22 ก.ค. เวลา 10:26 • ประวัติศาสตร์

ขุนโจรเหลียงซาน 142

สยบมารเขาหมางตั้ง (2) จอมมารสู่เหลียงซาน
เช้าวันรุ่งขึ้น กงซุนเสิ้งเสนอค่ายกลพยุหะแก่ซ่งเจียงและอู๋ย่ง “เป็นค่ายกลพยุหะเรียงหินของจูเก่อข่งหมิง 诸葛孔明 ในยุคสามแผ่นดินปลายราชวงศ์ฮั่น 汉末三分 สี่เหลี่ยมแปดด้าน แปดแปดหกสิบสี่กระบวน มีแม่ทัพใหญ่อยู่ตรงกลาง ดังมีสี่หัวแปดหาง หมุนซ้ายย้ายขวา ตามสภาวะแห่งดินฟ้า ท่วงท่าแห่งมังกรเสือหงส์งู (龙虎鸟蛇 สัตว์ประจำทิศทั้งสี่) เมื่อศัตรูเข้าโจมตี ทหารสองฝั่งเปิดทาง ให้เข้าสู่ค่ายกลพยุหะ เห็นแถบเจ็ดดาว แปรค่ายกลยาวเป็นรูปงู
พรตผู้ยากจะใช้วิชา ให้ทั้งสามหลงอยู่ในค่ายกลไร้หนทางออกทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง บนพื้นให้ขุดหลุมพราง บังคับทั้งสามมุ่งมาทางหลุม สองฝั่งให้ซุ่มตะขอยาว เตรียมพร้อมล้อมจับ”
ซ่งเจียงได้ฟังก็ชอบใจ ถ่ายทอดคำสั่งให้เหล่าทัพปฏิบัติตาม กำหนดตัวแปดขุนพลรักษาแปดทิศค่ายกลพยุหะ มีฮูหยันจว๋อ จูถง ฮวาหยง สวีหนิง มู่หง ซุนลี่ สื่อจิ้น หวงซิ่น
ให้ไฉจิ้น หลวี่ฟาง กวอเสิ้ง บัญชาทัพหลวงชั่วคราว
ซ่งเจียง อู๋ย่ง กงซุนเสิ้ง กำกับเฉินต๋าโบกธงสัญญาน
ให้จูอู่นำทหารห้านายขึ้นบนลาดเขาสูงสังเกตกระบวนทัพแล้วรายงาน
ยามสื้อวันนั้น 巳牌 (10:00 น.) ทัพยกมาวางค่ายกลพยุหะใกล้เชิงเขา โบกธงรัวกลองท้ารบ บนเขาหมางตั้งระดมม้าล่อยี่สิบสามสิบตัวรัวตีตอบจนแผ่นดินสะเทือน สามนายทัพลงเขามาพร้อมทหารสามพันกางแถวออก เซี่ยงชง หลีกุ่นขนาบซ้ายขวา ตรงกลางมีชายฉกรรจ์ขี่ม้าชื่อว่า ฝานยุ่ย 樊瑞 เป็นชาวเมืองผูโจว 濮州 ยามเยาว์เข้าสำนักพรตเฉวียนเจิน 全真 ศึกษาวิชาจนแก่กล้า ใช้ตุ้มดาวตก 流星锤 เป็นอาวุธ ผลุบโผล่ดังผี ฆ่าขุนชิงธง คนไม่กล้าใกล้ ฉายาจอมมารป่วนโลกา 混世魔王
头散青丝细发,身穿绒绣皂袍,
连环铁甲晃寒霄,惯使铜锤神妙。
好似北方真武,世间伏怪除妖,
云游江海把名标,混世魔王绰号。
ปล่อยผมเผ้าดำยาวสยาย
สวมคลุมกายกำมะหยี่สีดำปัก
เกราะห่วงโซ่ฟ้าราตรีที่หนาวนัก
ตุ้มดาวตกหนักไฉนใช้คล่องดี
ดูคล้ายองค์เจินอู่เทพอุดร
ตอนไล่ต้อนปราบมารผลาญภูตผี
ท่องเที่ยวทั่วแหล่งหล้าวิชาดี
มีฉายาจอมมารป่วนโลกา
 
(เทพเจินอู่ 真武 เทพทิศเหนือ เรียกอีกชื่อว่า เสวียนเทียน 玄天)
จอมมารป่วนโลกาขี่ม้าสีดำ แม้จะเชี่ยวชาญไสยเวท แต่ไม่รู้จักค่ายกล พอเห็นซ่งเจียงตั้งค่ายกระจายทหารไปสี่ด้านแปดทิศ ก็แอบดีใจคิดว่า “วางค่ายกลหรือ เสียทีข้าละ”
แล้วสั่งเซี่ยงชง หลีกุ่นว่า “เมื่อเกิดพายุ จงนำทหารกุ่นเตา 滚刀 ห้าร้อยคนบุกตลุยเข้าตีค่ายกล”
ฝานยุ่ยยืนบนหลังม้า มือซ้ายพันตุ้มดาวตกให้นิ่ง มือขวาถือกระบี่อาคม ร่ายคาถาแล้วตวาดว่า “จี๋ 疾” พายุคลั่งก่อตัวขึ้นรอบด้าน หอบหินทรายปลิวว่อนมืดฟ้ามัวดินสิ้นแสงตะวัน เซี่ยงชง หลีกุ่นนำทหารกุ่นเตาห้าร้อยคนบุกเข้ามา ทหารของซ่งเจียงแยกยืนสองฝั่งเปิดทางให้ พอเซี่ยงชง หลีกุ่นเข้าสู่ค่ายกลพยุหะแล้ว ทหารทั้งสองฝั่งก็ระดมยิงหน้าไม้สกัด ปล่อยทหารติดตามเข้าไปได้เพียงสี่ห้าสิบคน ที่เหลือต้องถอยกลับไป
ซ่งเจียงอยู่บนลาดเขาสูงแลเห็นเซี่ยงชง หลีกุ่นเข้าไปกลางค่ายกลแล้ว ก็บอกให้เฉินต๋าโบกธงสัญญานเจ็ดดาว ค่ายกลพยุหะแปรกระบวนยืดยาวเป็นรูปงู เซี่ยงชง หลีกุ่นวิ่งวนซ้ายขวาออกตกหาทางออกไม่ได้ จูอู่อยู่บนลาดเขาสูงถือธงเล็กคอยชี้บอกสกัด พอทั้งสองไปทางตะวันออก ก็ชี้ธงไปตะวันออก พอวิ่งมาทางตะวันตก ก็ชี้ธงมาตะวันตก
กงซุนเสิ้งอยู่บนที่สูงเห็นดังนั้น จึงชักกระบี่กู่ติ้งลายต้นสน 松文古定剑 ขึ้นมาถือไว้ ร่ายคาถาแล้วตวาดว่า “จี๋ 疾” เปลี่ยนทิศทางพายุให้หมุนเข้าหาเซี่ยงชง หลีกุ่น
ทั้งสองตกอยู่กลางค่ายกล ฟ้าดินมืดมัวไม่เห็นแสงตะวัน มีแต่ความมืดรอบด้าน ไม่เห็นทหารศัตรูหรือแม้แต่ทหารผู้ติดตามของตน เซี่ยงชง หลีกุ่นพะวักพะวนพยายามหาทางกลับค่ายแต่ไม่เห็นทาง ระหว่างย่างเท้าอยู่นั้น พลันเกิดเสียงฟ้าคำรามลั่น แล้วทั้งสองก็พลาดเท้าตีลังกาลงหลุมไปด้วยกัน สองข้างมีตะขอยาวรุมยื่นเข้ามาเกี่ยวตัวเอาไว้ ใช้เชือกมัดทั้งสองแล้วพาขึ้นมาบนลาดเขาเอาบำเหน็จ
ซ่งเจียงชี้แส้ม้า ทหารสามเหล่ากรูออกมาล่าสังหาร ฝานยุ่ยควบม้าพาทหารหนีกลับขึ้นเขา พวกที่หนีไม่ทันล้มตายถูกจับเสียกว่าครึ่ง
ซ่งเจียงให้ถอยทัพ แล้วนั่งอยู่ที่หน้าค่าย ทหารนำตัวเซี่ยงชง หลีกุ่นมาหน้าธง ซ่งเจียงจีงรีบบอกให้แก้มัด แล้วรินเหล้าให้ด้วยตัวเอง กล่าวว่า
“ผู้กล้าทั้งสอง ต้องขออภัย ยามศึกสงครามจำต้องทำเช่นนี้ ผู้น้อยซ่งเจียงได้ยินชื่อผู้กล้าทั้งสามมานาน ใคร่จะมาเชิญขึ้นเขาไปร่วมอุดมการณ์ แต่ที่ยังไม่ได้มาด้วยว่าเกิดเหตุเสียก่อน หากไม่ได้ค้างคาใจ ก็ขอเชิญกลับค่ายไปด้วยกัน จะนับว่าดีเลิศประเสริฐยิ่ง”
ทั้งสองได้ฟังก็ก้มกราบกับพื้นแล้วว่า “เคยได้ยินแต่ชื่อฝนยามแล้ง ผู้น้อยยังไม่มีวาสนามาคารวะทำความรู้จัก ที่แท้พี่ท่านทรงคุณธรรมยิ่งนัก พวกเราทั้งสองมองไม่ออกเองว่าใครดีจึงทำผิดต่อฟ้าดิน วันนี้ที่ถูกจับมา อันที่จริงสมควรตาย แต่กลับได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติ แม้หากไม่ฆ่าแล้วก็ยินดีที่จะตอบแทนพระคุณ ฝานยุ่ยนั้น หากขาดเราสองคนก็ทำอะไรไม่ได้ หากท่านยอมปล่อยเรากลับไปคนหนึ่ง จะเกลี้ยกล่อมให้มาอ่อนน้อมคารวะ มิทราบท่านเห็นเช่นไร”
ซ่งเจียงว่า “ท่านผู้กล้า หาจำเป็นต้องกักไว้คนหนึ่งเป็นประกัน ขอเชิญท่านกลับไปพร้อมกันทั้งสองคน ซ่งเจียงจะรอฟังข่าวดี”
ทั้งสองกราบขอบคุณแล้วว่า “นับเป็นผู้ทรงคุณธรรมโดยแท้ แม้หากฝานยุ่ยไม่ยินยอมมาอ่อนน้อม พวกข้าก็จะจับตัวมาให้ท่านเอง”
ซ่งเจียงยินดียิ่งนัก เชิญมายังค่ายแล้วให้จัดสุราอาหารรับรอง แล้วจัดหาเสื้อผ้าใหม่ให้คนละชุด มอบม้าให้คนละตัว ให้ลิ่วล้อนำโล่และอาวุธมาคืนให้ แล้วนำทางส่งกลับค่ายบนเขา
ทั้งสองมาถึงเชิงเขา ลิ่วล้อเห็นเข้าก็ตกใจ เปิดรับให้ขึ้นไปบนเขา ฝานยุ่ยเห็นก็ถามว่ากลับมาได้อย่างไร
เซี่ยงชง หลีกุ่นว่า “พวกเราฝืนลิขิตฟ้า สมควรตายยิ่งนัก”
ฝานยุ่ยว่า “น้องเรา ทำไมกล่าวเช่นนี้”
ทั้งสองจึงกล่าวสรรเสริญคุณธรรมของซ่งเจียง แล้วเล่าเรื่องราวให้ฟัง
ฝานยุ่ยว่า “ที่แท้ซ่งกงหมิงเป็นผู้มีความสามารถและทรงคุณธรรมยิ่งนัก พวกเราก็ไม่ควรฝืนลิขิตฟ้า พรุ่งนี้เช้าก็ลงเขาไปคารวะสามิภักดิ์กันเถิด”
วันรุ่งขึ้น พอฟ้าสาง ทั้งสามก็ลงเขามายังค่ายของซ่งเจียง กราบคารวะกับพื้น ซ่งเจียงพยุงทั้งสามให้ลุกขึ้นแล้วเชิญเข้ามานั่งในค่าย ทั้งสามเห็นซ่งเจียงไม่ติดใจคิดระแวงแม้แต่น้อย จึงเปิดอกสนทนากันถึงเรื่องราวต่างๆ แล้วก็เชิญซ่งเจียงและเหล่าหัวหน้าขึ้นเขาหมางตั้งไปยังค่ายจะได้ล้มม้าฆ่าวัวจัดเลี้ยงดูกัน
หลังงานเลี้ยง ฝานยุ่ยกราบกงซุนเสิ้งเป็นอาจารย์ ซ่งเจียงจึงขอให้กงซุนเสิ้งถ่ายทอดหัวใจคาถาเทพฟ้าห้าคำรณ 五雷天罡正法 (อู่เหลยเทียนกัง เจิ้งฝ่า) ให้แก่ฝานยุ่ย ฝานยุ่ยยินดียิ่งนัก
ไม่กี่วันต่อมา ก็ช่วยกันเก็บข้าวของ ต้อนม้าและวัว เผาค่ายเดิมทิ้ง ติดตามซ่งเจียงเดินทางกลับสู่เขาเหลียงซาน
จอมมารป่วนโลกาฝานยุ่ย 混世魔王樊瑞 ดาวมารดิน ตี้ส้า ลำดับที่ 25 ลำดับรวมที่ 61 เป็นหนึ่งในสิบเจ็ดรองแม่ทัพราบเขาเหลียงซาน ลำดับที่หนึ่ง
นาจาแปดแขนเซี่ยงชง 八臂哪吒项充 ดาวมารดิน ตี้ส้า ลำดับที่ 28 ลำดับรวมที่ 64 เป็นหนึ่งในสิบเจ็ดรองแม่ทัพราบเขาเหลียงซาน ลำดับที่สาม
ต้าเสิ้งเหินฟ้าหลีกุ่น 飞天大圣李衮 ดาวมารดิน ตี้ส้า ลำดับที่ 29 ลำดับรวมที่ 65 เป็นหนึ่งในสิบเจ็ดรองแม่ทัพราบเขาเหลียงซาน ลำดับที่สี่
ซ่งเจียงนำทัพกลับเขาเหลียงซานโดยราบรื่น พอมาถึงริมน้ำยังไม่ทันข้ามฟากไปหาดทรายทอง ก็มีคนผู้หนึ่งมารอพบอยู่ คนผู้นั้นคุกเข่าคารวะ ซ่งเจียงจึงลงม้ามาพยุงให้ลุกขึ้น แล้วถามว่า “ใต้เท้าท่านชื่อแซ่ใด เป็นคนที่ไหน”
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นตอบว่า “ผู้น้อยแซ่ต้วน 段 ชื่อจิ่งจู้ 景住 คนเห็นผู้น้องผมเผ้าแดงหนวดเคราเหลือง จึงเรียกกันว่า หมาขนทอง 金毛犬 ผู้น้อยเป็นชาวเมืองจวอโจว 涿州 หาเลี้ยงชีพโดยการขโมยม้าจากทางเหนือมาขาย
เมื่อฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมานี้ ได้ไปยังด้านเหนือของสันเชียงกัน 枪竿岭 (สันด้ามทวน)ขโมยม้าดีมาได้ตัวหนึ่ง สีขาวปลอดไม่มีขนสีอื่นแซมแม้แต่เส้นเดียว ลำตัวจากหัวถึงหางยาวหนึ่งจ้าง ความสูงจากเท้าถึงสันหลังม้าสูงแปดฉื่อ ม้าสูงใหญ่เดินทางได้วันละพันลี้ ทางเหนือเรียกกันว่า “ม้าสิงห์หยกส่องราตรี 照夜玉狮子马” เป็นม้าทรงของท่านอ๋องแห่งต้าจิน 大金王子 นำมาเลี้ยงที่สันเชียงกัน จึงถูกผู้น้อยขโมยมา ในวงนักเลงร่ำลือถึงท่านฝนยามแล้ง ผู้น้อยใคร่นำม้านี้มาเป็นบรรณาการเพื่อแสดงความจริงใจในการขอเข้าพบท่านเป็นครั้งแรก
คิดไม่ถึงว่า พอเดินทางผ่านเจิงโถวสื้อ 曾头市 (ตลาดใหม่ตระกูลเจิง) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองหลิงโจว 凌州 ก็ถูกห้าเสือตระกูลเจิง 曾家五虎 มาชิงเอาม้าไป ผู้น้อยแจ้งว่าเป็นม้าของท่านซ่งกงหมิงแห่งเขาเหลียงซาน กลับถูกพวกนั้นใช้วาจาหยาบคาย ผู้น้อยไม่กล้าตอบโต้ จึงหนีเอาตัวรอดมาแจ้งความแก่ท่าน”
焦黄头发髭须卷,捷足不辞千里远。
但能盗马不看家,如何唤做金毛犬?
ผมเผ้าแห้งเหลืองหนวดเคราดกหนา
เท้าก้าวไวไม่ช้าพันลี้ไกล
เฝ้าแต่ลักม้าหาเฝ้าบ้านไม่
แล้วไฉนจึงเรียกหมาขนทอง
หมาขนทองต้วนจิ่งจู้ 金毛犬段景住 ดาวมารดิน ตี้ส้าลำดับที่ 72 ลำดับรวมที่ 108 เป็นหนึ่งในสี่หัวหน้าพลเดินสารของเหลียงซาน ลำดับที่สาม
ซ่งเจียงเห็นต้วนจิ่งจู้รูปร่างผอมออกจะหยาบบ้างแต่ลักษณะไม่ธรรมดาก็แอบนิยมอยู่ในใจ จึงบอกว่า “เรื่องนี้ ไว้ขึ้นเขาแล้วค่อยหารือกัน” แล้วจึงพาต้วนจิ่งจู้ลงเรือข้ามน้ำไปยังหาดทรายทองด้วย
เฉาไก้พาพวกมารับขึ้นไปยังโถงร่วมธรรม ซ่งเจียงแนะนำสมาชิกใหม่ ฝานยุ่ย เซี่ยงชง หลีกุ่น รวมทั้งต้วนจิ่งจู้ ให้รู้จักกันแล้ว ก็จัดโต๊ะเลี้ยงฉลอง ซ่งเจียงจึงแจ้งให้ หลี่หยุน เถาจงว่าง ต่อเติมที่อยู่ และขยายป้อมค่าย เพื่อรองรับผู้มาใหม่
ต้วนจิ่งจู้ยกเรื่องม้ามาพูดถึงอีก ซ่งเจียงจึงให้จอมเวทเทพเดินหนไต้จงไปยังเจิงโถวสื้อสืบข่าวเรื่องม้า
ตอนก่อนหน้า : สามจอมมาร
ตอนถัดไป : ธงแม่ทัพหัก

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา