่สบายดี”
สวีหนิงว่า “ได้ข่าวท่านน้าเสีย แต่มัวติดงานราชการอีกทั้งระยะทางไกลจึงไม่มีโอกาสไปร่วมไว้อาลัย ข่าวคราวของน้องเราก็เงียบหายไป ท่านไปอยู่ที่ไหน วันนี้ทำไมจึงมีเวลามา”
ทังหลงว่า “เรื่องมันยาว เอาเป็นว่านับแต่ท่านพ่อเสียไป ข้าก็เร่ร่อนอยู่ในวงนักเลง คราวนี้ก็มาจากซานตง ตั้งใจมาพบพี่ท่านที่เมืองหลวง”
สวีหนิงว่า “น้องเรา เชิญนั่ง” แล้วก็สั่งให้จัดสุราอาหาร
ทังหลงล้วงห่อผ้าหยิบทองกลีบกระเทียมออกมาสองแท่งค่ารวมยี่สิบตำลึงส่งให้สวีหนิง กล่าวว่า “ก่อนสิ้นบุญท่านพ่อเหลือสิ่งนี้เอาไว้ให้ข้านำมามอบแก่พี่ท่านเป็นที่ระลึก แต่หาคนที่ไว้ใจได้ไม่ได้จึงยังไม่ได้ส่งมา วันนี้จึงตั้งใจมาเมืองหลวงเพื่อมอบให้พี่ท่าน”
สวีหนิงว่า “เป็นพระคุณของท่านน้าที่ยังคิดถึง ข้าเสียอีกยังไม่เคยทำสิ่งใดตอบแทนคุณท่านเลย”
ทังหลงว่า “ท่านพี่อย่าได้กล่าวเช่นนั้น ตอนท่านพ่อยังอยู่ ยังพูดถึงพี่ท่านเสมอ ติดแต่ว่าหนทางห่างไกล จึงไม่ค่อยได้พบหน้า สิ่งนี้เป็นความตั้งใจของท่านพ่อ”
สวีหนิงจึงรับไว้ แล้วจัดสุราอาหารรับรอง
ระหว่างอาหาร ทังหลงสังเกตเห็นสวีหนิงขมวดคิ้วนิ่วหน้า สีหน้าไม่สู้ดี จึงถามว่า “ท่านพี่หน้าตาไม่ค่อยสบาย มีกังวลอันใดหรือ”
สวีหนิงถอนหายใจว่า “น้องเรายังไม่รู้ เมื่อคืนมีขโมยขึ้นบ้าน”
ทังหลงถามว่า “แล้วได้อะไรไปบ้าง”
สวีหนิงว่า “เจาะจงขโมยแต่ชุดเกราะโซ่ขนห่านป่า หรือที่เรียกว่า เทียบถังหนี ที่บรรพชนเหลือตกทอดไว้ให้ หายไปเมื่อคืน จึงกลุ้มใจนัก”
ทังหลงว่า “เกราะชุดนั้นของพี่ท่าน ผู้น้องเคยเห็น ล้ำค่าหาใดเปรียบ ท่านพ่อเคยเอ่ยชมอยู่บ่อย แล้วพี่ท่านเก็บไว้ที่ไหนถึงหายได้”
สวีหนิงว่า “ข้าใส่ไว้ในหีบหนัง มัดเอาไว้กับคานในห้องนอน ไม่รู้ว่าขโมยเข้ามาลักไปเมื่อไร”
ทังหลงถามว่า “หีบหนังแบบไหนที่ใช้ใส่”
สวีหนิงว่า “เป็นหีบหนังแพะแดง ด้านในใช้ผ้าแพรห่อไว้”
ทังหลงแสร้งทำเป็นตกใจกล่าวว่า “หีบหนังแพะแดง ด้านบนปักด้ายขาวเป็นแท่งหยูอี้หัวลายเมฆคราม ตรงกลางเป็นภาพสิงโตเล่นตะกร้อถัก”
สวีหนิงว่า “น้องเรา ไปเห็นที่ไหน”
ทังหลงว่า “เมื่อคืนตอนผู้น้องอยู่ห่างจากเมืองราวสี่สิบลี้ สั่งเหล้าดื่มในร้านแห่งหนึ่ง เห็นชายร่างผอมตาดำวาวหาบหีบนี้ ผู้น้องก็นึกอยากรู้ว่าในหีบใส่ของอะไร ตอนใกล้จะออกจากร้านจึงถามเขาว่า “หีบนี่ใช้ใส่อะไร” เขาตอบว่า “เดิมไว้ใส่ชุดเกราะ ตอนนี้ก็มีแต่พวกเสื้อผ้า” ดูท่าจะเป็นคนผู้นี้แน่ ขาของเขาดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บ ก้าวย่างไม่ถนัด ทำไมพวกเราไม่รีบตามไป”
สวีหนิงว่า “หากตามทัน นับว่าสวรรค์มีตา”
ทังหลงว่า “แม่นแล้ว อย่ารอช้า รีบตามกันเถิด”
สวีหนิงรีบเปลี่ยนชุดคว้าอาวุธออกติดตามพร้อมกับทังหลงมาทางประตูกำแพงตะวันออก พอมาถึงร้านอาหารแห่งหนึ่งมีวงกลมขาววาดไว้ที่ประตู ทังหลงจึงว่า “พวกเราแวะกินอะไรสักหน่อย จะได้ลองถามเบาะแสดูด้วย”
พอนั่งลงแล้วทังหลงก็ถามว่า “เถ้าแก่ เคยเห็นชายร่างผอมตาวาว หาบหีบหนังแพะแดงผ่านมาบ้างไหม”
เจ้าของร้านว่า “เย็นวานนี้ เห็นคนลักษณะอย่างว่าหาบหีบหนังแพะแดงผ่านมาอยู่ ดูเหมือนจะเจ็บที่ขา เห็นเดินขากะเผลก”
ทังหลงถามสวีหนิงว่า “พี่ท่านว่าใช่ไหม”
สวีหนิงไม่พูดอะไร
จ่ายค่าเหล้าแล้วทั้งสองก็ออกตามต่อจนมาถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งมีวงกลมขาว ทังหลงว่า “พี่ท่าน ผู้น้องไปต่อไม่ไหวแล้ว พักกันที่นี่สักคืน พรุ่งนี้ค่อยตามต่อ”
สวีหนิงว่า “ข้ารับราชการ หากไม่ไปลงชื่อ จะมีความผิด”
ทังหลงว่า “เรื่องนี้พี่ท่านไม่น่าห่วง อาซ้อคงไปแจ้งเหตุขอผัดผ่อนไว้แล้ว”
เย็นนั้นพอสอบถามทางโรงเตี๊ยม เสี่ยวเอ้อก็ตอบว่า “เมื่อคืนมีชายร่างผอมตาวาวมาพักแรมคืนหนึ่ง วันนี้ตอนสายๆ เพิ่งออกเดินทาง เห็นว่าจะไปทางซานตง”
ทังหลงว่า “เช่นนั้นก็ตามมาถูกแล้ว พรุ่งนี้ออกแต่ยามสี่คงตามทัน จับตัวได้แน่”
ตอนก่อนหน้า : ฟ้าคำราม
ตอนถัดไป : มือทวนทองต้องอุบาย

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา