12 ส.ค. เวลา 11:05 • ประวัติศาสตร์

ขุนโจรเหลียงซาน 149

หลูจวิ้นอี้ กิเลนหยก (5) สามวันจากนารีเป็นอื่น
วันรุ่งขึ้นซ่งเจียงให้ฆ่าแพะล้มม้าจัดโต๊ะเลี้ยงดูอีก แล้วเชิญเจ้าสัวหลูให้ขึ้นนั่งเก้าอี้ตัวกลางสามถึงสี่รอบ
ซ่งเจียงว่า “เมื่อคืนที่ได้ล่วงเกิน โชคดีที่ท่านให้อภัย แม้ว่าค่ายเราจะเล็กไม่พอพักม้า ท่านเจ้าสัวก็ได้โปรดเห็นแก่ 忠义 ภักดี และ คุณธรรม สองคำนี้ ซ่งเจียงยินดีสละตำแหน่ง ขอโปรดอย่าได้บ่ายเบี่ยง”
หลูจวิ้นอี้ว่า “ท่านหัวหน้ากล่าวผิดแล้ว ผู้น้อยไม่มีความผิดอันใดติดตัว ทางบ้านก็พอมีฐานะ เกิดเป็นชาวต้าซ่ง ตายเป็นผีต้าซ่ง ยินยอมตาย จึงยากที่จะปฏิบัติตามโดยแท้”
อู๋ย่งและเหล่าหัวหน้าต่างผลัดกันมาพูดจา แต่หลูจวิ้นอี้ยังไม่ยินยอมเป็นโจร
อู๋ย่งว่า “เมื่อท่านเจ้าสัวไม่ยินยอม ก็ยากที่จะบังคับ จะรั้งตัวท่านเจ้าสัวไว้ก็ได้เพียงกาย มิอาจรั้งใจท่านเจ้าสัว ทว่าโอกาสที่เหล่าพี่น้องจะได้พบปะท่านเจ้าสัวที่นี่นั้นยากนัก แม้ไม่ยินยอมเข้าชุมนุม ก็ขอเชิญพักอยู่ในค่ายน้อยนี้สักหลายวัน ก่อนจะน้อมส่งท่านกลับ”
หลูจวิ้นอี้ว่า “ผู้น้อยอยู่ต่อได้ไม่มีปัญหา กลัวแต่ว่าทางบ้านจะไม่รู้ข่าวคราว”
อู๋ย่งว่า “เรื่องนี้ง่าย ให้หลี่กู้กลับไปก่อนพร้อมกับรถสินค้า ส่วนท่านเจ้าสัวอยู่ต่อสักหน่อย จะเป็นไรไป”
อู๋ย่งหันมาถามว่า “พ่อบ้านหลี่ ในรถยังมีสินค้าอยู่ใช่ไหม”
หลี่กู้ว่า “ยังมีอยู่ไม่น้อย”
ซ่งเจียงจึงให้นำเงินก้อนใหญ่มอบให้แก่หลี่กู้ เงินสองก้อนน้อยมอบให้แก่ผู้จัดการทั้งสอง สำหรับกุลีทั้งสิบมอบให้คนละสิบตำลึงเงิน ทั้งหมดกราบขอบคุณ
หลูจวิ้นอี้กำชับหลี่กู้ว่า “เรื่องยุ่งยากของข้าท่านก็รู้ดี กลับไปถึงบ้านบอกภรรยาข้าว่าอย่าได้วิตก อีกสามถึงห้าวัน ข้าก็จะตามกลับไป”
หลี่กู้อยากจะปลีกตัวเต็มที จึงรับเต็มปากเต็มคำ “ไม่มีปัญหา” แล้วกล่าวอำลา ลงมาจากหอธรรมภักดิ์
อู๋ย่งลุกขึ้นกล่าวว่า “ท่านเจ้าสัว เชิญนั่งตามสบาย บัณฑิตผู้น้อยขอไปส่งพ่อบ้านหลี่ลงเขาสักครู่”
อู๋ย่งหาข้ออ้างลงมาดักรอหลี่กู้ที่หาดทรายทอง รออยู่สักพัก หลี่กู้กับพวกก็ลงเขามา อู๋ย่งให้ลิ่วล้อห้าร้อยคนล้อมวงอยู่โดยรอบ ตนเองไปนั่งอยู่ใต้ร่มต้นหลิ่ว
อู๋ย่งให้ตามหลี่กู้มาแล้วบอกว่า
“นายของท่านได้ตกกลงไว้กับพวกเราว่าจะนั่งเก้าอี้ลำดับที่สอง ตั้งแต่ยังไม่ทันขึ้นเขา ก็จารึกบทกวีขบถเอาไว้บนผนัง ข้าจะเฉลยให้เจ้ารู้เอาไว้ บทกวีมีสี่วรรค ตัวอักษรแรกของแต่ละวรรค เมื่อนำมาเรียงกันจะอ่านได้ว่า 卢俊义反 หลูจวิ้นอี้ขบถ
วันนี้ก็ขึ้นเขามาแล้ว พวกเจ้าคงเห็น เดิมก็ว่าจะฆ่าพวกเจ้าทิ้งเสียทั้งหมด ก็จะกลายเป็นว่าพวกเรากระทำชั่วช้า วันนี้จึงปล่อยพวกเจ้ารีบไสหัวกลับไป แต่อย่าหวังว่านายของเจ้าจะกลับไปอีก”
พวกหลี่กู้ได้แต่พากันกราบ อู๋ย่งให้เรือพาส่งข้ามฟาก พวกหลี่กู้เหมือนปลาได้น้ำรีบเร่งเดินทางกลับเป่ยจิง
鳌鱼脱却金钩去,摆尾摇头更不回。
 
ปลาหัวมังกรถอนตนพ้นเบ็ดทอง  
สะบัดหัวหางล่องไปไม่หวนคืน
(ปลาอ๋าว 鳌鱼 ปลาในตำนาน ตัวเป็นปลา หัวเป็นมังกร)
อู๋ย่งกลับเข้าไปในงานเลี้ยง ใช้คารมโวหารตะล่อมหลูจวิ้นอี้ไปมาจนถึงยามสอง งานเลี้ยงค่อยเลิก พอวันรุ่งขึ้น ทางค่ายก็จัดเลี้ยงอีก
หลูจวิ้นอี้ว่า “ผู้น้อยซาบซึ้งในเจตนาดีของเหล่าหัวหน้าที่รั้งตัวไว้ แต่สำหรับผู้น้อย ผ่านเวลาหนึ่งวันเหมือนดังปี วันนี้จึงใคร่ขอลา”
ซ่งเจียงว่า “ผู้น้อยด้อยความสามารถ โชคดีได้รู้จักท่านเจ้าสัว วันพรุ่งนี้ซ่งเจียงเตรียมงานสังสรรส่วนตัว ถกความในใจกัน ขอท่านอย่าได้บ่ายเบี่ยง”
เป็นอันว่าผ่านไปอีกวัน หลังจากซ่งเจียง วันพรุ่งอู๋ย่งก็เชิญบ้าง วันมะรืนก็เป็นกงซุนเสิ้ง มิจำเป็นต้องจาระไน เป็นอันว่ากว่าจะครบตัวเหล่าหัวหน้าสามสิบกว่าคนในห้องโถงชุดแรก ก็ผ่านไปเดือนกว่า หลูจวิ้นอี้จึงกล่าวอำลา ซ่งเจียงจึงว่า
“ใช่ว่าจะรั้งตัวท่านไว้ ไหนๆ ก็จะกลับแล้ว พรุ่งนี้ขอใช้สุราบางดื่มส่งท่านที่หอธรรมภักดิ์”
วันรุ่งขึ้น ซ่งเจียงนำพี่น้องมาส่งด้วยตนเอง เหล่าพี่น้องกลุ่มหนึ่งว่า
“ท่านพี่เคารพท่านเจ้าสัวสิบส่วน พวกเราเคารพท่านเจ้าสัวสิบสองส่วน ท่านลำเอียงสังสรรแต่กับท่านพี่
ถึงอิฐจะหนา กระเบี้องจะบาง
砖儿何厚  瓦儿何薄
ก็ควรใช้งานได้เหมือนกัน”
หลี่ขุยอยู่ในกลุ่มนั้นด้วยตะโกนมาว่า
“ข้าเสี่ยงชีวิตไปเป่ยจิงเชิญท่านมา ท่านยังไม่ได้สังสรรกับผู้น้องเลย ท่านกับข้า
หางคิ้วผูกติด ชีวิตผูกพัน
眉尾相结  性命相扑”
อู๋ย่งว่า “ข้าไม่เคยได้ยินใครเชิญแขกทึ่มทื่ออย่างเจ้านี่ ท่านเจ้าสัวต้องขออภัย ในเมื่อเหล่าพี่น้องมีน้ำใจ ท่านก็อยู่ต่ออีกสักหน่อย”
ผ่านไปอีกห้าวัน หลูจวิ้นอี้ยืนกรานว่าจะกลับ เสธ.เทวะจูอู่ก็พาพี่น้องอีกกลุ่มหนึ่งมายังหอธรรมภักดิ์ แล้วว่า
“พวกเราถึงจะเป็นพี่น้องระดับรองลงมา แต่ก็ออกแรงช่วยงานไว้ไม่น้อย สุราของพวกเรามีพิษหรือไร ท่านเจ้าสัวจึงเห็นแปลกแยก ไม่ยอมสังสรรกับพวกเรา ตัวข้าหาเป็นไรไม่ เกรงแต่เหล่าน้องๆ จะไม่ยอม แล้วก่อเรื่อง”
อู๋ย่งว่า “พวกท่านอย่าเพิ่งวุ่นวาย ข้าจะช่วยขอร้องท่านเจ้าสัวให้อยู่ต่ออีกสักหน่อยก็แล้วกัน คำกล่าวยังมีว่า
เชิญท่านร่ำสุรา เจตนาร้ายมีไฉน
将酒劝人  终无恶意”
หลูจวิ้นอี้เถียงไม่ออก จำต้องอยู่ต่อ ไปไปมามา อยู่รวมแล้วห้าสิบวัน ออกเดินทางจากเป่ยจิงเมื่อเดือนห้ามาอยู่เขาเหลียงซานรวมแล้วสองเดือนกว่า นี่ก็เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง อีกไม่นานก็จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์กลางเดือนแปด หลูจวิ้นอี้จึงมาอำลา ซ่งเจียงเห็นหลูจวิ้นอี้คิดถึงบ้านมากแล้ว จึงรับปากจะมาส่งที่หาดทรายทองในวันพรุ่ง
一别家山岁月赊,寸心无日不思家。
此身恨不生双翼,欲借天风过水涯。
แต่จากบ้านมานับแรมเดือน
มิมีวันใดเลือนลืมถวิล
ไยร่างนี้จึงไร้ปีกโบยบิน
อาศัยลมโผผินข้ามวารี
วันรุ่งขึ้น หลังนำอาวุธและเสื้อผ้าชุดเก่ามอบคืนเจ้าสัว เหล่าหัวหน้าพากันมาส่ง ซ่งเจียงนำเงินทองถาดหนึ่งมอบให้ หลูจวิ้นอี้ว่า
“ใช่ว่าผู้แซ่หลูจะโอ้อวด เงินทองทางบ้านนั้นพอมี ค่าเดินทางกลับเป่ยจิงนั้นมีพออยู่ ที่มอบมานี้จึงมิอาจรับ”
พวกซ่งเจียงจึงเพียงส่งข้ามหาดทรายทองแล้วแยกทางอำลา
หลูจวิ้นอี้เดินทางราวสิบวันก็กลับมาถึงเป่ยจิงในเวลาเย็น ประตูเมืองปิด จึงค้างแรมนอกเมือง เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลูจวิ้นอี้ออกจากโรงเตี๊ยมหมู่บ้าน รีบมายังประตูเมือง เหลือระยะทางอีกราวหนึ่งลี้ มีชายคนหนึ่งโพกผ้าขาดๆ เสื้อผ้ารุ่งริ่ง เห็นหลูจวิ้นอี้ก็รีบมาคำนับ
หลูจวิ้นอี้เพ่งมอง ที่แท้คือคนเสเพลเอี้ยนชิง จึงถามว่า “เสียวอี่ ทำไมเจ้าจึงอยู่ในสภาพนี้”
เอี้ยนชิงว่า “ตรงนี้ไม่สะดวกที่จะคุยกัน”
หลูจวิ้นอี้พาเลี้ยวหลบมามุมกำแพงแล้วสอบถามถึงสาเหตุ
เอี้ยนชิงว่า “หลังจากนายท่านเดินทางไปได้สักครึ่งเดือน หลี่กู้ก็กลับมาบอกกับนายหญิงว่า “นายท่านสามิภักดิ์ต่อซ่งเจียงเขาเหลียงซาน นั่งเก้าอี้เป็นที่สอง” แล้วก็ไปแจ้งความต่อทางการในตอนนั้น
เขากับนายหญิงรวมหัวกันกล่าวหาว่าเอี้ยนชิงขัดคำสั่ง ขับไล่ข้าออกจากบ้าน เสื้อผ้าก็ยึดเอาไว้หมด ทั้งยังสั่งพวกญาติและคนรู้จักเอาไว้ว่า หากใครให้ที่พักแก่เอี้ยนชิง เขาจะแจ้งความดำเนินคดีที่เขาพร้อมยอมจ่ายไม่ว่าเท่าไร จึงไม่มีใครกล้า ในเมืองไม่มีที่พัก ได้แต่ออกมาเที่ยวขอทานอยู่นอกเมืองไปวันๆ อาศัยนอนตามศาลเจ้า ว่าจะไปหานายท่านที่เขาเหลียงซาน ก็กลัวจะสวนทางกัน หากนายท่านกลับมา จะได้ฟังเสียวอี่ แล้วย้อนกลับเหลียงซานไปหารือกันใหม่ หากเข้าเมืองไปตอนนี้ คงต้องติดกับ”
หลูจวิ้นอี้ไม่เชื่อตวาดว่า “เมียข้าไม่ใช่คนเช่นนี้ เจ้าอย่ามาผายลม”
เอี้ยนชิงว่า “นายท่านไม่มีตาหลังจะรู้อะไร ปกติก็เอาแต่ฝึกเพลงยุทธไม่สนใจอิสตรี นายหญิงกับหลี่กู้มีสัมพันธ์กันมาก่อน วันนี้ก็สมยอมอยู่กินฉันสามีภรรยา หากนายท่านกลับไป คงต้องถูกเล่นงาน”
หลูจวิ้นอี้โกรธจัด ด่าเอี้ยนชิงว่า “บ้านข้าอยู่เป่ยจิงมาห้าชั่วคน ใครก็รู้ หลี่กู้จะมีสักกี่หัวกล้ามาทำเรื่องอย่างว่า เจ้าคงทำเรื่องชั่วอะไรเข้า กลับมาพลิกลิ้นเป็นอื่น เดี๋ยวข้ากลับบ้านไปถามให้รู้แน่ ไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้”
เอี้ยนชิงร้องไห้ใหญ่ คุกเข่ากราบกับพื้นแล้วยุดเสื้อนายท่านไว้ หลูจวิ้นอี้เตะเอี้ยนชิงหงายหลังแล้วสาวเท้าก้าวเข้าเมือง
หลูจวิ้นอี้เข้าเมืองตรงไปยังบ้าน คนดูแลบ้านน้อยใหญ่เห็นเข้าต่างตกใจ หลี่กู้รีบมาต้อนรับ เชิญไปยังห้องโถงแล้วคุกเข่าคำนับ
หลูจวิ้นอี้จึงถามว่า “เอี้ยนชิงอยู่ดีไหม”
หลี่กู้ตอบว่า “นายท่านอย่าเพิ่งถามเลย เรื่องมันยาว กลัวท่านจะโมโห เชิญท่านพักให้สบายก่อนแล้วค่อยเล่าให้ฟัง”
นางเจี่ยสื้อเดินร้องไห้ออกมาจากหลังบังตา หลูจวิ้นอี้ว่า “น้องเราอย่าร้องไห้ บอกมาว่าเอี้ยนชิงทำอะไร”
นางเจี่ยสื้อว่า “สามีท่าน อย่าเพิ่งถาม ไว้ค่อยเล่าให้ฟัง”
หลูจวิ้นอี้นึกสงสัยใคร่รู้เรื่องเอี้ยนชิงให้ได้
หลี่กู้จึงว่า “นายท่านเชิญผัดผ้า รับประทานอาหารเสียก่อน แล้วค่อยเล่ายังไม่สาย”
แล้วก็ไปจัดเตรียมอาหารให้เจ้าสัวหลู
พออาหารมา หยิบตะเกียบไม่ทันคีบ มีเสียงเอะอะจากทั้งประตูหน้าและประตูหลัง เจ้าหน้าที่สองสามร้อยคนกรูกันเข้ามาในบ้านจนหลูจวิ้นอี้ตกใจ แล้วถูกจับมัดไว้ เอาไม้พลองก้าวทีฟาดที ต้อนมาจนถึงที่ว่าการ
เหลียงจ้งซู 梁中书 นั่งอยู่บนที่ว่าการ มีเจ้าหน้าที่ยืนรายสองข้างราวแปดสิบคน หลูจวิ้นอวี้ถูกพาตัวมาหน้าบัลลังก์ นางเจี่ยสื้อกับหลี่กู้คุกเข่าลงด้านข้าง
เหลียงจ้งซูตะคอกลั่นว่า “เจ้าเป็นชาวเมืองเป่ยจิงอยู่ดีๆ ทำไมไปเข้าพวกโจรเหลียงซานป๋อ นั่งตำแหน่งรองหัวหน้า ที่กลับมานี่คงมาเป็นไส้ศึกประสานกับด้านนอกเข้าตีเมืองเป่ยจิง ตอนนี้ถูกจับได้ มีอะไรจะพูด”
หลูจวิ้นอี้ว่า “ผู้น้อยโง่เชลาไปหน่อย ถูกอู๋ย่งเขาเหลียงซานปลอมตัวเป็นหมอดูดวงชะตาล่อลวงไปกักตัวบนเขาถึงสองเดือนกว่า วันนี้โชคดีกลับมาบ้านได้ หาได้มีเจตนาร้าย ขอได้โปรดพิจารณา”
เหลียงจ้งซูตะคอกว่า “จะแก้ตัวได้อย่างไร หากไม่สมคบกัน เจ้าอยู่ที่เหลียงซานป๋อได้อย่างไรนานปานนี้ เมียของเจ้ากับหลี่กู้เป็นผู้มาฟ้อง จะเท็จได้อย่างไร”
หลี่กู้ว่า “นายท่าน มาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านก็สารภาพเสียเถิด บนผนังที่บ้านก็เขียนบทกลอนซ่อนนัยขบถเป็นหลักฐานสำคัญ คงไม่จำเป็นต้องพูด”
นางเจี่ยสื้อว่า “ไม่ใช่พวกเราใส่ร้ายท่าน ข้าก็กลัวเดือดร้อน รู้อยู่ว่า ขบถเพียงคนเดียว ประหารเก้าชั่วโคตร”
หลูจวิ้นอี้คุกเข่า ตะโกนว่าไม่ยุติธรรม
หลี่กู้ว่า “นายท่านอย่าคร่ำครวญไปเลย เรื่องจริงลบล้างยาก เรื่องเท็จขุดคุ้ยง่าย ท่านสารภาพเสียโดยไว จะได้ไม่ต้องทนทุกข์”
นางเจี่ยสื้อว่า “สามีท่าน หากท่านก่อเรื่องจริง ข้าก็คงต้องตายด้วย เนื้อหนังมีความรู้สึก ไม่อาจทนไม้พลองไร้ความรู้สึกได้หรอก ท่านสารภาพเถิด คนผิดจะได้จำกัดวง”
หลี่กู้ติดสินบนเอาไว้ก่อนแล้ว จางข่งมู่ (ตุลาการ) จึงเรียนว่า “คนผู้นี้ดื้อรั้น หากไม่โบยคงไม่รับสารภาพ”
เหลียงจ้งซูว่า “กล่าวถูกต้อง” แล้วตวาดสั่ง “โบย”
ราชมัลจับหลูจวิ้นอี้ขึง แล้วโบยจนเนื้อแตกเลือดไหลซิบ สลบไปสามสี่รอบ
หลูจวิ้นอี้ทนโบยไม่ไหว เงยหน้ามองฟ้าถอนใจว่า “เป็นชะตาของข้าต้องมาตายร้าย ข้าสารภาพก็แล้วกัน”
จางข่งมู่นำหนังสือรับสารภาพมาให้ลงชื่อ ให้นำคาหนักร้อยชั่งมาใส่คอแล้วนำไปขังในคุกมหันตโทษ
ตอนก่อนหน้า : อุบายจับกิเลน
ตอนถัดไป : ลำแขนเหล็ก หนึ่งกิ่งผกา

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา