10 ก.ค. เวลา 10:46 • ประวัติศาสตร์

ขุนโจรเหลียงซาน 138

ศึกสามเขาตีเมืองชิงโจว (3) ฮูหยันจว๋อสามิภักดิ์
ซ่งเจียงนำทัพทหารสามพัน ยี่สิบนายพลมาถึงเมืองชิงโจวโดยราบรื่น ข่งเลี่ยงล่วงหน้าไปแจ้งพวกหลู่จื้อเซินก่อน พอทัพหลวงซ่งเจียงมาถึง อู่ซงก็พาหลู่จื้อเซิน หยางจื้อ หลี่จง โจวทง ซือเอิน เฉาเจิ้งมาทำความรู้จัก
หลู่จื้อเซินว่า “ได้ยินชื่อพี่ท่านมานาน ไม่มีวาสนาได้คารวะ วันนี้ยินดียิ่งนักที่ได้รู้จัก”
ซ่งเจียงว่า “ผู้น้อยด้อยสามารถที่จะเอ่ยถึง เหล่าผู้กล้าในวงนักเลงเอ่ยชมพระอาจารย์ว่าทรงคุณธรรม นับว่าโชคดียิ่งที่ได้พบหน้าในวันนี้”
หยางจื้อลุกขึ้นคารวะแล้วว่า “ก่อนหน้านี้หยางจื้อเคยผ่านทางเหลียงซานป๋อ ทางค่ายกรุณาให้อยู่ด้วย แต่ส่าเจียโง่เขลาไม่ยอมอยู่ วันนี้โชคดียิ่งนักที่ได้ท่านผู้ทรงคุณธรรมกำกับดูแลค่าย นับเป็นเรื่องดีลำดับแรกในใต้หล้า”
ซ่งเจียงตอบว่า “ชื่อเสียงท่านจื้อสื่อสะท้านยุทธภพ เสียดายซ่งเจียงรู้จักท่านช้าไป”
หลู่จื้อเซินให้จัดสุราเลี้ยงต้อนรับ ทุกคนต่างมาทำความรู้จัก
วันรุ่งขึ้น ซ่งเจียงถามว่า “สถานการณ์ศึกที่ชิงโจวช่วงนี้ได้เปรียบเสียเปรียบกันเช่นไร”
หยางจื้อว่า “นับแต่ข่งเลี่ยงออกเดินทางไป ได้สู้รบกันห้าครั้ง ไม่มีใครแพ้หรือชนะ ทุกวันนี้ ทางเมืองชิงโจวอาศัยฮูหยันจว๋อเพียงคนเดียว หากจับตัวคนผู้นี้ได้ การยึดเมืองก็ง่ายเหมือนเทน้ำร้อนรดหิมะ”
อู๋เสวียจิวหัวเราะแล้วว่า “คนผู้นี้ไม่อาจเอาชัยด้วยกำลัง ต้องจับด้วยปัญญา”
ซ่งเจียงว่า “มีอุบายใดได้ตัวคนผู้นี้”
อู๋เสวียจิวจึงว่า ต้องทำ เช่นนี้…เช่นนี้…
ซ่งเจียงชอบใจใหญ่ “แผนนี้เยี่ยมจริง”
วันนี้จึงจัดแบ่งกำลังกันตามแผน
เช้าวันรุ่งขึ้น ทัพเหลียงซานยกเข้าล้อมเมืองทั้งสี่ด้าน โบกธงรัวกลองท้ารบ เจ้าเมืองมู่หยงหารือกับฮูหยันจว๋อว่า “คราวนี้พวกโจรไปขอกำลังซ่งเจียงเขาเหลียงซานมา จะทำเช่นไร”
ฮูหยันจว๋อว่า “พระคุณท่านวางใจ พวกโจรเพิ่งมาถึง ยังไม่คุ้นชัยภูมิ เจ้าพวกนี้เก่งแต่ในหนองน้ำ วันนี้อยู่ห่างรัง มาหนึ่งคนจับหนึ่งคน ดูว่าจะลำพองได้เพียงใด พระคุณท่านขึ้นไปบนกำแพงรอชมฮูหยันจว๋อไล่ต้อนพวกมัน”
ฮูหยันจว๋อสวมเกราะขึ้นม้า ให้เปิดประตูเมืองทอดสะพาน นำทหารหนึ่งพันออกไปตั้งแถวหน้าเมือง
ขุนพลฝ่ายซ่งเจียงผู้หนึ่งควบม้าถือพลองเขี้ยวออกมายืนด่าว่า “ขุนนางต่ำช้า ขูดรีดปวงประชา บังอาจสังหารพวกข้าทั้งครอบครัว วันนี้ข้าจะมาล้างแค้นเจ้า”
เจ้าเมืองมู่หยงจำฉินหมิงได้ ด่าสวนมาว่า “ตัวเจ้าเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก บ้านเมืองไม่เคยให้ร้ายเจ้า เหตุใดจึงบังอาจทรยศ หากจับตัวได้ต้องสับเป็นหมื่นชิ้น จับตัวเจ้านี่ก่อนเลย”
ฮูหยันจว๋อได้ฟัง ก็รำกระบองคู่เข้าใส่ฉินหมิง ฉินหมิงควงพลองเขึ้ยวเข้ารบฮูหยันจว๋อ
鞭舞两条龙尾,棍横一串狼牙。
三军看得眼睛花,二将纵横交马。
使棍的军班领袖,使鞭的将种堪夸。
天昏地惨日扬沙,这厮杀鬼神须怕。
กระบองคู่ดูราวมังกรสอง
ไม้พลองปักรวงเรียวเขี้ยวหมาป่า
เหล่าทหารจ้องจนละลานตา
สองอาชาโลดโผนโจนทะยาน
ไม้พลองใช้ได้สมเป็นผู้นำ
กระบองรำสมคำโอ่อวดขาน
มืดฟ้ามัวดินหม่นอนธการ
ทั้งเทพมารขยาดแขยงกลัว
ทั้งสองรบกันได้ห้าสิบเพลงไม่รู้แพ้ชนะ เจ้าเมืองมู่หยงเห็นว่ารบกันนานเกรงฮูหยันจว๋อจะเพลี่ยงพล้ำจึงให้ตีม้าล่อถอยทัพกลับเข้าเมือง ฉินหมิงก็ไม่ไล่ตาม ถอยกลับเช่นกัน ซ่งเจียงให้ถอยทัพมาสิบห้าลี้ค่อยตั้งค่ายใหม่
ฮูหยันจว๋อกลับเข้าเมืองลงจากม้าแล้ว ก็มาถามเจ้าเมืองว่า “ผู้น้อยกำลังจะจับตัวฉินหมิงได้แล้ว พระคุณท่านเหตุใดจึงสั่งให้ถอยทัพ”
เจ้าเมืองว่า “ข้าเห็นท่านรบกันหลายเพลง เกรงจะอ่อนล้า จึงให้ถอยกลับมาพัก ฉินหมิงผู้นี้เดิมก็เป็นผู้บัญชาการทหารของเมืองนี้ มาทรยศพร้อมกันกับฮวาหยง คนผู้นี้มิอาจประมาทฝีมือ”
ฮูหยันจว๋อว่า “พระคุณท่านโปรดวางใจ ข้าเอาชนะโจรขบถผู้นี้ได้แน่ ตอนสู้กัน เห็นว่าเพลงพลองนั้นรวนแล้ว คราวหน้าผู้น้อยจะสังหารโจรผู้นี้ให้พระคุณท่านชม”
เจ้าเมืองว่า “ท่านขุนพลห้าวหาญยิ่งนัก ออกรบคราวหน้า กรุณารบเปิดทางให้คนถือสาส์นสามคน คนหนึ่งจะให้ไปขอความช่วยเหลือจากเมืองหลวง อีกสองคนไปยังเมืองข้างเคียง ขอกำลังมาร่วมรบปราบโจร”
แล้วก็เขียนหนังสือคัดทหารเตรียมการไว้
เย็นวันนั้นฮูหยันจว๋อกลับมาถอดเกราะพัก ฟ้าไม่ทันสว่าง ทหารมารายงานว่า “บนลาดเขานอกประตูเมืองข้างทิศเหนือ มีคนขี่ม้ามาตระเวนดูค่ายคูเมืองอยู่สามคน คนกลางสวมชุดแดงขี่ม้าขาว คนข้างขวาจำได้ว่าคือหลีกว่างน้อยฮวาหยง คนข้างซ้ายสวมชุดพรต”
ฮูหยันจว๋อว่า “คนสวมชุดแดงคงเป็นซ่งเจียง คนสวมชุดพรตคงเป็นเสนาธิการอู๋ย่ง พวกเจ้าอย่าเพิ่งทำให้แตกตื่น เตรียมกำลังทหารไว้หนึ่งร้อยนาย ข้าจะไปจับสามคนนี้”
ฮูหยันจว๋อสวมเกราะถือกระบองคู่ขึ้นม้านำทหารหนึ่งร้อยนายลอบออกมาทางประตูเมืองทิศเหนือตรงมายังลาดเขา ซ่งเจียง อู๋ย่ง ฮวาหยง ทั้งสามแกล้งตีหน้าตายยืนมองกำแพงเมืองทำเหมือนไม่รู้ ฮูหยันจว๋อควบม้าขึ้นมาบนลาดเขา ทั้งสามจึงหันม้าหนีไปอย่างไม่เร่งรีบ ฮูหยันจว๋อเร่งม้าตามมาจนถึงแนวต้นไม้ตายซาก ซ่งเจียง อู๋ย่ง ฮวาหยงจึงหยุดม้ายืนพร้อมกัน
พอฮูหยันจว๋อควบม้านำหน้ามาถึงข้างต้นไม้ตายซาก ก็มีเสียงทหารโห่ร้อง ม้าของฮูหยันจว๋อเหยียบลงบนหลุมกับดักที่ขุดพรางไว้ ร่วงลงไปทั้งคนทั้งม้า สองข้างทางมีทหารหกสิบนายถือตะขอยาวกรูกันออกมาเกี่ยวจับตัวมัดไว้ จับได้ทั้งคนทั้งม้า ทหารที่ติดตามมาถูกฮวาหยงใช้ธนูสอยร่วงไปเจ็ดคน ที่เหลือจึงกลับหลังหนี
พอซ่งเจียงกลับมานั่งยังค่าย ทหารลากตัวฮูหยันจว๋อที่ถูกมัดไว้มาถึงตรงหน้า ซ่งเจียงลุกขึ้นตวาดว่า “รีบแก้มัดเดี๋ยวนี้”
ซ่งเจียงเข้ามาพยุงฮูหยันจว๋อไปยังที่นั่ง แล้วก้มคารวะ
ฮูหยันจว๋อถามว่า “ท่านไยทำเช่นนี้”
ซ่งเจียงว่า “ข้าน้อยซ่งเจียงมิบังอาจทรยศราชสำนัก แต่เป็นด้วยขุนนางขึ้ฉ้อบีบบังคับป้ายสีความผิด จึงจำต้องอาศัยหนองน้ำเป็นที่ลี้ภัยชั่วคราว รอวันราชสำนักนิรโทษกรรม ไม่คิดว่าจะทำให้ท่านขุนพลต้องมาเหนื่อยแรง โดยแท้แล้วนับถือเกียรติศักดิ์ท่านขุนพล วันนี้ที่ได้ลบหลู่ ขอโปรดให้อภัย”
ฮูหยันจว๋อว่า “ผู้ตกเป็นเชลยสมควรตายอยู่แล้ว เหตุใดท่านต้องมาขอขมา”
ซ่งเจียงว่า “ซ่งเจียงมิบังอาจมุ่งร้ายหมายชีวิตท่านขุนพล ความจริงใจของข้าฟ้าเป็นพยาน 皇天可表寸心”
ฮูหยันจว๋อว่า “ความหมายของพี่ท่าน คงให้ฮูหยันจว๋อกลับไปเมืองหลวงขอพระราชทานนิรโทษกรรมแก่พวกท่านบนเขา”
 
ซ่งเจียงว่า “ท่านขุนพลจะทำได้เช่นไร เกาไท่เว่ยจิตใจคับแคบ ไม่รู้คุณคน คิดเล็กคิดน้อย ท่านขุนพลเสียทหารและเสบียงมากเพียงนี้ ไปถึงคงหาเรื่องลงโทษ บัดนี้ หันเทา เผิงฉี่ หลิงเจิ้นก็ล้วนเข้ามาเป็นพวก หากท่านขุนพลไม่ติว่าค่ายเราต่ำต้อย ซ่งเจียงยินดีสละตำแหน่งให้แก่ท่านขุนพล รอวันราชสำนักเห็นประโยชน์ นิรโทษกรรม หวนกลับไปรับใช้บ้านเมืองก็ยังไม่สาย”
ฮูหยันจว๋อนิ่งตรองอยู่ค่อนวัน หนึ่งนั้นก็เป็นพวกดาวเทียนกังมาจุติย่อมโน้มเอียงสู่หมู่ สองนั้นซ่งเจียงเจรจามีมารยาทและเหตุผล จึงถอนหายใจแล้วคุกเข่าลงกับพื้นกล่าวว่า
“มิใช่ว่าฮูหยันจว๋อไม่ภักดีต่อบ้านเมือง แต่เห็นว่าพี่ท่านมีคุณธรรมเหนือปุถุชน ฮูหยันจว๋อจึงยินยอมติดตามให้ช่วงใช้ มาถึงขั้นนี้ ย่อมไม่คืนคำ”
亲承天语净狼烟,不着先鞭愿执鞭。
岂昧忠心翻作贼,降魔殿内有因缘。
สืบทอดลิขิตสวรรค์ตามสัญญาน
แส้สั่งการไม่เอาขอแส้ม้า
แล้วไฉนงำใจภักดิ์เป็นโจรา
เป็นผลกรรมมาแต่ตำหนักสยบมาร
(亲承 สืบทอดโดยสายเลือดหรือพันธุกรรม
狼烟 หอส่งสัญญานด้วยควันไฟ
先鞭 แส้ชี้นำสั่งการ
执鞭 ถือแส้ มักใช้กับสารถีบังคับรถม้า
降魔殿 ตำหนักสยบมาร ที่กักขังดวงวิญญาน 108 ดวง ก่อนถูกปลดปล่อย)
(กระบองคู่ฮูหยันจว๋อ 双鞭呼延灼 ดาวเทพฟ้า เทียนกัง ลำดับที่ 8 เป็นหนึ่งในห้าแม่ทัพขุนพลพยัคฆ์ของเหลียงซาน ลำดับที่สี่ และหัวหน้าค่ายบกทิศเหนือ)
ซ่งเจียงแนะนำฮูหยันจว๋อให้รู้จักกับเหล่าหัวหน้า แล้วขอให้หลี่จง โจวทงนำม้ากาดำเตะหิมะส่งคืนให้แก่ฮูหยันจว๋อ
เหล่าหัวหน้าร่วมหารือกันถึงแผนการช่วยข่งหมิง อู๋ย่งว่า “หากขอให้ขุนพลฮูหยันจว๋อหลอกล่อให้เปิดประตูเมือง ก็ง่ายเพียงปลายนิ้ว ทั้งยังตัดสิ้นหนทางฮูหยันจว๋อกลับใจ”
ซ่งเจียงได้ฟังจึงมาหาฮูหยันจว๋อขออภัยแล้วกล่าวว่า “ใช่ว่าซ่งเจียงจะเห็นแก่ได้อยากยึดเมือง แต่ข่งหมิงอาหลานนั้นต้องขังอยู่ในคุก หากไม่ได้ท่านขุนพลช่วยเปิดประตูเมือง ก็ไม่อาจช่วยออกมา”
ฮูหยันจว๋อว่า “ขุนพลต่ำต้อยได้รับการยอมรับจากพี่ท่าน สมควรทำทดแทนคุณ”
เย็นวันนั้นจึงให้ ฉินหมิง ฮวาหยง ซุนลี่ เอี้ยนซุ่น หลวี่ฟาง กวอเสิ้ง เซี่ยเจิน เซี่ยเป่า โอวเผิง หวางอิง สิบคนแต่งตัวเป็นทหารหลวง ติดตามฮูหยันจว๋อ รวมสิบเอ็ดม้ามายังคูเมือง ตะโกนเรียกว่า
“เปิดประตูเมืองที ข้าหนีรอดมาได้”
คนบนกำแพงเมืองได้ยินเสียงฮูหยันจว๋อก็รีบไปรายงานเจ้าเมืองมู่หยง เจ้าเมืองกำลังนั่งมึนงงที่มาเสียฮูหยันจว๋อไป พอฟังว่าฮูหยันจว๋อหนีกลับมาได้ก็ดีใจรีบขึ้นม้ามายังกำแพงเมือง ขึ้นไปแลเห็นทหารขี่ม้าติดตามมาด้วยสิบนายแต่ไม่เห็นหน้าตา จำได้แต่เสียงฮูหยันจว๋อ เจ้าเมืองถามว่า “ท่านขุนพลกลับมาได้อย่างไร”
ฮูหยันจว๋อว่า “ข้าตกหลุมพรางถูกจับไปที่ค่าย มีทหารที่เคยติดตามข้าแอบขโมยม้าตัวนี้มาให้แล้วแอบหนีกันมา”
เจ้าเมืองจึงให้เปิดประตูทอดสะพานรับ ผู้ติดตามทั้งสิบก็เข้าเมืองมาด้วย พอมาถึงตัวเจ้าเมือง ฉินหมิงก็ลงมือสังหารเสีย เซี่ยเจิน เซี่ยเป่าจัดการวางเพลิง โอวเผิง เสือเตี้ยหวางวิ่งขึ้นไปไล่สังหารทหารรักษากำแพง
ซ่งเจียงแลเห็นแสงไฟในเมือง จึงเร่งทัพใหญ่เข้าเมืองมาได้ สั่งห้ามทำร้ายชาวบ้าน ให้เก็บทรัพย์เสบียงในคลัง ไปช่วยข่งหมิงจากคุก รวมทั้งข่งปินและครอบครัว ให้ช่วยกันดับไฟ นำครอบครัวเจ้าเมืองมู่หยงทั้งใหญ่น้อยตัดคอประหารสิ้น สำรวจทรัพย์สินบำเหน็จทหาร พอเช้าก็ให้สำรวจชาวบ้านที่เสียหายจากเพลิงไหม้ มอบเสบียงชดเชยความเสียหาย ทรัพย์ในคลัง เสบียงในยุ้งฉาง บรรทุกใส่รถได้หกร้อยคัน จัดเลี้ยงฉลองที่จวนในเมืองชิงโจว เชิญเหล่าหัวหน้าทั้งสามเขามาเข้าเป็นพวกกลับเหลียงซานด้วยกัน
หลี่จง โจวทง กลับไปเขาดอกท้อเก็บข้าวของแล้วเผาค่ายทิ้ง หลู่จื้อเซินก็ให้ซือเอิน เฉาเจิ้ง กลับเขาสองมังกรไปช่วยจางชิง ซุนเอ้อเหนียงเก็บข้าวของ แล้วเผาค่ายวัดแก้วมณีทิ้ง ไม่กี่วันต่อมาทั้งสามเขาก็มาสมทบพร้อมหน้ากัน
ซ่งเจียงนำทัพเดินทางกลับ ให้ฮวาหยง ฉินหมิง ฮูหยันจว๋อ จูถง เป็นทัพหน้าล่วงหน้าเปิดทาง ห้ามรบกวนหัวเมืองข้างเคียง ชาวบ้านต่างมาจุดธูปต้อนรับรายทาง ไม่กี่วันก็มาถึงเขาเหลียงซาน ข้ามเรือมายังหาดทรายทอง เฉาไก้พาพวกลงมารับขึ้นไปยังโถงร่วมธรรม หัวหน้าใหม่มาร่วมวงศ์ไพบูลย์คราวนี้สิบสองคนมี ฮูหยันจว๋อ หลู่จื้อเซิน หยางจื้อ อู่ซง ซือเอิน เฉาเจิ้ง จางชิง ซุนเอ้อเหนียง หลี่จง โจวทง ข่งหมิง ข่งเลี่ยง
ระหว่างสนทนา หลินชงกล่าวถึงเรื่องที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากหลู่จื้อเซิน
หลู่จื้อเซินจึงถามว่า “ตั้งแต่ส่าเจียกับท่านครูฝึกแยกทางกันแล้ว เคยได้ข่าวอาซ้อหรือไม่”
หลินชงว่า “หลังจากผู้น้อยกำจัดหวางหลุนแล้ว ก็ให้คนไปรับภรรยาที่บ้าน จึงรู้ว่านางถูกลูกไม่เอาไหนของเกาไท่เว่ยบีบคั้นจนต้องผูกคอตาย ส่วนท่านพ่อตาก็ตรอมใจจนป่วยถึงแก่กรรมตามไป”
(หลู่จื้อเซินกับหลินชงเคยร่วมสาบานเรียกขานกันเป็นพี่น้อง แต่หลังจากหลินชงหักหลังหลู่จื้อเซินเปิดเผยสถานะของหลู่จื้อเซินจนต้องระหกระเหินในวงนักเลงแล้ว หลู่จื้อเซินก็ไม่เคยเรียกหลินชงว่าน้องอีกเลย เรียกว่า ท่านครูฝึก)
หยางจื้อเล่าถึงเรื่องที่เคยได้มาเหลียงซานพบหวางหลุน เหล่าพวกพ้องจึงพร้อมใจกันว่า “ทุกสิ่งล้วนถูกกำหนด หาใช่เกิดโดยบังเอิญ”
เฉาไก้เล่าถึงเรื่องปล้นของขวัญที่เนินดินเหลืองจนได้มาอยู่ที่นี่ ทุกคนต่างพากันหัวเราะ
สำหรับหลู่จื้อเซินได้มาอยู่เขาเหลียงซานอันมีชัยภูมิตั้งอยู่กลางหนองน้ำนั้น นับว่าคาถาวรรคที่สามที่หลวงพ่อจื้อเจินวัดอู่ไถให้ไว้ก็เป็นจริงแล้ว
 
遇水而兴  พบน้ำแล้วรุ่ง
ตอนก่อนหน้า : พันธมิตรสามเขา
ตอนถัดไป : สงฆ์ลงลายพลาดท่า

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา